เขียน: ปิยะวรรณ นาคะสิงห์

ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือไปเรื่อยเปื่อย ยอมรับตามตรงว่าไม่มี logic ใดในการเลือกอ่านทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์และสิ่งที่สนใจในแต่ละช่วงเวลา บวกกับบังเอิญเจอหนังสือเล่มไหนขึ้น best-seller หรือชื่อเรื่องสะดุดตา น่าอ่าน หนังสือพวกนั้นก็จะมาปรากฏอยู่ในกระเป๋า ไม่ก็ข้างหมอนของผู้เขียน
การเลือกหนังสือจากหน้าปกนั้นมีข้อเสีย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีสำนวนที่ว่า “Don’t judge the book by its cover.” มาคอยเตือนสติเราแน่นอน หนังสือก็เหมือนคน เลือกดีก็ได้ช่วงเวลาที่ดี เลือกผิด ก็ได้คำสอนที่อาจจะขมบ้าง จืดบ้าง แล้วแต่ category ของมัน แต่ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ย่อมเป็นประสบการณ์ที่หลอมรวมให้เราเป็นเราได้อย่างทุกวันนี้ ชีวิตของเราไม่มีปุ่ม skip หรือปุ่ม undo บางครั้งการเดินทางไปพร้อมกับสิ่งที่เลือกก็คือด่านหนึ่งในชีวิตที่เราต้องรับผิดชอบให้ผ่านไปได้ด้วยดี
บางครั้งการที่เราหลงเลือกเส้นทางที่ผิดก็เหมือนการต่อสายไฟผิดขั้ว ทำให้หลอดไฟในแผงวงจรนั้นไม่สว่าง แต่อาจจะไม่ผิดไปซะทั้งหมด เมื่อเรามองย้อนไปนึกถึงจุดที่ตัดสินใจ สุดท้ายคนเราย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในเวลานั้นให้ตนเองเสมอ จะผิดก็เพียงสถานที่และเวลา ที่ไม่เป็นใจก็เท่านั้น
หนังสือเล่มหนึ่ง โดยคุณ Samantha Matt ชื่อหนังสือ “Average is the new awesome: A manifesto for the rest of us” บอกแล้วว่าผู้เขียนเลือกหนังสือจากชื่อจริงๆ แต่เนื้อหาข้างในก็เปิดโลกมาก
หนังสือเล่มนี้ทำให้รู้ว่าคนเราไม่ได้ไม่เก่งเลยสักนิด การที่เราคิดว่าเราอ่อน แต่ในมุมหนึ่ง ก็ยังมีคนหวังที่จะยืนจุดที่เรากำลังยืนอยู่ หรือบางครั้งเราอาจมองว่าตัวเองประสบความสำเร็จช้า แต่ความจริงเราอาจจะยังไม่ถึงวัยที่จะนึกถึงจุดสูงสุดของหน้าที่การงานก็เป็นได้
บางครั้งคนเราอาจต้องยอมรับว่าเราเองก็มีความสามารถพอๆ กับคนอื่น ไม่ได้เก่งไปกว่าใคร แล้วก็ไม่ได้ห่วยจนทำอะไรไม่ถึงจุดหมายอย่างที่ตั้งใจ เพราะบางทีเราอาจจะยังหลงอยู่ในจุดที่ไม่ใช่ที่ของเรา เสมือนวงจรไฟฟ้าที่ต่อให้พยายามแค่ไหน ถ้าต่อสายไฟผิดขั้ว ก็ไม่สามารถเกิดประจุไฟฟ้าที่ทำให้หลอดไฟสว่างไสว
ผู้เขียนมองว่าเราทุกคนเป็นดังหลอดไฟที่กำลังหาเส้นทางต่อวงจรเพื่อที่จะสามารถเปิดไฟให้ติดได้ ทุกคนจะสามารถส่องแสงสว่างได้ในวันหนึ่ง แม้บางครั้งก็อาจจะทุลักทุเลไปเสียหน่อย เผลอไปสลับขั้วหรือต่อวงจรผิดไปบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีวันได้สาดแสงส่องสว่าง แค่เพียงรอเวลาที่ทุกการตัดสินใจของคุณค่อยๆ นำทางชีวิตให้เกิดประจุไฟฟ้าจากการเลือกเดินเส้นทางที่ถูกต้อง เมื่อใดที่สามารถต่อสายไฟให้ถูกขั้ว หลอดไฟชีวิตก็เปล่งแสงสว่างได้ดังใจหวัง
คนเราสามารถยอมรับได้แต่อย่ายอมแพ้ ยอมรับในที่นี้คือการยอมรับว่าเรายังไม่เก่งพอ หรือเราก็ทำได้พอๆ กับคนอื่น เพื่อสร้างแรงผลักดันให้เราพัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนที่เก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่คิดว่าตนเองเก่งตั้งแต่แรก แต่เป็นคนกล้าที่จะเรียนรู้ ลองผิดลองถูกอย่างไม่จบสิ้นจนสามารถต่อวงจรชีวิตให้แสงไฟของตัวเองส่องสว่างได้สำเร็จต่างหาก
หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเหมือนการค่อยๆ จุดไฟนำพาแสงสว่างให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งในชีวิต หรืออาจจะสามารถฉุดใครบางคนขึ้นมาจากห้วงความคิดอันมืดมิด เหมือนดังหลอดไฟที่กำลังต่อผิดขั้วจนหลงลืมไปว่าวันหนึ่ง เราก็สามารถส่องแสงได้เช่นกัน
จุดหมายในชีวิตของเรานั้นแตกต่าง ไม่ว่าจะรับปริญญา ไปเรียนต่อต่างประเทศ ได้ทำงานบริษัทในฝัน หรือมีครอบครัวที่อบอุ่น ถึงจะหลากหลายเหมือนสายไฟระโยงระยางเพียงใด แต่สุดท้ายจุดที่มีร่วมกันคือ ทุกคนล้วนอยากเปิดหลอดไฟให้ชีวิตตนเองสุกสว่างอย่างมีความสุข โดยการสมหวังเหมือนเป็นปลายทางแห่งแผงวงจรชีวิตนั่นเอง
ทั้งนี้การจะถึงจุดนั้นได้ทุกคนอย่าลืมว่าระหว่างทาง เราอาจจะหลงทิศ ต่อสายไฟผิด หรือวงจรชีวิตอาจจะมีไฟช็อตบ้าง แต่ตราบใดที่การเดินทางยังไม่สิ้นสุด หน้าที่ของเราจึงเป็นการต่อแผงวงจรชีวิตอย่างดี เรียนรู้ และพัฒนาให้ปลายทาง จนสามารถต่อสายไฟไปยังขั้วที่ถูกต้องให้ชีวิตเราได้ส่องสว่างยิ่งกว่าหลอดไฟ LED ได้
อ่านจนถึงตอนนี้หลายคนคงกำลังคิดว่าแล้วเมื่อไหร่กันที่หลอดไฟของเราจะสว่างไสว ผู้เขียนเองก็กำลังต่อแผงวงจรนี้อยู่เช่นเดียวกัน หลายครั้งที่ไม่เห็นแม้แต่แสงปลายทาง คาดเดาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้แผงวงจรชีวิตนั้นต่อไปถึงไหน เข้าใกล้ความจริงบ้างแล้วหรือยัง ซ้ำร้ายกว่านั้น ผู้เขียนเคยคิดว่าตนเองต่อวงจรผิดขั้วจนเกือบจะรื้อทิ้งทั้งแผงเพียงเพราะเส้นทางเดินสายไฟนั้นผิดไปจากคนอื่นรอบตัว แต่สุดท้ายก็ฉุกคิดว่าได้ว่าแผงวงจรชีวิตของเรา ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะร้ายหรือดี ต้องเกิดจากการตัดสินใจลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ไม่มีใครจะมาคอยรื้อทิ้ง หรือมาช่วยเราต่อได้ทั้งนั้น
การฟังคำแนะนำจากคนอื่นนั้นเป็นเรื่องดี แต่เมื่อไรที่คำพูดของเขากำลังทำลายตัวตน หรือกำลังรื้อเส้นทางเดินสายไฟในแผงวงจรชีวิตของเรา ขอให้การตัดสินใจของเรามาจากเสียงของหัวใจ และความต้องการที่แท้จริง เพราะท้ายที่สุด คนที่จะใช้แสงที่ส่องสว่างจากตัวเราเพื่อนำทางในการใช้ชีวิตต่อไปก็คือตัวเราเอง
บนโลกนี้ไม่มีใครไม่เก่ง จะมีก็แต่คนที่ไม่พยายามเท่านั้น แต่หากเราไปพยายามผิดที่ผิดทางเข้า ต่อให้มีศักยภาพเหมือนดังหลอดไฟ LED ก็ไม่มีทางที่จะส่องสว่างได้ เหมือนคนที่ไม่รู้ขั้วบวก ขั้วลบ แล้วกำลังต่อสายไฟผิดๆ จนไม่สามารถเกิดประจุไฟฟ้าใดๆ
หากคุณเองกำลังคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่ว่าบนโลกใบนี้จะไม่มีใครเชื่อมั่นในตัวคุณอีกต่อไป ยังเหลืออีกหนึ่งคนที่อยู่กับคุณเสมอทั้งในวันที่สุขที่สุด หรือยากลำบากที่สุด นั่นก็คือ ตัวคุณเอง
วันนี้อาจเป็นอีกวันที่คุณตั้งคำถามเกี่ยวกับความสามารถของตนเองอีกครั้ง แต่นี่ไม่ใช่วันสุดท้ายของคุณ ในวันที่โลกมืดมิด ยังมีคุณค่าของคุณ เป็นดั่งหลอดไฟที่กำลังรอให้ตัวคุณเองประกอบร่างสร้างตัวเพื่อส่งกระแสไฟฟ้าให้เกิดแสงสว่าง ไม่ผิดที่คุณจะรู้สึกไม่เก่ง ไม่ผิดที่คุณจะรู้สึกท้อหรือถอยกลับมาตั้งหลักบ้าง แต่เมื่อใดที่คุณพักจนหายเหนื่อย อย่าลืมให้โอกาสตนเองได้ลงมือตามความฝัน หรือทำเพื่อเป้าหมายนั้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเปลี่ยนเส้นทางสู่ความหวังที่เหมือนการขยับแผงวงจรชีวิตอีกกี่ที สุดท้ายปลายทางที่รอเราอยู่ก็คือความสำเร็จที่สุกสว่างดังหลอดไฟที่ได้รับพลังงานอย่างเต็มกำลัง
อย่าสิ้นหวัง ต่อวงจรผิดก็แค่ต่อใหม่ ต่อผิดขั้วก็แค่ขยับหาขั้วใหม่ อยู่ผิดที่ก็แค่โยกย้ายตัวเองออกมาให้ถูกทาง แล้วสุดท้ายหลอดไฟแห่งความสำเร็จก็จะสว่างไสวสมกับที่ตั้งใจ แม้จะไม่มีใครเห็นหรือจะสว่างไม่เท่าแสงจากหลอดไฟของคนอื่น แต่แสงนั้นจะตกกระทบบนดวงตาแห่งความภูมิใจ และเกิดเป็นเงาสะท้อนที่สวยที่สุดในสายตาของคุณและคนที่รักคุณ











