เขียน: รณรต วงษ์ผักเบี้ย
ภาพประกอบ: อชิรญา ปินะสา

อาจารย์รัฐศาสตร์มธ.ชี้ ประชาคมโลกกำลังจับจ้องไทยเรื่องความไม่จริงใจที่จะรักษาสันติภาพกับกัมพูชา หลังรีบระงับปฎิญญาสันติภาพระหว่างสองประเทศ แนะรัฐบาลไทยสามารถกดดันกัมพูชาผ่านอนุสัญญาและการทูตเชิงรุกแทน
จากกรณีที่มีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ในบริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ในขณะปฏิบัติหน้าที่เดินลาดตระเวน ทำให้ต่อมาอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีประเด็นสำคัญ คือ การลดความตึงเครียดตามแนวชายแดนผ่าน 4 มาตรการ ได้แก่ (1) การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนกลับสู่ที่ตั้งปกติ (2) การเก็บกู้ทุ่นระเบิด (3) การปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกมเมอร์ และ (4) การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีการรุกล้ำเขตแดนของอีกฝ่าย นั้น
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มธ. ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์ในชายแดนไทยกัมพูชาจะตึงเครียดยิ่งขึ้น โดยความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงไทยหรือกัมพูชาเป็นเพียงผู้เกี่ยวข้อง แต่มีนานาประเทศที่อาจคอยจับจ้องเรื่องนี้อยู่ ดังนั้นการที่นายกฯ รีบประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพฯ นั้นจึงกลายเป็นที่จับจ้องของประชาคมโลก เพราะอาจแสดงถึงความไม่จริงใจที่จะรักษาสันติภาพระหว่างสองประเทศ
“เวลาคนมองจากนอกประเทศ ก็รับข้อมูลสองชุด (จากไทยและกัมพูชา) ทำให้ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด เพราะฉะนั้นมันจึงมีความไม่แน่นอนและความคลุมเครืออยู่เยอะ แล้วก็ต้องเข้าใจว่า มันไม่ใช่ narrative (เรื่องเล่า) ที่นานาชาติจะเชื่อจากไทยทั้งหมด แต่มันมีความจริงอีกชุดที่ถูกนำเสนอโดยกัมพูชาด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องระวังมาก และการที่เรารีบร้อนที่จะระงับปฏิญญาสงบศึก เราจะถูกจับจ้องมากขึ้น และจะดูเป็นฝ่ายที่เร่งร้อนรีบหาสงคราม” ฟูอาดี้ กล่าว
ฟูอาดี้ กล่าวต่อว่า นอกจากการที่รัฐบาลไทยกดดันกัมพูชาผ่านการระงับปฏิญญาสันติภาพฯ แล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ อีก เช่น การเสนอข้อเรียกร้องผ่านกลุ่มประเทศภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา การทูตเชิงรุกอย่างการสื่อสารกับสหรัฐอเมริกาหรือมาเลเซีย เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นพยานในการลงนามปฏิญญาสันติภาพฯ หรือที่สำคัญคือการสื่อสารว่าไทยอยากกลับสู่สันติภาพกับกัมพูชาได้อย่างเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยกลับทำตรงกันข้าม
ฟูอาดี้ เสนอว่า หากมีการตอบโต้ทางทหารจริงๆ ก็สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นการตอบโต้ที่จำกัดมาก เช่น การตอบโต้กับหน่วยทหารที่เป็นผู้วางทุ่นระเบิด หรือการโจมตีที่ทำให้สูญเสียน้อยที่สุด เป็นการโจมตีเชิงสัญลักษณ์ แต่การตอบโต้ทั้งหมดนี้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องระงับปฏิญญาสันติภาพฯ เลย
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลรีบระงับปฏิญญาสันติภาพฯ เช่นนี้ ฟูอาดี้ ให้ความเห็นว่า อาจเป็นเพราะต้องการใช้สถานการณ์ความขัดแย้งปลุกกระแสชาตินิยม ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลของอนุทินได้รับคะแนนนิยมมากขึ้นในการเลือกตั้งในปี 2569 ที่จะถึงนี้








