เรื่องและภาพประกอบ: เปรมชนก พฤกษ์พัฒนรักษ์

วันนี้ วันที่ 25 ตุลาคม เป็นวันศิลปินนานาชาติ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเชิดชูศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานผ่านศิลปะทุกแขนงทั่วโลก ทว่าในปัจจุบันทุกๆ วงการ ไม่เว้นวงการศิลปะทางดนตรี กลับถูกปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วงชิงพื้นที่การประกอบอาชีพ ทั้งการแต่งเนื้อเพลง แต่งดนตรี สร้างเสียงดนตรี ปรับจูนเสียง โดยไม่ต้องมีต้นทุนจากการศึกษาทฤษฎีและฝึกฝนทักษะทางดนตรีเท่ากับมนุษย์ และหลายครั้งผลงานเพลงที่ AI สร้างขึ้นอาจมาจากการลอกเลียนแบบผลงานของมนุษย์ที่ยังไม่ได้รับอนุญาต จึงอาจมองได้ว่า AI ขโมยผลงานเพลงของมนุษย์ แล้วยังอาจขโมยช่องทางการทำมาหากินของมนุษย์ต่อไปด้วย
ต้นกำเนิดของดนตรีนั้นยังคงปริศนาอย่างหนึ่งของมนุษย์ โดยแบ่งทฤษฎีแนวคิดได้เป็น 2 แบบคือ แนวคิดทางชีววิทยา ซึ่งเชื่อว่าดนตรีเกิดจากวิวัฒนาการของร่างกายและสมอง และยังมีงานวิจัยที่ชี้ว่ามนุษย์มียีนเกี่ยวกับการเรียนรู้ดนตรี ส่วนอีกทางคือแนวคิดทางสังคมวัฒนธรรม ซึ่งพูดถึงดนตรีในแง่ที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรมที่เกิดพร้อมภาษาเพื่อการสื่อสารและแสดงอารมณ์ในกลุ่มสังคม แล้วเหตุใดในปัจจุบัน ดนตรีที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ที่เกิดจากร่างกายและสมอง หรือเป็นสิ่งประดิษฐ์เพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึก กลับอาจถูก AI ที่เป็นเครื่องจักรกลืนกินไปได้
สิ่งที่น่าตั้งคำถามคือ อาชีพที่ต้องนำเอาความรู้สึกและประสบการณ์ชีวิตที่มาจากความเป็นมนุษย์อย่างวงการศิลปะ กลับถูก AI เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันหรือทำให้เกิดการหยุดชะงัก (Disruption) เพราะแม้หลายคนจะเข้าใจว่า AI สามารถเข้ามาทดแทนความสามารถในการทำงานของศิลปินในทุกแขนงอยู่แล้ว แต่ปัจจุบัน AI กำลังถูกพัฒนาความสามารถสู่ระยะที่เข้ามาแทนที่มืออาชีพในวงการดนตรีได้แล้ว เราจึงอยากพาผู้อ่านทุกท่านมาร่วมกันรับฟังมุมมองของศิลปินทางดนตรีทั้ง 2 คน ซึ่งมีมุมมองที่ไม่เหมือนกันต่อ AI ในการสร้างสรรค์เพลง เพื่อสะท้อนถึงทิศทางการสร้างสรรค์ในวงการศิลปะ และทิศทางการรับชมรับฟังศิลปะของผู้คนในแขนงดนตรี
ปวเรศ องค์ประเสริฐ นักดนตรีวง LENARY ซึ่งถ่ายทอดดนตรีแนว Progressive Instrumental ซึ่งเป็นแนวดนตรีแนวร็อคที่ประยุกต์เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ของผู้แต่งโดยไม่มีเนื้อร้อง นอกจากนี้ปวเรศยังเป็นนักประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ (Film Score Composer) โดยเขายังมีผลงานการแต่งเพลงประกอบโฆษณา และเพลงประกอบซีรีส์อีกด้วย
ด้านอภิรักษ์ โชควศิน เป็นนักร้อง นักดนตรี และนักแต่งเพลงแนวอินดี้จากวง DirtyRoom ที่เริ่มต้นแต่งเพลงจากความชอบทางดนตรีและศิลปินแนวป็อป จนได้ออกเพลงแนวอินดี้สากลเป็นของตัวเองในเวลาต่อมา
โดยวิธีการแต่งเพลงของทั้งสองคนมีความแตกต่างกันคือ ปวเรศมักเริ่มแต่งเพลงจากโจทย์ของผู้จ้างงานที่เป็นเจ้าของสื่อนั้นๆ หรือเริ่มจากการนำ Motif ซึ่งเป็นแนวทำนองสั้นๆ ที่ถูกใจมาขยายเป็นเพลง ต่างจากอภิรักษ์ที่เริ่มต้นใหม่จากศูนย์ด้วยตัวเอง คือเริ่มแต่งแต่ละเพลงจากเนื้อเพลงที่คิดขึ้น แล้วจึงมาใส่คอร์ดภายหลัง
ในขณะที่ปวเรศมีผลงานที่ภูมิใจที่สุดคือเพลง ‘มาม่วน’ ซึ่งเป็นเพลงประกอบวิดีโอ Welcome to Thammasat TU90 ‘มาม่วน’ วิดีโอที่จัดทำเพื่อต้อนรับเพื่อนใหม่ธรรมศาสตร์รุ่นที่ 90 โดยสิ่งที่ภูมิใจที่สุดคือขั้นตอนการทำงานที่ทำให้ปวเรศได้รู้จักกับดนตรีพื้นบ้านไทย อย่างแคนและพิณ ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าบรรยากาศในการทำงานสนุกที่สุดตั้งแต่ได้แต่งเพลงมา
สำหรับเพลงที่ถือว่าชื่นชอบหรือภูมิใจที่สุดที่ได้แต่ง อภิรักษ์กล่าวว่าเพลง ‘So I Try’ ที่ตนได้แต่งและใช้เป็นผลงานแรกของวง DirtyRoom นั้นน่าภูมิใจที่สุด เพราะเป็นเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตและมีเนื้อหาให้กำลังใจ
จากบทสนทนาเบื้องต้น ผู้เขียนจึงตั้งข้อสังเกตถึงความสุขของนักแต่งเพลง ว่าสิ่งที่ทำให้คนแต่งเพลงมีความสุขในการทำงาน อาจไม่ใช่การได้รับความนิยมหรือขนาดงานที่ใหญ่ แต่กลับเป็นขั้นตอนการทำงานที่ทำให้นักแต่งเพลงรู้สึกมีชีวิตชีวาและได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หรือเป็นเนื้อหาหลักของเพลงที่ผู้แต่งต้องการสื่อถึงผู้ฟัง
AI : ตัวช่วยหรือศัตรูของนักแต่งเพลง
ปวเรศกล่าวว่าตัวเองยังไม่เคยใช้ AI เพื่อช่วยในการแต่งเพลง และมองว่าหากผู้จ้างงานไม่รับรู้ถึงคุณค่าทางศิลปะ กล่าวคือหากไม่เข้าใจในขั้นตอนการทำงานของวงการเพลงที่ต้องมีตำแหน่งมากมาย ทั้งนักแต่งเพลง นักดนตรี นักร้อง ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเสียง (Sound Engineer) ซึ่งทุกตำแหน่งสมควรได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่าสำหรับทักษะและความรู้ทางดนตรี รวมถึงคุณค่าทางศิลปะที่มาจากการกลั่นกรองอารมณ์และประสบการณ์ชีวิตของคน ดังนั้น หากผู้ว่าจ้างไม่เข้าใจถึงคุณค่าของงานดนตรีที่ควรได้รับค่าตอบแทน ก็อาจเกิดการกดราคาได้ ผลที่ตามมาคือนักแต่งเพลงที่อยู่ในระดับปานกลางจะถูก AI แย่งชิงพื้นที่ในการทำงาน เพราะมีราคาที่ถูกกว่ามาก แต่ถ้าเพลงเหล่านั้นถูกสร้างจากคนที่ไม่มีพื้นฐานทางดนตรี หรือพึ่งพา AI โดยไม่มีความเข้าใจในดนตรี งานที่ออกมาอาจขาดความลุ่มลึกและขาดคุณค่าได้
ในขณะที่อภิรักษ์กล่าวว่าเขาก็ไม่เคยใช้ AI เช่นกัน เนื่องจากเวลาแต่งเพลงจะมีภาพในหัวเสมอ แต่ก็เข้าใจนักแต่งเพลงคนอื่นๆ ที่อาจใช้ AI เป็นตัวช่วยในการสร้างไอเดียเวลาที่ ‘หัวตัน’ และยังมองว่า AI นั้นเป็นเครื่องมือมากกว่าคู่แข่งของนักแต่งเพลง
มนุษย์แต่งเพลง VS AI แต่งเพลง ยังแตกต่างกันอยู่ไหม
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในอีเวนต์ครบรอบ 20 ปีของวงไอดอลญี่ปุ่นชื่อดัง AKB48 ที่จัดการแข่งขันแต่งเพลงระหว่าง อากิโมโตะ ยาซูชิ (Akimoto Yasushi) โปรดิวเซอร์นักแต่งเพลงฮิตของวง และ AI ของ Google Gemini ที่ถูกฝึกจากผลงานก่อนๆ ของอากิโมโตะ ผลการโหวตจากแฟนคลับคือ AI เป็นผู้ชนะ ทางเราจึงได้สอบถามความคิดเห็นของนักแต่งเพลงทั้ง 2 คนถึงเหตุการณ์นี้
ปวเรศกล่าวว่า ผู้โหวตรวมถึงผู้ฟังดนตรีทั่วไปในปัจจุบันอาจไม่ได้เล็งเห็นผลกระทบจากการที่ AI เข้ามาสร้างความปั่นป่วนต่อวงการเพลง เพราะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร อีกทั้งตอนนี้หลายคนไม่สามารถแยกออกแล้วว่าเพลงไหนสร้างโดย AI และเพลงไหนสร้างโดยมนุษย์ เพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถสร้างสรรค์ผลงานในระดับอุตสาหกรรมได้แล้ว มีเพียงไม่กี่อย่างที่ AI ยังไม่สามารถทำได้ นั่นคือความคมคายของภาษาในเนื้อเพลง ที่ยังไม่สามารถทำได้เหมือนคน อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่นานหาก AI สามารถเรียนรู้แบบแผนและหลักการใช้ภาษาได้มากขึ้น อาจทำให้ผลงานแต่งเพลงของ AI แทบไม่มีความแตกต่างกับผลงานของมนุษย์
ในขณะที่อภิรักษ์มีมุมมองอีกแบบคือ ดนตรีนั้นถูกสร้างจากความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้สร้าง แม้บางครั้งอาจได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ของผู้อื่น แต่ผู้แต่งก็ยังต้องมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับเหตุการณ์นั้นเพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นดนตรี ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ AI ไม่มี อภิรักษ์มองว่าหากผู้โหวตได้ทราบในภายหลังว่าเพลงที่ตนเลือกถูกสร้างโดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึก ก็อาจจะไม่มีอารมณ์ร่วมต่อเพลงนั้นอีก
อนาคต ศิลปินมนุษย์จะหายไปไหม
ปวเรศมองว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า AI จะเข้ามาทำให้เกิดการหยุดชะงักในวงการดนตรีประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่งผลนักแต่งเพลงที่อยู่ในระดับกลางลงไปอาจจะอยู่ไม่ได้หากขาดการพัฒนา ศิลปินทางดนตรีจึงไม่ควรปิดกั้น AI แต่มองมันเสมือนศัตรูที่เก็บไว้ใกล้ตัว (Keep the Enemy Close) ศึกษาให้รู้ถึงความสามารถของ AI แต่สร้างผลงานที่เป็นของตัวเอง
“AI ถูกฝึกให้นำผลงานของคนอื่นมาสร้างเป็นเพลงใหม่ ผลงานเพลงที่สร้างขึ้นจะไม่มีทางเป็นของคุณได้ จนกว่าคุณจะทำมันขึ้นมา 100 เปอร์เซ็นต์ เราอาจจะยังรอด ถ้าเรายังภูมิใจในผลงานที่มาจากเราเอง”
ส่วนอภิรักษ์มองว่า ต้องเป็นศิลปินที่มีเอกลักษณ์จึงจะอยู่รอดในอนาคต นักแต่งเพลงจึงต้องพัฒนาตัวเอง และสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในชีวิตเสมอ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ AI ขาดไป นั่นคือการที่ไม่มีประสบการณ์ของตัวเอง ทำให้ไม่มีการเติบโตที่แท้จริง และต้องมีผลงานของมนุษย์ก่อนจึงจะมีผลงานของ AI ได้ ดังนั้นมันจึงทำได้แค่เดินตามหลังมนุษย์เท่านั้น ศิลปินจึงต้องเชื่อมั่นในตัวเองและพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อให้ตัวเองมีเอกลักษณ์ที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
“เชื่อในความเป็นตัวของตัวเอง ถ้ายังไม่เก่ง เราก็ยังพัฒนาต่อได้ แล้วหาเอกลักษณ์ของตัวเองให้เจอ สุดท้ายเราก็จะสู้กับ AI ได้”
ในยุคที่ AI ทำได้ทุกสิ่งอย่าง ความหมายของมนุษย์ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตเสียงดนตรีจะยังมีอยู่อีกไหม
เสียงดนตรีของมนุษย์คือการบอกเล่าความรู้สึก ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต และประสบการณ์แบบเฉพาะตัว แม้ดูผิวเผิน AI จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ แต่สิ่งที่ยังไม่สามารถลอกเลียนแบบได้คือหัวใจของผู้สร้างเสียงดนตรี
เราจึงอาจตั้งคำถามได้ว่าหากเราเลือกเสพผลงานเพลงจาก AI แล้ว คุณค่าของผลงานศิลปะจากใจของศิลปินคนหนึ่งจะถูกลดค่าลงจากการเข้ามาฉกฉวยโอกาสของ AI หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการสร้างอาชีพ หรือโอกาสในการสร้างสัมพันธ์ทางอารมณ์ของคนสู่คน เพราะเมื่อไรก็ตามที่เทคโนโลยีไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือในการช่วยเหลือแต่กลายเป็นสิ่งที่แย่งชิงพื้นที่ทางอารมณ์ของมนุษย์ เราอาจไม่มีดนตรีที่เกิดจากใจของใครอีก
วันศิลปินนานาชาติจึงไม่ใช่แค่วันเฉลิมฉลองศิลปิน แต่คือการย้ำเตือนว่า ศิลปินมนุษย์ยังมีสิ่งที่เทคโนโลยีทดแทนหรือเลียนแบบไม่ได้ คือการถ่ายทอดความรู้สึกจริงจากคนหนึ่งสู่อีกคน จากใจดวงหนึ่งสู่ใจอีกดวง
รายการอ้างอิง
BBC. (2568). Japanese girl group release AI-assisted single after fan vote. วันที่สืบค้น 22 ตุลาคม 2568. https://www.bbc.com/news/articles/c1kwvlyrjyxo
The Standard. (2564). มนุษย์เป็นสัตว์ดนตรีจริงไหม ดนตรีและเครื่องดนตรีมาจากไหน ย้อนประวัติศาสตร์หาต้นตอเสียงเพลงที่จรรโลงมนุษยชาติมาเนิ่นนาน. วันที่สืบค้น 24 ตุลาคม 2568. https://thestandard.co/music-instruments-origin/








