เรื่อง: พรรณรมณ ศรีแก้ว
ภาพ: วรินธร อมรากุล
วันที่สัมภาษณ์: 16 ตุลาคม 2565
ดีล ‘ควบรวมทรู-ดีแทค’ เป็นประเด็นร้อนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เลื่อนพิจารณาการควบรวมจากวันที่ 12 ต.ค. ไปเป็น 20 ต.ค. ที่จะกำลังถึง ทำให้หลายองค์กรซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคแสดงจุดยืนคัดค้านการควบรวมธุรกิจสื่อโทรคมนาคมครั้งนี้ เพราะมองว่าดีลควบรวมดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
หากถามว่าการควบรวมทรู-ดีแทคมีความสำคัญอย่างไร ทำไมจึงควรจับตามองการควบรวมค่ายมือถือ 2 ค่ายนี้ด้วยก็ต้องเกริ่นก่อนว่า ประเทศไทยมีผู้ให้บริการเครือข่ายมือถืออยู่ 4 ราย คือ บริษัทแอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) หรือเอไอเอส บริษัททรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น (TUC) หรือทรู บริษัทดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) หรือดีแทค และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ซึ่งหากมีการควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทค จะทำให้เหลือผู้ให้บริการ 3 ราย คือ เอไอเอส ทรู-ดีแทค และ NT
การควบรวมนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนอกเสียจากผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือน้อยลงไปรายหนึ่ง แต่หากพิจารณาตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดแล้ว เราคงต้องหันกลับมาคิดใหม่ เพราะตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดโทรคมนาคมของประเทศไทยอยู่ที่เอไอเอส 47.72% ทรู 31.99% ดีแทค 17.41% และ NT 2.83% นั่นหมายความว่า หากมีการควบรวมกันระหว่างทรู-ดีแทค ส่วนแบ่งการตลาดจะกลายเป็น เอไอเอส 47.72% ทรู-ดีแทค 49.40% NT 2.83% ซึ่งส่วนแบ่งการตลาดของ NT นั้นอาจต่ำเกินไปที่จะแข่งขันในวงการเครือข่ายมือถือได้ จึงกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า หากเกิดการควบรวมระหว่างทรู-ดีแทค เราจะเหลือผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่เพียง 2 รายซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดพอๆ กัน
ส่วนแบ่งการตลาดที่สูสีกันนี้ย่อมส่งผลกระทบอื่นๆ ตามมาเป็นลูกโซ่ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่เราจำเป็นต้องจับตามองหากเกิดการควบรวมนี้ขึ้น Varasarn Press จึงขอชวนทุกคนมาดูผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อผู้บริโภคกับคุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) ผู้คัดค้านการควบรวมทรู-ดีแทคตั้งแต่แรกเริ่ม
การควบรวมทรูกับดีแทคจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างไร
สารีอธิบายว่า จากการศึกษาภายในประเทศ และนักวิชาการหลายรายมีความเห็นตรงกันว่า หากมีการควบรวมกิจการระหว่างทรู-ดีแทคจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างแน่นอน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยหากการแข่งขันภายในตลาดโทรคมนาคมยังเป็นเหมือนในปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นประมาณ 7-12% บางการศึกษาชี้ว่า 2-19% และตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 13% แต่หากผู้ให้บริการเลือกที่จะไม่แข่งขันกัน แต่ทำการแบ่งตลาดกันแทน ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นได้สูงสุดถึง 244.5%
กล่าวคือ หากค่าบริการเครือข่ายมือถือในปัจจุบันโดยเฉลี่ยของคนไทยหนึ่งหมายเลขอยู่ที่ 220 บาทต่อเดือน เมื่อเกิดการควบรวมทรู-ดีแทค และไม่มีการแข่งขันกันเอง คนไทยก็อาจต้องจ่ายค่ามือถือเพิ่มขึ้นเป็น 537.9 บาทต่อเดือน
การควบรวมยังทำให้การลงทุนกิจการโทรคมนาคมในพื้นที่ห่างไกลลดลง เพราะสร้างกำไรได้น้อยกว่าพื้นที่ในเมือง ส่งผลให้คนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงบริการเครือข่ายโทรคมนาคมได้ยากขึ้น ส่วนคนในเมืองที่สามารถเข้าถึงบริการได้ก็จะต้องจ่ายค่าบริการที่สูงขึ้น
สารีอธิบายต่อว่า นอกจากผู้บริโภคแล้ว ตลาดโทรคมนาคมก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะการควบรวมจะทำให้เกิด Duopoly (การที่ผู้ให้บริการจาก 3 รายเหลือเพียง 2 ราย) ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันกันเอง ส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศล้าหลัง ผู้ให้บริการรายใหม่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดได้ยากด้วยข้อจำกัดด้านเงินลงทุนที่จะต้องใช้เงินลงทุนอย่างน้อยสองแสนล้านบาทเป็นขั้นต่ำ และอุปสรรคด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทำให้เกิดผู้ให้บริการรายใหม่ได้ยาก เราอาจจะต้องรออีกประมาณ 10 ปี จึงจะมีผู้ให้บริการรายใหม่ที่สามารถเข้ามาในตลาดโทรคมนาคมได้ และทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น
จะเห็นได้ว่า ผลกระทบจากการควบรวมทรู-ดีแทคนั้นไม่ได้มีเพียงค่าบริการโทรคมนาคมของคนไทยที่จะสูงขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงโอกาสเข้าถึงบริการโทรคมนาคมของคนในสังคม และกระทบถึงเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศที่จะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวอีกด้วย
การที่กทสช.เลื่อนพิจารณาการควบรวมทรู-ดีแทคจากวันที่ 12 ต.ค. ไปเป็น 20 ต.ค. เนื่องจากต้องรอรายงานผลศึกษาผลกระทบจากต่างประเทศนับเป็นสัญญาณที่ดีหรือไม่
สารีมองว่าการที่กสทช.เลื่อนพิจารณาการควบรวมทรู-ดีแทคนั้นมองได้สองทาง ทางแรกคือกสทช.จะมีเวลาและความรอบคอบในการพิจารณาการควบรวมมากขึ้น ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดี แต่ในอีกทางหนึ่งก็อาจมองได้ว่ากสทช.เลื่อนพิจารณาเพราะต้องการให้กระแสสังคม ‘เบาลง’ เพราะในคืนวันที่ 11 ต.ค. 2565 แฮชแท็ก #หยุดผูกขาดมือถือ ได้ขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งของประเทศไทย
ผู้บริโภคทำอะไรได้บ้าง
สารีกล่าวว่าผู้บริโภคสามารถแสดงความคิดเห็นและจุดยืนต่อการควบรวมได้หลายช่องทาง ทั้งลงชื่อคัดค้านผ่านเว็บไซต์ Change.org หรือแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยต่อการควบรวมทรู-ดีแทค โดยผู้บริโภคควรคำนึงว่าการควบรวมนั้นเกี่ยวข้องและส่งผลกระทบด้านลบต่อตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นต่อคนอาจจะไม่มากนัก แต่เมื่อรวมทุกหมายเลขที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มแล้วจะพบว่ามีมูลค่าสูงมาก
นอกจากนี้ สอบ. ยังเชิญชวนให้ประชาชนโหวต NO #หยุดผูกขาดมือถือ โดยการชูสองมือเป็นเครื่องหมายกากบาท หรือตัว X พร้อมติดแฮชแท็ก #ประชาชนไม่อนุญาตควบรวม #ค้านควบรวมทรูดีแทค #หยุดผูกขาดมือถือบนโซเชียลมีเดีย เพื่อ แสดงจุดยืนให้กสทช.เห็นว่าประชาชนไม่เห็นด้วยกับการควบรวมกิจการทรู-ดีแทค
อ้างอิง
ฉัตร คำแสง. 2022. 5 เรื่องเล่า vs 5 เรื่องจริง ดีลควบรวมทรู+ดีแทค และบทบาทของ กสทช.. สืบค้นจาก https://www.the101.world/5-narratives-vs-5-facts-about-dtac-true-merger/#_edn1
ณัฐพร เทพานนท์. 2022. ‘จาก 220 จะต้องเสีย 537 บาท’ ลูกไก่ในกำมือทุนผูกขาดคลื่นความถี่?. สืบค้นจาก https://decode.plus/20220813-monopoly-network/
สำนักข่าวอิศรา. 2022. เปิดผลศึกษา‘ที่ปรึกษาตปท.’ ชี้ควบ TRUE-DTAC ทำแข่งขันลด-ค่าบริการแพงขึ้น-รายใหม่เกิดยาก. สืบค้นจาก https://www.isranews.org/article/isranews-news/112820-nbtc-board-TRUE-DTAC-Amalgamation-A-Study-on-the-Impact-of-a-Proposed-Merger-news.html