Art & CultureWritings

ในเมื่อไม่มีอะไรเป็นต้นฉบับอีกต่อไป เรายังต้องเคารพต้นฉบับอยู่ไหม?

เขียน: ปานชีวา ถนอมวงศ์

ภาพประกอบ: ภัชราพรรณ ภูเงิน

“ไม่มีอะไรเป็นต้นฉบับที่แท้จริงหรอก จงขโมยจากอะไรก็ตามที่สะท้อนถึงแรงบันดาลใจ หรือจุดประกายจินตนาการของคุณ และเลือกขโมยแค่จากสิ่งที่สื่อสารกับจิตวิญญาณอย่างตรงไปตรงมา ถ้าคุณทำตามนี้ ผลงาน (และการขโมย) ของคุณก็จะเป็นของแท้ ความจริงแท้เป็นสิ่งที่ล้ำค่า ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่มีจริง ดังนั้น อย่ามัวปิดบังว่าคุณขโมยมันมา แต่จงเฉลิมฉลองให้กับมัน และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำที่ Jean-Luc Godard เคยกล่าวไว้ว่า ‘ไม่สำคัญว่าคุณเอาสิ่งต่างๆ มาจากไหน แต่สำคัญที่ว่าคุณจะนำมันไปสู่อะไร’”

คำพูดที่ครั้งหนึ่ง Jim Jarmusch ผู้สร้างภาพยนตร์และนักดนตรีชาวอเมริกันเคยกล่าวเอาไว้ในบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร MovieMaker ในปี พ.ศ.2547 ถึงโลกยุคปัจจุบันที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนประกอบสร้างขึ้นจากการนำแนวคิดและสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่แล้วมาเป็นแรงบันดาลใจ จนทำให้ความคิดริเริ่มหรือสิ่งที่เป็น ‘ต้นฉบับ’ อาจไม่มีจริงอีกต่อไป ซึ่งเมื่อหันกลับมาสำรวจทิศทางของวงการภาพยนตร์ในปัจจุบันก็พบว่า ผู้สร้างภาพยนตร์หันมาสร้างภาพยนตร์ที่พึ่งพาและอิงเนื้อหาจากผลงานที่มีอยู่แล้ว (Pre-existing Material) หรือที่มักเรียกกันว่า ‘ภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ต้นฉบับ (Non-original)’ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่สิ่งที่อดตั้งคำถามไม่ได้คือ เมื่อความคิดริเริ่มอาจไม่มีจริงอีกต่อไป แล้วเรายังคาดหวังจะเห็นการสร้างสรรค์ใหม่ๆ ในวงการนี้ได้อยู่ไหม?

ข้อมูลจาก CJ Stallworth เผยแพร่ใน Medium ระบุว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 ถึงปี พ.ศ.2567 วงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด (Hollywood) มีจำนวนภาพยนตร์ต้นฉบับ (Original) ที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้อ้างอิงเนื้อหาจากผลงานที่มีอยู่แล้ว ลดลงจากร้อยละ 40.9 เหลือเพียงร้อยละ 18.6 ของจำนวนภาพยนตร์ที่ฉายทั้งหมดในแต่ละปี ขณะที่ภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ต้นฉบับมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 59.1 เป็นร้อยละ 81.4 ซึ่งปัจจัยที่ทำให้การสร้างภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ต้นฉบับมีมากขึ้น ได้แก่ ราคาและความเสี่ยงของโปรดักชันที่สูงขึ้น การแข่งขันกับแพลตฟอร์มสตรีมมิง และการสร้างความน่าดึงดูดทางการตลาด ทำให้สตูดิโอผู้สร้างและผู้สร้างภาพยนตร์จำเป็นต้องหันกลับมาพึ่งพาเนื้อหาที่คนดูรู้จักกันเป็นวงกว้างอยู่แล้ว รวมถึงการอาศัยความโหยหาอดีต (Nostalgia) ของกลุ่มคนดูเพื่อให้พวกเขาตั้งตารอดูสิ่งที่ตัวเองคิดถึงกลับมาฉายบนจออีกครั้ง

ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจในวงการภาพยนตร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า แม้สิ่งที่เป็นต้นฉบับอาจไม่มีจริงอีกต่อไป และแม้ ‘การขโมย’ อาจนำไปสู่ความจริงแท้ที่ล้ำค่า แต่เมื่อการผลิตซ้ำมีแนวโน้มมากขึ้น แล้วจะทำอย่างไรให้ความสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้ และหากเราไม่ต้องการผลิตซ้ำ เรายังจำเป็นต้องเคารพต้นฉบับอยู่อีกหรือไม่

ก่อนอื่นเราคงต้องทำความรู้จักกับภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ต้นฉบับเสียก่อน ซึ่งในบทความนี้จะพูดถึงภาพยนตร์ประเภทนี้ 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ภาพยนตร์ชุด (Sequel, Prequel และ Spin-off) ภาพยนตร์ดัดแปลง (Adaptation) และภาพยนตร์สร้างใหม่ (Remake และ Reboot)

ภาพยนตร์ชุด ได้แก่ ภาคต่อ (Sequel) ที่เป็นการเล่าเรื่องต่อจากภาคก่อนหน้า ภาคต้น (Prequel) ที่เป็นการเล่าเรื่องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น และ ภาคแยก (Spin-off) ที่เป็นการเล่าเรื่องแยกตัวออกจากภาพยนตร์ภาคหลัก ซึ่งภาพยนตร์ชุดทั้ง 3 ประเภทนี้มักถูกสร้างเพิ่มขึ้นมาเมื่อภาพยนตร์เรื่องเดิมมีจักรวาลที่สามารถนำมาต่อยอดได้ หรือมีฐานคนดูจำนวนมาก สตูดิโอผู้สร้างจึงกำจัดความเสี่ยงด้วยการอาศัยฐานคนดูเดิมเป็นหลักประกันในการสร้างเม็ดเงินและทำภาพยนตร์ภาคต่อ ภาคต้น และภาคแยกเหล่านี้ออกมา

ข้อสงสัยหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเดินตามรอยเท้าจักรวาลเดิมเช่นนี้จะนำไปสู่การผลักตัวเองออกจากกรอบ และมีความสร้างสรรค์ได้อย่างไร ซึ่งนำไปสู่ภาพยนตร์ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งคือ Blade Runner 2049 (2017) ภาพยนตร์ภาคต่อที่ทิ้งช่วงห่างจากภาคแรกถึง 35 ปี แต่ยังสามารถสร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวได้

Blade Runner 2049 (2017) กำกับโดย Denis Villeneuve เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวต่อจาก Blade Runner (1982) กำกับโดย Ridley Scott แม้ทั้งสองภาคจะเป็นเรื่องราวของโลกดิสโทเปียที่มีการคิดค้นมนุษย์เทียมให้มีความฉลาดกระทั่งอาจนำมาสู่หายนะของมนุษย์ พล็อตของทั้งสองภาคจึงเหมือนกันในแง่ของการไล่ล่าและแก่นเรื่องหลักที่ตั้งคำถามถึงความเป็นมนุษย์ แต่ Villeneuve สามารถพาคนดูไปสำรวจแง่มุมที่กว้างและลึกขึ้น จากภาคแรกที่เป็นการให้ตัวละครมนุษย์ในเรื่องตั้งคำถามถึงความเป็นมนุษย์ของตัวเองผ่านการตามสังหารมนุษย์เทียม กลายเป็นการสลับมุมมองและพาเราไปสำรวจความซับซ้อนภายใน ‘จิตใจ’ ของมนุษย์เทียม ถึงการโหยหาการมี ‘ชีวิต’ ผ่านความทรงจำ ความสัมพันธ์ และจิตวิญญาณ จนคนดูย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘เราเป็นมนุษย์เพราะเหตุใด’ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความร่วมสมัย และยังคงถูกตั้งคำถามในปัจจุบัน นอกจากนี้ Blade Runner 2049 ยังมีความโดดเด่นด้านการกำกับภาพที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากหนังภาคแรก โดยสามารถใช้เทคนิคด้านแสง สี และการจัดองค์ประกอบในการถ่ายทอดภาพของโลกอนาคตได้อย่างมีเสน่ห์ แต่ให้ความรู้สึกอ้างว้างได้อย่างน่าพิศวง จนสามารถคว้างรางวัลออสการ์สาขากำกับภาพยอดเยี่ยมในปี พ.ศ.2561 ไว้ได้

ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงอาจช่วยชี้ทางว่าการนำผลงานเก่ามาตีความให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น ผสานกับวิสัยทัศน์ของผู้สร้างภาพยนตร์ และความสามารถในการสื่อสารด้วยภาพโดยอาศัยเทคนิคที่ทันสมัย ก็ช่วยให้ภาพยนตร์มีความโดดเด่นได้ด้วยตัวเองแม้จะยังคงยึดโยงกับเรื่องราวเก่า

ถัดมาคือภาพยนตร์ดัดแปลง ซึ่งจะนำเรื่องราวหรือผลงานที่มีอยู่แล้วมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ทั้งสารคดี นวนิยาย หนังสือการ์ตูน ละครเพลง ละครเวที วิดีโอเกม หรือแม้แต่ของเล่น โดยการนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ทำได้ทั้งแบบซื่อตรงต่อต้นฉบับ (Faithful Adaptation) ซึ่งจะเน้นความถูกต้องของเนื้อหาให้ตรงตามผลงานเดิม ยึดมั่นในโครงสร้างการเล่าเรื่องและวิสัยทัศน์ของเจ้าของผลงานต้นฉบับตามจริงให้ได้มากที่สุด หรืออีกลักษณะหนึ่งคือการดัดแปลงแบบยืดหยุ่น (Loose Adaptation) ที่เป็นการใช้ผลงานต้นฉบับเป็นสารตั้งต้น แต่จะตีความใหม่โดยนำต้นฉบับมาปรับโครงเรื่อง ตัวละคร และแก่นเรื่อง ให้เข้ากับผู้ชมยุคใหม่มากขึ้น รวมถึงเป็นการสำรวจมุมมองใหม่ต่อยอดจากประเด็นในต้นฉบับ โดยที่ยังคงรักษาแก่นเดิมของเรื่องไว้ และทำให้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

การดัดแปลงจึงอาจฟังดูเป็นวิธีการที่ผู้สร้างภาพยนตร์สามารถนำเรื่องราวที่มีอยู่แล้วมาพลิกแพลงได้มากกว่า โดยอาศัยการอ้างอิงจากผลงานที่มีอยู่แล้ว แต่คำถามคือควรดัดแปลงอย่างไรให้ภาพยนตร์ที่สร้างใหม่น่าจดจำ Irma Vep (1996) ก็เป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีการหยิบยืมองค์ประกอบและตัวละครจากผลงานต้นฉบับ แต่เป็นภาพยนตร์ที่นับว่า ‘มาก่อนกาล’ จนถึงทุกวันนี้

Irma Vep (1996) กำกับโดย Olivier Assayas เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยการ ‘รีเมค’ โดยหยิบยืมตัวละครและเรื่องราวจากภาพยนตร์ชุดเรื่อง Les Vampires (1916) หากแต่ไม่ใช่เพียงการนำเรื่องราวของ Irma Vep หญิงสาวในชุดดำรัดรูปที่ทำงานให้แก๊งอาชญากรรมซึ่งเป็นตัวละครหลักในภาพยนตร์ต้นฉบับ และเป็นที่มาของชื่อเรื่องมาเล่าใหม่ แต่เป็นเรื่องราวของกองถ่ายที่พยายามรีเมคภาพยนตร์ชุดเรื่อง Les Vampires (1916) เพื่อสำรวจและวิพากษ์วิจารณ์การสร้างภาพยนตร์ในสมัยนั้น โดย Assayas เลือกจางม่านอวี้ หรือ Maggie Cheung นักแสดงชาวฮ่องกงมาเล่นเป็นนักแสดงที่จะมารับบท Irma Vep ซึ่งเดิมนักแสดงที่เล่นตัวละครนี้ในภาพยนตร์ต้นฉบับจะเป็นหญิงสาวชาวฝรั่งเศส ดังนั้นนอกจากจางม่านอวี้จะเป็นนักแสดงเอเชียที่เล่นเป็นตัวละครหลักในภาพยนตร์ตะวันตก ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในสมัยนั้นแล้ว เธอยังเปรียบเสมือนตัวแทนของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เมื่อภาพยนตร์จากฝั่งเอเชียมีอิทธิพลมากขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นการสำรวจการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ในวันที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ยังคงโหยหาอดีต และห้วงความคิดอันซับซ้อนของผู้สร้างภาพยนตร์ ที่พาคนดูตั้งคำถามกับการ ‘ซื่อตรงต่อต้นฉบับ’ เมื่อนักแสดงหลักไม่ได้มีเชื้อชาติและเอกลักษณ์ตรงตามต้นฉบับดังในอดีตแบบที่คนดูอยากเห็น อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่มีความขบถทั้งในด้านการตีความต้นฉบับ และการรื้อถอนโครงสร้างของภาพยนตร์

Irma Vep (1996) จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าการที่ภาพยนตร์สามารถสร้างความท้าทายได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่การหยิบยกองค์ประกอบหรือเรื่องราวจากผลงานที่มีอยู่แล้วขึ้นมาชำแหละ แล้วนำไปผสานเข้ากับไอเดียใหม่ หรือสะท้อนประเด็นที่มีความเป็นปัจจุบันมากขึ้น ก็สามารถนำไปสู่การสร้างสรรค์ที่ตราตรึงได้

ภาพยนตร์ประเภทสุดท้ายคือภาพยนตร์สร้างใหม่ โดยแนวคิดหลักของภาพยนตร์ประเภทนี้คือการนำภาพยนตร์เก่ามาสร้างขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะในรูปแบบของการรีเมค (Remake) ที่เป็นการสร้างใหม่โดยยึดโครงเรื่องเดิมไว้ โดยอาจเล่าเรื่องเหมือนต้นฉบับทั้งหมด หรือดัดแปลงด้วยการเสริมเรื่องราวใหม่เข้าไปบางส่วนก็ได้ หรือรีบูต (Reboot) ที่เป็นการสร้างใหม่ให้มีความแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยมักใช้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่เป็นการรีเซ็ตเรื่องราวใหม่ทั้งหมด

แน่นอนว่าแนวคิดนี้อาจฟังดูจำเจ แต่แม้จะเป็นการหยิบยกสิ่งที่เคยทำไปแล้วมาสร้างขึ้นใหม่ ทว่านี่ก็อาจเป็นการช่วยแปลงโฉมของเก่าและเพิ่มคุณค่าผลงานใหม่ในแบบของตัวเอง เมื่อผู้สร้างภาพยนตร์สามารถนำไอเดียของตัวเองเข้ามาเติมหรืออุดช่องว่างนั้นได้ ดังเช่นภาพยนตร์เรื่อง Suspiria (2018)

Suspiria (2018) กำกับโดย Luca Guadagnino เป็นภาพยนตร์รีเมคจากเรื่อง Suspiria (1977) กำกับโดย Dario Argento โดยที่ยังคงเนื้อเรื่องเดิมเกี่ยวกับนักบัลเลต์สาวชาวอเมริกันที่ได้เข้าเรียนในสถาบันสอนเต้นในเยอรมนี กระทั่งได้ค้นพบความลับอันดำมืดของสถาบันแห่งนี้ แม้ Suspiria (1977) จะขึ้นหิ้งเป็นภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกอยู่แล้ว แต่ Guadagnino ก็สามารถนำมันมาสร้างใหม่โดยการเปลี่ยนโฉมแทบจะสิ้นเชิง จากต้นฉบับที่ใช้สีนีออนฉูดฉาดกลายเป็นโทนภาพที่หม่นหมองดูลึกลับ จากการเต้นบัลเลต์อ่อนช้อยในต้นฉบับกลายเป็นการเต้นด้วยท่วงท่าสมัยใหม่ที่กระฉับกระเฉงทรงพลัง และจากการดำเนินเรื่องเร็วตามสูตรภาพยนตร์สยองขวัญกลับกลายเป็นการเล่าแบบ Slow Burn ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ นอกจากนี้ยังเสริมประเด็นความตึงเครียดทางการเมืองในเยอรมนี และการเปลี่ยนขั้วอำนาจที่ราวกับเป็นการไถ่บาปให้เหล่าผู้หญิงที่ต้องทนทุกข์จากความรุนแรงและการใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรม ซึ่งไม่พบในภาพยนตร์เวอร์ชันเก่า

แม้ตัวผู้กำกับจะให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาเพียงแค่รีเมค แต่เป็นการสักการะ Suspiria (1977) ของ Dario Argento ซึ่งยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขาตลอดมาหลังจากได้ดูเมื่อสมัยวัยรุ่น จึงได้สร้างภาพยนตร์ในเวอร์ชันของตัวเองเพื่อเก็บบันทึกและถ่ายทอดความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ความหลงใหลอันแรงกล้าของ Luca Guadagnino ที่มีต่อ Suspiria (1977) ทำให้เห็นว่า นอกจากความเคารพที่มีต่อต้นฉบับแล้ว หากผู้สร้างภาพยนตร์ซื่อตรงต่อไอเดียของตัวเอง และกล้านำมันมาแปลงโฉมสิ่งที่มีอยู่แล้ว ความสร้างสรรค์อันมาจากความรู้สึกและตัวตนของผู้สร้างภาพยนตร์ก็ยังคงเกิดขึ้นได้

ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญในการสร้างความโดดเด่นให้กับภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นโดยอิงผลงานที่มีอยู่แล้ว คือการมองเห็นศักยภาพและจุดแข็งของภาพยนตร์ ซึ่งความทรงพลังของภาพยนตร์คือการสื่อสารกับคนดูด้วยภาพและการเล่าเรื่อง ดังนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการสร้างคือภาพ สี การเคลื่อนไหว รวมถึงการใช้เสียง แสง และมุมกล้อง ในการเล่าเรื่องราวและถ่ายทอดอารมณ์ องค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยเป็นแรงเสริมให้ผู้สร้างภาพยนตร์สามารถถ่ายทอดแนวคิดและความรู้สึกไปสู่คนดูได้พร้อมๆ กับการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวของภาพยนตร์

การหยิบยืมหรือ ‘ขโมย’ สิ่งที่มีอยู่แล้วมาสร้างภาพยนตร์ แม้จะไม่ใช่ ‘ความคิดริเริ่ม’ แต่ไม่ได้หมายความว่าความคิดสร้างสรรค์ตายแล้วเสมอไป  การมีความคิดสร้างสรรค์จึงไม่ได้แปลว่าเราต้องหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วเป็นแรงบันดาลใจ หากแต่เป็นการนำแรงบันดาลใจเหล่านั้นมาเพิ่มคุณค่าด้วยการสร้างเอกลักษณ์ในรูปแบบของตัวเอง สิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดเรื่องราวที่อาศัยการตีความ ประสบการณ์ และวิสัยทัศน์ของตัวคนสร้าง ซึ่งบางครั้งเป็นการตั้งคำถามกับสิ่งเดิมๆ แล้วชำแหละมันออกมาสำรวจหาความเป็นไปได้เพื่อแปลงโฉมสิ่งที่มีอยู่ให้เป็นผลงานใหม่ และสะท้อนตัวตนของคนสร้างออกมา เมื่อนั้นเองที่ความจริงแท้จะปรากฏ และมันจะกลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด


รายการอ้างอิง

CJ Stallworth. (2023, November 23). The Rise of Non-Original Content: How Hollywood is Running Out of Ideas. Medium. https://medium.com/@writtenbycjay/the-rise-of-non-original-content-how-hollywood-is-running-out-of-ideas-886f33379629

Fiveable Content Team. (2025). Faithful vs. Loose Adaptation. Fiveable. https://fiveable.me/the-craft-of-writing-film-focus/unit-7/faithful-vs-loose-adaptations/study-guide/tkC3ikFlg2cxuZXx

Kuhn, A., & Westwell, G. (2020). “Adaptation.” In A Dictionary of Film Studies. Oxford University Press. https://researchguides.dartmouth.edu/filmstudies/adaptations#:~:text=It%20is%20claimed%20that%20adaptations,and%20J.K.%20Rowling’s%20Harry%20Potter

PatSonic. (15 ธันวาคม 2566). Sequel, Prequel และ Spin-off คืออะไร? หาคำตอบได้ที่นี่.

https://www.patsonic.com/movie/sequel-prequel-spin-off

Raina A. (n.d.). Cinema – a powerful tool of communication. Nirma University Institute of Design.

The Art of Adaptation – A Thoroughly Modern Essay. (2017, October 6). Thoroughly Modern

Reviewer. https://thoroughlymodernreviewer.com/2017/10/06/the-art-of-adaptation-a-thoroughly-modern-essay/

กฤตพล สุธีภัทรกุล. (23 มิถุนายน 2565). ส่องความแตกต่าง หนัง “รีเมค-รีบูต-ภาคต่อ” ทริคโกงเงิน ค่าย        “ฮอลลีวูด”. กรุงเทพธุรกิจ.

https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1011726?anm&fbclid=bQIxMQABHocsdp4RMnuOcC4LTcaa_bD8G-3dTKKzuN2avq3IkgmtjttvutsPtfsXNfx_aem_1q_n4iCuLjt2e4ODzQWqwA

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
0
Love รักเลย
0
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0
Writings

Performative Male: หนุ่มธงเขียว ดีจริงหรือ

เขียน: วรัชยา สุริยะพันธุ์     ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ ‘ใส่เสื้อวินเทจ สะพายกระเป๋าผ้า ถือหนังสือสตรีนิยม ดื่มเพียวมัจฉะแต่ห้ามเป็นร้านนายทุน’ คือ Dress Code ของกิจกรรม Thammasat ...

Writings

ตำนานที่ถูก ‘เคลม’: กระสือใน Dead By Daylight และการปะทะของอัตลักษณ์ชาตินิยม

เขียน: จิระกานต์ วรรณธะสุข ภาพประกอบ: ปานชีวา ถนอมวงศ์ Dead By Daylight หรือในวงการสตรีมเมอร์เรียกว่า ‘ดบดล’ เกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอดชื่อดัง ที่มักสร้างความตื่นเต้นด้วยการหยิบตัวละครจากแฟรนไชส์ชื่อดังมาปรากฏตัว เช่น Steve Harrington จากซีรีส์ชื่อดัง Stranger Things และล่าสุดได้สร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัวตัวละครตัวใหม่อย่าง ‘กระสือ’ ที่ถูกระบุชัดเจนว่าเป็นฆาตกรไทยตัวแรกในเกม ผีกระสือในตำนานพื้นบ้านคือหญิงสาวที่ศีรษะหลุดลอยออกมาพร้อมเครื่องในห้อยระย้า ออกหากินของสดและเลือดในยามค่ำคืน ...

Writings

หนังอิสระไทยอยู่ไหน? : สำรวจเส้นทางของหนังอิสระบนขวากหนามแห่ง “อุตสาหกรรม”ภาพยนตร์ไทย

เรื่องและภาพ: ปานชีวา ถนอมวงศ์ คุณจะคิดถึงหนังอะไรเป็นอย่างแรกเวลาไปโรงหนัง? แน่นอนว่าหนังฮอลลีวูดครองตลาดอุตสาหกรรมหนังในไทยมาเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่และมีความต้องการสูง อีกทั้งยังมีคุณภาพการผลิตสูงเพราะได้รับทุนสร้างจำนวนมาก จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ ถึงอย่างนั้นจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในปี 2023 โดยข้อมูลจาก Marketing Oops! ชี้ให้เห็นว่า หนังไทยเริ่มครองตลาด และทำรายได้ถึง 54% ซึ่งมากกว่าหนังฮอลลีวูดที่ทำรายได้อยู่ที่ 38% ของรายได้จากหนังทั้งหมด ...

Features

ม้ารุ่นใหญ่ ม้ารุ่นใหม่: กระแส ‘สาวม้า’ ในมุม ‘เซียนม้า’ ราชกรีฑาสโมสร

เขียน: วรัชยา สุริยะพันธุ์ ภาพประกอบ: ต้นกล้า สิทธิเวช สนามม้าราชกรีฑาสโมสร สนามแข่งม้าใจกลางเมืองที่เคยเงียบเหงากลายเป็นแหล่งรวมตัวของคนรุ่นใหม่นับพันคนในชั่วข้ามคืน เมื่อเกม ‘Umamusume: Pretty Derby’ เกมมือถือสัญชาติญี่ปุ่นที่นำม้าแข่งในชีวิตจริงมาแปลงร่างเป็นสาวน้อยน่ารักกำลังเป็นกระแสมาแรงในประเทศไทย ต่อยอดมาถึงกิจกรรมวันที่ 14 กันยายน ที่ผ่านมา เมื่อเหล่านักคอสเพลย์ (การแต่งกายเลียนแบบตัวละครจากสื่อบันเทิง) แฟนคลับเกม และอินฟลูเอนเซอร์วงการเกมมือถือนับร้อยมารวมตัวยังสนามม้าแห่งสุดท้ายในกรุงเทพฯ ...

Writings

ผู้หญิงเหนือเงา ‘ชาย’

เรื่องและภาพ: ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร ในอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดซีรีส์วายคือหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และสร้างรายได้มหาศาลทั้งจากในและนอกประเทศ แต่ท่ามกลางความรุ่งเรืองนั้น หากลองมองลึกเข้าไปในโครงสร้างของการเล่าเรื่องจะพบว่า ผู้หญิง มักจะถูกลดบทบาทให้เหลือเพียงตัวประกอบในศูนย์กลางของเรื่องราวความรักชาย-ชาย หากมองย้อนกลับไปในยุคแรกๆ บทบาทของผู้หญิงคือ ตัวร้าย หรือ ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save