เรื่องและภาพประกอบ: อชิรญา ปินะสา

ผู้อ่านที่รัก คุณเคยเจอกับวันแย่ๆ หรือไม่?
แน่นอนว่าชีวิตของคนหนึ่งคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บางคนเจอเรื่องร้ายดีปะปนกันไป บางคนเจอแต่เรื่องร้ายๆ กับความยากลำบาก สิ่งเหล่านี้มักพาเราไปพานพบแต่กับความเศร้า ความสิ้นหวัง และอาจกระทบสุขภาพจิตจนนำไปสู่การสูญเสียถึงชีวิต
ทั้งนี้ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่าในปี 2568 คนไทยกว่า 13 ล้านคนเคยมีปัญหาด้านจิตเวช ขณะที่ข้อมูลในปี 2565 ชี้ว่าประเทศไทยมีจิตแพทย์เพียง 845 คน โดยในแต่ละปีมีผู้พยายามฆ่าตัวตายกว่า 30,000 คน และทำสำเร็จกว่า 7.16 คนต่อประชากรแสนคน นี่อาจอนุมานได้ว่าผู้ป่วยจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงการรักษา
แล้วหากวันหนึ่งเป็นเราเองที่เข้าไม่ถึงการรักษานั้น การหาวิธีเยียวยาเล็กๆ เพื่อประคองสภาพจิตใจ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูสุขภาพจิตของเราให้เข้มแข็งขึ้นได้ และหนึ่งในวิธีที่เข้าถึงได้ง่ายคือ ‘ดนตรีบำบัด’ (Music Therapy) ศาสตร์แห่งเสียงเพลงที่ใช้เยียวยามนุษย์มาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ที่เชื่อว่าเสียงดนตรีช่วยปลอบประโลมและบำบัดความเจ็บป่วยได้
ถ้าพูดถึงดนตรีหรือเพลงที่ ‘ฮีลใจ’ เพลงแบบไหนที่คุณจะคิดถึง
สำหรับผู้เขียน เมื่อพูดถึงบทเพลงที่ช่วยปลอบประโลมหัวใจ ก็อดไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปเปิดเพลย์ลิสต์เก่าๆ จนพบ 3 บทเพลงที่อยากแบ่งปันให้ผู้อ่านได้ลองฟัง เผื่อว่าสักวันหนึ่งเพลงเหล่านี้จะกลายเป็นแรงเยียวยาเล็กๆ ในเพลย์ลิสต์เพลง ‘ฮีลใจ’ ของผู้อ่าน
เพลงแรกที่อยากจะแนะนำให้ผู้อ่านได้ลองฟัง คือเพลง ทิ้งไว้อย่างพอใจ (Consoled) จากวงดนตรีอินดี้อย่าง PURPEECH หนึ่งในเพลงที่ผู้เขียนมักเปิดฟังยามหัวใจอ่อนล้า เนื้อหาของเพลงนี้พูดถึงการยอมรับความเจ็บปวด การให้อภัยตัวเอง และการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง มันเรียบง่ายแต่จริงใจ ถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่เคยล้ม เคยเสียใจ แต่ค่อยๆ เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองอย่างเข้าใจ
หลายคนคงเคยมีวันที่อยากยอมแพ้กับชีวิต วันที่แม้แต่การลืมตาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกหนักหนา แต่เพลงนี้จะทำหน้าที่ปลอบประโลมใจด้วยถ้อยคำอ่อนโยน อย่างท่อนที่ว่า
“เธอลองมองดูรอบกายที่เธอคิดว่าไม่มีใคร ดวงดาวที่ดูพร่างพราวยังคอยโอบกอดดวงใจ
แสงแดดยามเช้ายังคงอบอุ่นเสมอไป เธอรู้ไหมว่าเธอนั้นยังคงมีเธอ”
เนื้อเพลงที่เหมือนจะบอกกับเราว่า ไม่ว่าวันวานจะโหดร้ายเพียงใด เช้าวันใหม่ก็ยังรออยู่เสมอ ถ้อยคำปลอบประโลมที่ไม่พยายามผลักไสความเศร้า แต่กลับย้ำให้เรารู้ว่า แม้จะไม่มีใครอยู่ข้างๆ แต่ ‘เธอ’ คือคนเดียวที่ยังอยู่เคียงข้างตัวเองได้ดีที่สุด ทั้งยังบอกว่าโลกใบนี้ยังมีดวงดาวที่ส่องแสงในตอนกลางคืน หรือแสงแดดยามเช้าที่อบอุ่นไม่เปลี่ยนไป เพื่อให้เราได้เริ่มต้นใหม่ในวันใหม่ได้อีกครั้ง
เพลงนี้จึงฮีลใจในแบบที่ไม่ต้องใช้คำพูดมากมาย เพราะมันค่อยๆ กอดเราไว้ด้วยเสียงดนตรีนุ่มละมุนและเนื้อร้องที่อบอุ่นของ PURPEECH ราวกับจะบอกว่า ‘ไม่เป็นไรนะ’ ที่เรายังเศร้า หรือยังร้องไห้ เพราะความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้เราหมดคุณค่า ตรงกันข้าม มันทำให้เราเข้าใจหัวใจของตัวเองมากขึ้น
มาต่อกันที่เพลงที่สอง ฤดูกาล (Season) ผลงานการผสานดนตรีที่ลงตัวระหว่าง PLASTIC PLASTIC ดูโอ้พี่น้องแนวอินดี้ป็อป กับ Whal & Dolph วงอินดี้ดูโอ้ผู้สร้างสรรค์ดนตรีโทนอบอุ่น
บทเพลงนี้ไม่ใช่แค่การปลอบประโลม แต่มันเป็นสัจธรรมของชีวิต และเพื่อนที่เตือนให้เราเข้าใจธรรมชาติของชีวิต รวมถึงการยอมรับตัวเองอย่างแท้จริง เหมือนดังที่เนื้อเพลงบอกเอาไว้ว่า
“วันใดที่เธอ ชื่นชมดอกไม้ ให้เผื่อข้างในใจ สักวันต้องล้มโรยรา
หากมีวันไหนที่เธอ แหงนมองบนฟ้า ให้เผื่อใจหากฝนตกมา เมื่อสีครามต้องหายจางไป”
เนื้อเพลงราวกับจะบอกเราว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่คงอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่สวยงาม ความเศร้าที่หนักอึ้ง และความเหนื่อยล้าที่เอ่อล้น หรือแม้แต่ความฝันที่ยังไม่เป็นจริง ทุกอารมณ์และทุกเหตุการณ์ในชีวิตล้วนมี ‘ช่วงเวลา’ ของมัน และจะหมุนเวียนไปเพื่อเปิดทางให้สิ่งใหม่ๆ เข้ามาแทนที่
นอกเหนือจากเนื้อเพลงจะทำให้เราเข้าใจชีวิตแล้ว ยังสามารถปลอบโยนเราจากวันที่เหนื่อยล้า ดังเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่ว่า “อยู่กับความจริง แต่ขอให้เธอฝัน เหนื่อยก็แค่พักสักวัน ร้องไห้อีกครั้งเป็นไร” ที่ทลายกรอบความคิดของสังคม ที่มักจะผลักให้ ‘การร้องไห้’ เป็นสัญลักษณ์ของความ ‘อ่อนแอ’ แต่บทเพลงนี้สื่อสารว่าการยอมให้ตัวเองแสดงความรู้สึกออกมา ไม่ใช่การพ่ายแพ้ แต่นั่นคือความเข้มแข็งในแบบของเรา
บทเพลงนี้เยียวยาเราโดยที่ไม่ได้บอกให้เราหนีจากความจริงที่อาจจะเจ็บปวด แต่บอกให้เราเตรียมใจ และเผชิญหน้ากับมัน ทั้งยังพยายามบอกผู้ฟังว่า ในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยความจริงที่หนักหน่วงจนเกินรับไหว เราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดไปก็ได้นะ ไม่เป็นไรหากจะร้องไห้ออกมาบ้างก็ได้ เพราะความอ่อนแอ และความผันเปลี่ยนที่เราต้องเผชิญ สิ่งเหล่านี้มันคือ ‘สัจธรรมของชีวิต’
เพลงสุดท้าย ฤดูที่แตกต่าง (Seasons Change) ผลงานอมตะของ บอย โกสิยพงษ์ ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ก็ยังตราตรึงใจผู้ฟังเสมอมา ด้วยท่วงทำนองนุ่มละมุนและเสียงร้องแสนอบอุ่นของ นภ พรชำนิ ที่ทำให้เพลงนี้กลายเป็นบทเพลงปลอบโยนใจที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง
เนื้อหาเพลงที่เข้าใจง่าย กับการใช้ฤดูกาลเปรียบเทียบความเป็นไปของชีวิตอย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความผิดหวัง หรือความหวังใหม่ ล้วนเป็นเพียง ‘ฤดูหนึ่งของชีวิต’ ที่เข้ามาเพื่อสอนให้เราเติบโตและเข้าใจคุณค่าของชีวิต เหมือนดังเนื้อเพลงที่บอกเราว่า
“อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย
น้ำตาที่ไหล ย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ”
เนื้อเพลงที่เป็นเหมือนคำสอนให้เราเข้าใจคุณค่าของทุกสิ่งในชีวิต ทั้งความทุกข์และความสุข เพราะทุกความเจ็บปวดมีเหตุผลและความทุกข์ย่อมมีวันจางหาย พร้อมทั้งสอนให้เราเข้าใจว่าสุขกับทุกข์นั้นเป็นของคู่กัน และหากไม่เคยเจ็บปวด เราก็คงไม่เข้าใจความหมายของความสุขได้อย่างลึกซึ้ง
ทั้งเสียงร้องที่นุ่มนวล เนื้อร้องอบอุ่น และท่วงทำนองที่ไพเราะ ได้โอบกอดจิตใจของเราเอาไว้และทำให้เรามองเห็นความงดงามของชีวิต แม้ในวันที่เหน็บหนาวหรือฝนพรำ สอนให้เราเรียนรู้ที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลง ราวกับจะบอกเราว่า ‘ความทุกข์ที่ผ่านมานั้นเดี๋ยวมันก็ผ่านไปในสักวัน’ เปรียบชีวิตเหมือนฤดูกาลที่หมุนเวียน การเจ็บปวดและความผิดหวังไม่ได้ทำร้ายเรา แต่กลับช่วยให้เราเข้าใจคุณค่าของความสุขและความอบอุ่นอย่างแท้จริง ทำให้เราพร้อมเผชิญวันใหม่ด้วยความหวังอีกครั้ง
ในท้ายที่สุดแล้ว การใช้บทเพลงเยียวยาอาจจะไม่สามารถแบ่งเบาความเครียดหรือความทุกข์ทั้งหมดในชีวิตเราได้ แต่เสียงดนตรีและถ้อยคำเหล่านี้จะเป็นแรงปลอบใจเล็กๆ ให้กับผู้อ่านในวันที่เหนื่อยล้าและท้อแท้ ให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ให้หัวใจได้พักจากเรื่องราวเลวร้ายที่เผชิญ และให้มันได้ย้ำเตือนว่า แม้เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ของความสงบในใจ ก็เพียงพอที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความเข้มแข็งภายในจิตใจ
บทเพลงบางเพลงไม่ได้เป็นแค่สิ่งจรรโลงใจ แต่สามารถเป็นเพื่อนเงียบๆ ที่คอยอยู่ข้างๆ ปลอบโยนหัวใจของผู้อ่าน ในวันที่โลกดูโหดร้าย
รายการอ้างอิง
กรุงเทพธุรกิจ. (2567). กว่าจะได้จิตแพทย์ 1 คน ต้องใช้เวลา 10 ปี. สืบค้นจาก
MedPark Hospital. (2566). ดนตรีบำบัด มีประโยชน์ต่อใคร และใครควรบำบัด. สืบค้นจาก











