เขียน: แพรพิไล เนตรงาม
ภาพ: ภัชราพรรณ ภูเงิน

เคยรู้สึกเหนื่อยไหมที่ต้องพยายามทำหรือควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ใจต้องการ?
ในสังคมที่เร่งรีบและมีการแข่งขันสูง คนเราอาจเคยพบเจอความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวัง ไม่ผ่านสัมภาษณ์งาน มีหน้าที่ที่ต้องดูแลคนในครอบครัว หรือแม้แต่ความผิดที่เคยก่อยังคงวนเวียนอยู่ในใจไม่จางหาย เราคาดหวัง เราโกรธ เราโลภ เราหลงในบางสิ่ง จนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่เคยปล่อยให้เราได้พักหายใจเลย
‘การปล่อยวาง’ จึงอาจเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่ง ที่เราจะได้วางทุกอย่างลง และปล่อยให้ใจเราได้เป็นอิสระ แต่ทำไมในสังคมยุคปัจจุบัน การปล่อยวางจึงเป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่อาจทำได้ยาก เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความคาดหวัง? ยึดติดกับคติที่ว่าอย่ายอมแพ้? ความคับแค้นในใจเมื่อเกิดความไม่ยุติธรรม? หรือแม้แต่การไม่ยอมสูญเสียความสัมพันธ์ที่ทุกอย่างไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิม?
เพื่อให้เราได้เข้าใจ ‘การปล่อยวาง’ ในสังคมยุคปัจจุบันได้มากขึ้น วันนี้ Varasarn Press จึงเรียนเชิญ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทรงสิริ พุทธงชัย จากคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับมุมมองการปล่อยวางในโลกยุคปัจจุบัน
ความหมายแห่งการปล่อยวาง
“ในมุมมองของเราการปล่อยวางคือ ‘เราอยู่กับปัจจุบัน’”
สิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่า ‘ความจริง’ (Reality) ในภาษาพระไตรปิฎกหรือพระอภิธรรมเรียกความจริงนี้ว่าเป็น ‘การเกิดนิมิต’ แต่ในทางฟิสิกส์จะเรียกว่า ‘การสังเกตอะไรบางอย่าง’ เพราะเรามองเห็นสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบ A B และ C ต่อๆ กัน เช่นเดียวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘จุด’ ระหว่างกันไป เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากในแต่ละขณะ และมันแยกออกจากกัน เช่น เรานั่งอยู่และเราก็นั่งคุยกันต่อ ความหมายของคำว่า ‘การปล่อยวาง’ จึงขึ้นอยู่กับว่าเราให้ความหมายกับมันว่าอย่างไร
อีกมุมหนึ่งคือคนเราในยุคปัจจุบันต่างยังมีเรื่องให้ยึดติดกับอะไรบางอย่าง และการยึดติดนี้มันเป็น ‘ความไม่ปกติ’ แต่ก็กำลังใช้ชีวิตให้เรื่องที่ ‘ไม่ปกติ’ นี้กลายเป็นเรื่อง ‘ปกติ’ เพราะคนในยุคปัจจุบันยังมีปัจจัยภายนอก เช่น กฎหมาย คำสัญญา หรือความผูกพันที่ผูกระหว่างกันอยู่ เขาจึงพูดกันว่า ‘ถ้าใครสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว คุณก็ต้องไปบวช’ เพราะคุณจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ มันเป็นคนละโลกที่ไม่สามารถใช้ฐานคิดเดียวกันได้ คุณจะไม่สามารถอยู่กับคนที่เขายังยึดติดอยู่ เพราะคุณสละหมดแล้ว
“แค่เราทำความเข้าใจว่า เราไม่สามารถยึดติดอะไรไว้ได้อยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่ถ้าเรายังยึดติดก็หมายความว่า ‘เรากำลังฝืนธรรมชาติอยู่’”
ความยึดติดและการปล่อยวาง
ถ้าคุณจะไม่ปล่อยวาง คุณไม่ต้องปล่อยวางก็ได้ ในที่สุดธรรมชาติจะทำให้คุณไม่สามารถจดจำทุกสิ่งได้ทั้งหมดตลอดไปอยู่แล้ว จะช้าหรือเร็วก็ตาม
“เวลาจะช่วยเยียวยาคุณเอง เพราะทุกสิ่งไม่มีอะไรคงทนถาวร”
อย่างที่เคยบอกไปว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันก็ผ่านไปแล้ว ถ้าเรายังยึดติด มันคือ ‘ความไม่ปกติ’ แต่ทุกวันนี้มนุษย์เรายังทำให้ ‘ความไม่ปกติ’ เหล่านั้นเป็น ‘ความปกติ’ เพราะชีวิตเรายังต้องจดจำกับการกระทำบางอย่าง เช่น การทำงาน การสื่อสาร สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ‘สัญญา-บัญญัติ’ เพื่อทำให้เราอยู่ในวงวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดที่เราต้องปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ
อีกด้านหนึ่งการปล่อยวางอาจหมายถึง ‘การทิ้งขยะบางส่วน’ เพื่อสร้างพื้นที่ใหม่ๆ ให้เราได้คิดเรื่องราวใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เราสามารถอยู่กับตัวเองและจดจ่อกับสิ่งตรงหน้าได้ โดยปราศจากการฟังเสียงจากคนอื่น เหมือนการรื้อตู้เสื้อผ้า ถ้าเรามีเสื้อผ้าที่เราใส่ไม่ได้แล้ว แต่เรายังคิดว่าใส่ได้อยู่ จะไม่มีเสื้อผ้าใหม่ๆ ที่เหมาะกับเรา เช่นเดียวกับการไม่ละทิ้งตัวตนเดิม เราก็ไม่สามารถพัฒนาเป็นคนใหม่ได้
“การที่เรากลับมาอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เราอยู่กับตัวเองมากขึ้น แล้วรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะกับเราจริงๆ และเราจะไม่ยึดติดอยู่กับอดีตที่มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวเราในปัจจุบันแล้ว”
สายสัมพันธ์และการปล่อยวาง
ในมุมของเราการยึดติดมีขั้นตอนของมัน ถ้าคุณไม่สามารถปล่อยวางชีวิตของตัวเองได้ คุณอาจยังไม่รู้จักธรรมชาติดีพอ แต่ถ้าคุณอายุมากขึ้น คุณอาจจะเริ่มทำใจได้ แต่ความยากของการปล่อยวางคือ ‘ความสัมพันธ์’
คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ ในโลกมนุษย์ ทำให้เราต้องมีทั้งสัญญา ความจำ กฎหมาย ประเพณี ความกตัญญู เรื่องทางกายภาพ และสภาวะทางจิตใจ ประกอบร่างสร้างเป็นความยึดมั่นในระดับหนึ่ง ถ้าคุณปล่อยวางไม่ได้ คุณก็จะถูกเรื่องใหม่ๆ ในชีวิตทับถม แม้คุณคิดว่าคุณปล่อยวางได้ แต่จะมีเงื่อนไขข้อหนึ่งในทางสังคมผูกคุณไว้อยู่ดี
สมมติเราต้องดูแลพ่อแม่ที่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย จนถึงขั้นที่เราดูแลรักษาพวกเขาไม่ได้แล้ว มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่เราติดอยู่กับ ‘ความเป็นสุดท้าย’ ที่เราก็นึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่จะสุดท้ายจริงๆ เพราะเราต้องอยู่กับสภาพที่เกิดขึ้น หากเราไม่ให้การดูแลใดใดแก่พวกเขาแล้ว คำถามคือ ‘แล้วเมื่อไหร่’ คือสุดท้ายจริงๆ
คำถาม ‘เมื่อไหร่’ ตรงนี้ เป็น ‘ความยาก’ ที่สังคมไม่อนุญาตให้คนดูแลสามารถปล่อยวางพวกเขาได้ง่ายๆ เพราะการตัดสินใจไม่ให้เขาใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ในการยื้อชีวิต ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน เช่น ฉัน-แม่ แล้ว ถ้าเป็นเรื่องของเราตัวคนเดียว จะตัดสินใจได้ง่ายมาก เพราะฉันจะเป็นอะไรไป ตายแล้วก็แล้วกัน แต่ถ้าฉันต้องดูแลแม่ ในสมการนี้ก็ยังไม่ได้มีแค่ ‘แม่’ อยู่ดีที่จะร่วมตัดสินใจ ยังมีคนอื่นๆ อีก เช่น บุคลากรทางการแพทย์ คนดูแล และญาติ เป็นสิ่งที่ถาโถมเข้ามาประกอบการตัดสินใจ ในกรณีนี้การปล่อยวางอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
การุณยฆาตกับการปล่อยวาง
หากอิงจากซีรีส์เกาหลีเรื่อง หมอหัตถ์เทวดา (Doctor John) ที่นำเสนอถึงแนวคิด ‘การการุณยฆาต’ คนเราอาจคิดว่า ‘การตายดี’ คือการไม่ต้องทรมาน บางคนอาจคิดว่าหนทางที่จะแก้ไขการใช้ชีวิตที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีศักดิ์ศรี หรือไม่มีความสุขได้จริงๆ อาจเป็น ‘การตาย’ เพราะคุณอาจคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีความหมายสำหรับตัวเอง อาจยังยึดติดว่าชีวิตฉันจะต้องมีประโยชน์ การที่เราทำตัวเป็นภาระก็เหมือนเราไม่มีศักดิ์ศรี
ทว่าซีรีส์เรื่องนี้ก็ให้ข้อคิดว่า การการุณยฆาตไม่ควรถูกมองว่าเป็นทางออกสำหรับการจบชีวิตได้อย่างง่ายดาย เพราะใครก็ตามที่คิดว่าชีวิตตัวเองไม่มีคุณค่า ก็จะหันไปใช้วิธีการการุณยฆาตนี้ เพื่อทำให้เขาหายไปจากโลกนี้ได้ง่ายๆ เลย ในทางกลับกัน สำหรับตัวคุณคนเดียว คุณสามารถจากโลกนี้ไปได้ง่ายๆ แต่คนที่ยังรักคุณล่ะ กลายเป็นว่าการปล่อยวางนี้ ไม่ได้คิดถึงสายสัมพันธ์ เป็นเรื่องยากที่คนๆ หนึ่งจะปล่อยให้คนที่ตัวเองรักต้องตาย
“การที่เรายังอยู่ คุณต้องรู้ว่าคุณไม่ได้อยู่เพื่อตัวคุณเอง แต่คุณต้องอยู่ เพราะคนอื่นเขาเห็นคุณตายไม่ได้”
คุณค่าแห่งการปล่อยวาง
“การปล่อยวางทำให้เราเห็นชัดเจนขึ้นว่า ชีวิตเราต้องการอะไร”
คำว่า ‘การปล่อยวาง’ สำหรับเราไม่ได้หมายถึง ‘การลืม’ ถ้าเราจะต้องลืมสิ่งหนึ่ง กลายเป็นว่าเราไม่ลืม เพราะเรายังมี ‘ความต้องการ’ ที่จะไม่ลืมอยู่ ดังนั้นความต้องการตรงนี้ก็ยังคงติดอยู่ในความคิดของเรา จึงไม่ได้เป็นการปล่อยวางอย่างแท้จริง
การปล่อยวางคือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันของเรา อดีตมันผ่านไปแล้ว มีแค่ตัวเราเท่านั้นที่ยังคิดว่ามันยังอยู่ ถ้าเราจดจ่อกับปัจจุบันมากขึ้น เราก็จะรู้สึกมีความสุขในปัจจุบัน เพราะชีวิตมีเรื่องตรงหน้าที่จะต้องรับผิดชอบอีกมากสำหรับคนในยุคนี้ ถ้าเราทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุด ความสุขมักเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ไม่ได้ต้องมีความหมายอะไรยิ่งใหญ่ เช่น ถ้าเราเต็มที่กับการเขียนหนังสือ แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว
จากบทสัมภาษณ์สะท้อนให้เห็นถึงเงื่อนไขและปัจจัยภายนอกบางอย่างทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการมีอยู่ของกฎหมาย คำสัญญา หรือความสัมพันธ์ ที่ยังผูกพันธะบางอย่างระหว่างกันไว้ ยิ่งเรายึดทุกอย่างไว้กับตัวเอง โดยที่ไม่เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราโดยที่เราไม่รู้ตัว
หากเราพยายามที่จะเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของความไม่เที่ยง และยอมรับว่าทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เราได้มองเห็นตัวตน เรียนรู้ความต้องการภายใน และนำไปสู่การพัฒนาตัวเอง เพราะ ‘การปล่อยวาง’ อาจไม่ได้แปลว่าเรายอมแพ้ในสิ่งหนึ่ง แต่อาจหมายถึง การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้คุณค่าของชีวิต









