เรื่องและภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ

ที่อยู่จัดส่ง บ้านใหม่
ถึง บรรพบุรุษ
30 มีนาคม 2568
นาฬิกาบอกเวลาตี 3 ได้เวลาตื่นเช้ามาช่วยหม่าม้าเตรียมของเพื่อไปเยี่ยมเหล่ากง (ทวดชาย) เหล่าม่า (ทวดหญิง)
หนูตัดสินใจเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นประจำเทศกาลเช็งเม้ง บันทึกความรู้สึกผ่านจดหมายที่ไม่รู้ว่าจะส่งถึงไหม ได้แต่คาดหวังให้สายลมและควันธูปพาจดหมายลอยไปให้ถึงบรรพบุรุษที่บ้านใหม่
บ้านใหม่หลังนี้คือบ้านหลังสุดท้ายที่คนในครอบครัวชาวจีนส่วนใหญ่จะย้ายไปอยู่ เป็นบ้านที่หลังต้องอิงเขา หน้าต้องเห็นน้ำ บ้านเล็กกระทัดรัดที่เต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว และถูกแต่งเติมด้วยสีสันหลากหลายเมื่อถึงเวลาเทศกาล
‘ฮวงซุ้ย’ บ้านหลังสุดท้ายที่เหล่ากงเหล่าม่าย้ายเข้ามาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ยังดูอบอุ่นทุกครั้งเหมือนที่เคยมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ บรรยากาศเป็นกันเอง ลูกหลานได้มารวมตัวกันในรอบปี ทุกคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ได้พบเจอมา บ้างก็ดี บ้างก็ร้าย บ้างก็เข้าใจ บ้างก็เห็นต่าง แต่สิ่งที่ทุกคนรู้สึกเหมือนกันคือความคิดถึง
ไม่ทันไรเวลาก็ล่วงเลยไปกว่า 3 ชั่วโมง ได้เวลาขึ้นรถเพื่อไปเจอญาติทุกคนที่ศาลเจ้าหน้าสุสาน ระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปสระบุรีเป็นระยะทางที่ไม่ใกล้ ไม่ไกล แต่ก็นานมากพอที่จะให้หม่าม้าได้พักสักนิด หลังจากเตรียมการไหว้บรรพบุรุษครั้งใหญ่ประจำปีมากว่า 3 วัน
สายตาทอดยาวไปตามทาง ทุกครั้งเมื่อวนมาถึงเดือนมีนาคม ความรู้สึกคิดถึงมักเข้มข้นเป็นพิเศษ ถึงแม้จะไม่เคยได้เจอหน้า แต่ก็สัมผัสได้ถึงความใกล้ชิด เราทุกคนตรงนี้รู้จักเหล่ากงเหล่าม่าเป็นอย่างดี เพราะทุกครั้งที่มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในครอบครัว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้งานแต่งงานหรือการฉลองเด็กแรกเกิด คือการพามาแนะนำตัวเมื่อถึงเทศกาลเช้งเม้ง ถ้าคนเป็นได้รู้จักแล้ว คนตายก็ต้องได้รู้จักเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่น เราทุกคนก็คือ ‘ครอบครัว’

อาทิตย์ก่อนหนูได้ไปเยี่ยมบ้านใหม่ของอากง (ปู่) มา อากงไม่ได้อยู่ที่ฮวงซุ้ยเหมือนเหล่ากงเหล่าม่า เพราะก่อนอากงจะย้ายบ้าน อากงตัดสินใจแล้วว่าไม่อยากให้คนรุ่นใหม่ต้องลำบาก เดินทางไกล ๆ ไปไหว้ที่ต่างจังหวัดทุกปี อากงเลือกวัดใกล้บ้านเป็นบ้านหลังสุดท้าย เพราะอยากให้ลูกหลานสบาย เดินทางได้ง่าย และได้เจอกันบ่อย ๆ
ของที่เอาไปเยี่ยมอากง ไม่ได้ต่างจากของที่วันนี้เอามาเยี่ยมเหล่ากงเหล่าม่ามากเท่าไหร่ สิ่งสำคัญที่ต้องไหว้ก็ยังมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น อาหารคาวหวาน ผลไม้ จั่วจัก (กระดาษเงินกระดาษทอง) เสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ที่ต่างไปคือปีนี้เอาไอโฟนมาฝากด้วยนะ



นั่งรถมาได้สักพักก็ถึงที่หมาย อย่างแรกที่ต้องทำคือการไหว้ศาลเจ้า ป๊าบอกว่าเราต้องไหว้เพื่อแจ้งให้ท่านทราบว่าเรามาถึง เหมือนกับการที่เราต้องขอเจ้าบ้านก่อนที่จะเข้าบ้านเขา เหล่ากงเหล่าม่าออกมารอเจอพวกเราตั้งแต่ตรงนี้ หรือว่ารออยู่ที่บ้านใหม่คะ?

หลังจากไหว้เจ้าเสร็จก็ได้เวลาไปโรงเจ ข้าวต้มและกับข้าวสองสามอย่างเป็นแหล่งพลังงานชั้นดีที่จะทำให้มีแรงไปสู้แดดทั้งวัน อาหารง่ายๆ ที่ทำให้อิ่มท้องนั้นเป็นที่พึ่งพิงให้คนยากตั้งแต่สมัยก่อน และจนถึงปัจจุบันก็ได้กลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว ว่าถ้าศาลเจ้ามีโรงเจก็ต้องแวะลิ้มรสสักหน่อย

ป้ายชื่อวิญญาณของผู้เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสุสานถูกจัดเรียงไว้อย่างดีข้างโรงเจ ขณะที่ผู้ใหญ่กินข้าวจึงได้มีเวลาไปสำรวจ ไม่บ่อยครั้งนักที่จะมาตรงนี้ เพราะเป็นที่ที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่มีการตั้งไหว้ ไม่มีพิธีอะไรต้องทำ ความรู้สึกที่ได้เห็นป้ายชื่อของผู้ล่วงลับเรียงรายเป็นร้อยชื่อ เหมือนได้เห็นชื่อลูกบ้านในหมู่บ้านใหญ่ยังไงก็ไม่รู้

เมื่อกินข้าวจนอิ่มท้องและไหว้จนอิ่มใจแล้ว ได้เวลาเคลื่อนตัวไปยังบ้านใหม่ของเหล่ากงเหล่าม่า เพียง 10 นาทีก็ถึงที่หมาย เราทุกคนรีบขนอาหาร ของไหว้ และของตกแต่งลงจากรถ เตรียมพร้อมสำหรับภารกิจสำคัญประจำปี เจ๊ก (อาชาย) เป็นแกนนำในการเริ่มตั้งไหว้เจ้าที่ เจ๊กบอกว่าเป็นเหมือนกับการไหว้ตี่จู่เอี๊ย (เทียบได้กับศาลพระภูมิ) หน้าบ้านก่อนจะเดินเข้าบ้าน


พวกผู้ใหญ่เตรียมของไหว้ พวกเด็กอย่างเราก็เตรียมหยิบดอกไม้มาตกแต่งให้บนหลุมมีสีสัน เกณฐ์การเลือกไม่ได้มีอะไรมากมาย ขอแค่ความหมายดีกับสีสดใสก็เพียงพอ บ้านเรามักเริ่มด้วยการเก็บกวาด ทำความความสะอาดหญ้าวัชพืชที่รกตา ปักดอกดาวเรืองลงไปทีละดอก ตามด้วยโรยดอกรัก ดอกกุหลาบ ดอกบานไม่รู้โรย ปิดท้ายด้วยการวางช่อดอกกล้วยไม้ตรงกลาง ก็เป็นอันเรียบร้อย ปีนี้หนูรับหน้าที่เป็นคนซื้อดอกไม้ ถูกใจไหมคะ?


พอเรียงดอกไม้เสร็จ ของไหว้ก็ตั้งอย่างสวยงาม เราทุกคนเริ่มจุดธูปไหว้โดยเริ่มจากเหล่าผู้อาสุโวก่อน โกว (อาหญิง) เดินมาบอกว่าคนจีนให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโสมาก ทำอะไรต้องมีขั้นตอน ให้เกียรติผู้ใหญ่ก่อนแล้วค่อยตามด้วยผู้เยาว์ ไหว้เราก็ต้องไหว้สามครั้ง ครั้งที่หนึ่งเชิญมารับของไหว้ ครั้งที่สองบอกกล่าวให้รู้ว่าจะเก็บของไหว้ และครั้งสุดท้ายไหว้ก่อนเก็บขอ


ถึงคิวที่ต้องปักธูปลงฟัก ก็นึกถึงสมัยเด็กที่หม่าม้าบอกว่าปักลงบนฟัก เพราะว่าเป็นเหมือนการฟักเงินฟักทอง ที่พ้องเสียงกับคำว่า กวักเงินกวักทอง บ้านเราจะได้ร่ำรวย อยู่กินสุขสบาย แต่พอถามหม่าม้าอีกครั้งปีนี้ ความจริงก็ถูกเฉลยว่า เมื่อก่อนฟักมันถูก อีกทั้งยังนิ่ม ทำให้ปักธูปได้ง่าย ปีหนึ่งใช้แค่ครั้งเดียว เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ปล่อยฝักให้ย่อยสลายไปตามธรรมชาติได้ สมัยเหล่ากงเหล่าม่าโดนหลอกไหมคะ? หรือว่าทั้งสองคนเป็นคนแต่งเรื่องนี้ไว้บอกเด็กๆ แบบหนู
ระหว่างนั่งรอไหว้ครั้งต่อไป เสียงงิ้วที่คุ้นเคยจากวิทยุเครื่องเก่าก็ลอยมา เป็นภาษาที่ไม่เข้าใจสักคำ แต่อุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยิน เหล่าเจ๊กบอกว่าเปิดไว้ดีแล้ว จะได้เป็นการโหมโรง เหมือนกับการรำถวายพรของคนไทย ที่จะได้นำสิริมงคลมาให้ลูกหลาน คอยคุ้มครองครอบครัว อวยพรให้ได้เจอแต่สิ่งดีๆ

ไม่นานนักธูปก็ลดลงมาน้อยกว่าครึ่งดอก เหล่าเจ๊กก็เตรียมไหว้ครั้งที่สอง หลังจากครั้งแรกก็จะมีเพียงแค่เหล่านั้ง (ผู้อาวุโส) ทั้งหลายที่ไหว้แบบปักธูป ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป บ้านเรามีกันเกือบยี่สิบคนถ้าต้องให้ปักธูปทุกคนก็คงจะไม่ไหว เราอยากอนุรักษ์วัฒนธรรมแต่ก็ต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย PM2.5 ใช่เรื่องเล่น ๆ ซะที่ไหนกันล่ะ


นั่งพักเหนื่อยกันได้สักพักเหล่านั้งกับโนเกี้ย (ผู้เยาว์) ก็จับกลุ่มกันคุยตามอัธยาศัย ปีนี้หนูกับเจ้รับบทเป็นผู้สังเกตการณ์ ผู้ใหญ่อายุ 80 กว่านั่งคุยกับเด็กจบใหม่อย่างออกรส นั่งหัวเราะและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตต่างยุคกัน ในขณะที่อีกฝั่งนั่งจับกันเป็นกลุ่มใหญ่ พูดคุยเรื่องราวในอดีตที่ไม่เคยลืม
พอมีเวลาว่างมาก ก็นั่งคุยเยอะ พอคุยกันเยอะเรื่องราวที่ไม่เข้าใจกันก็เกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันด้วยเหตุผลที่ตัวเองยึดมั่น หน้าบ้านเหล่างกงเหล่าม่ากลายเป็นเวทีประทะคารมเล็ก ๆ ก่อนที่จะต้องพักยกเพราะได้เวลาเริ่มไหว้รอบที่สาม


หลังจากไหว้รอบที่สามเสร็จ ก็ถึงเวลาส่งเงินทองให้เหล่ากงเหล่าม่า หม่าม้าทำหน้าที่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลด้วยการเริ่มเผาใบเบิกทาง ซิ้ม (อาสะใภ้) มากระซิบว่ามันก็เหมือนกับการที่เราส่งบุรุษไปรษณีย์ไปตะโกนหน้าบ้านว่ามีของมาส่ง ก่อนที่พวกโนเกี้ยอย่างเรา ๆ จะเผาจั่วจัก เสื้อผ้า และเครื่องใช้ตามไป หวังว่าทุกอย่างจะส่งถึงมืออย่างเรียบร้อย ไม่บุบสลายเหมือนตอนที่พวกหนูใช้ขนส่งธรรมดาบนโลกนะ



หย่อนทองแท่งอันสุดท้ายลงที่เผากระดาษเสร็จ รอจนทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่าน หน้าที่ทุกคนตอนนี้คือการลาของไหว้ และเตรียมตั้งวงกินข้าว แลกเปลี่ยนกันชิมอาหารที่แต่ละบ้านทำมา ปีนี้ปอเปี๊ยะของหม่าม้าก็ยังขายดีเหมือนเดิม เรียกได้ว่ากลายเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลไปแล้วก็ว่าได้ คนทางนี้ชอบกันมาก จนเกิดสงสัยขึ้นมาว่าคนทางนั้นจะชอบเหมือนกันไหม
หยิบซาลาเปาไส้หมูสับเข้าปากก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อส่วนพิธีจบลงก็ได้เวลาเคลียร์ใจความขัดแย้งก่อนการไหว้ครั้งที่สามที่ยังค้างคา ผู้ใหญ่ที่ขัดใจกันเพราะยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ทำให้เด็กอย่างหนูมานั่งสงสัยว่า บ้านใหม่ที่เหล่ากงเหล่าม่าตั้งใจให้เป็นสถานที่รวมตัวกันสักครั้งในรอบปี เพราะต้องการให้ครอบครัวกลมเกลียวนั้นเป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า
ซาลาเปาลูกที่สองยังไม่ทันหมด ความปรองดองก็เริ่มเกิดขึ้น ทุกฝ่ายยังคงไม่เข้าใจกัน แต่ยอมปรับเข้าหาเพื่อที่จะอยู่ร่วมกันได้ เหล่าโกว (ลูกสาวของทวด) เดินมาถามว่า “ที่กินซาลาเปาเข้าไปหน่ะ รู้ความหมายไหม?” หนูนั่งทำหน้างงใส่ ก่อนที่เหล่าโกวจะบอกความหมายว่า หมูสับก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขที่ถูกห่อไว้ในแป้งซาลาเปา เป็นนัยยะที่ต้องการห่อลูกหลานไว้ด้วยกันให้มีความสามัคคีกลมเกลียว
เหล่าโกวบอกว่าทุกอย่างในการไหว้มีความหมายทั้งหมด ไม่ว่าการที่ให้ซาลาเปาเป็นตัวเอกเพราะต้องการแสดงถึงความกลมเกลียวกันของลูกหลาน ต้องตกแต่งทำความสะอาดสุสานเพราะต้องรักษาบ้านของบรรพบุรุษให้เรียบร้อย ต้องเผากระดาษเพื่อส่งเงินส่งทองให้คนทางนั้นอยู่สบาย ความหมายเหล่านี้กลายเป็นตัวแทนของการแสดงออกทางความรักและความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่กลายไปเป็นเทพปกครองพวกเราอยู่ที่อีกฝั่ง

เสียงประทัดเข้าแทรกระหว่างที่เหล่าโกวกำลังสอนเกี่ยวกับความหมายของประเพณีนี้ สิ่งสุดท้ายที่ต้องทำก่อนลากลับบ้าน คือการเชิญแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลับไป ขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปให้หมดด้วยเสียงดังก้องของประทัด เหลือไว้แต่สิ่งดีๆ ให้ติดตัวลูกหลานกลับบ้าน

เมื่อมองไปยังกระดาษสีแดงที่ร่วงลงมาอยู่บนพื้น การไหว้เช้งเม้งสำหรับหนูอาจพูดได้ว่าเป็นความสบายใจ เหล่ากงเหล่าม่าสบายใจที่เห็นครอบครัวกลับมารวมตัวพร้อมกันอีกครั้ง หนูสบายใจว่ายังมีคนปกป้องหนูอยู่ที่ไหนสักแห่งบนสวรรค์ ทำให้หนูกล้าเผชิญหน้ากับความท้าทายในชีวิตมากขึ้น ด้วยความคิดที่ว่ายังไงเราก็คงจะผ่านทุกอย่างไปได้ เพราะยังมีเทพประจำตระกูลคนสำคัญที่ยังคงคิดถึงลูกหลาน ถึงแม้ว่าจะจากไปนานนับ 50 ปี
สุดท้ายนี้ขอให้จดหมายฉบับนี้เผาไหม้ไปพร้อมกับกระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่ ให้ควันธูปและเสียงประทัดลอยนำทางส่งไปให้ถึงมือของเหล่ากงเหล่าม่า คนทางนี้ทำได้แค่รัก และคิดถึงความทรงจำดี ๆ ที่เรามีร่วมกันมา แล้วสักวันเราจะพบกันใหม่ เพราะเราทุกคนไม่เคยไปไหน แค่ย้ายไปบ้านใหม่ในอีกภพเท่านั้น
ด้วยรักและคิดถึง
จาก ลูกหลานที่บ้านเก่า

รายการอ้างอิง
พจนีย์ ตั้งวงศ์พุฒิ. (30 มีนาคม 2568). สัมภาษณ์
Thai PBS Podcast. (2568). เชงเม้ง | เล่ารอบโลก [วีดิทัศน์] สืบค้นจาก https://youtu.be/20xanUnhHBg?si=Wa8e4HoVIrEhLiXe
สํานักข่าวไทย TNAMCOT (MCOT). (2568). เช็งเม้ง เทศกาลแห่งความกตัญญู | มองจีนหลากมุม 5 เม.ย.2568 [วีดิทัศน์] สืบค้นจาก https://youtu.be/GiEEdHBTzto?si=QdL-m_HQZJNS6Hci