เขียน: ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร
ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ

คุณกำลังตามเทรนด์หรือเปล่านะ
การเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทุกปีกลายเป็นปรากฏการณ์น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยไปกว่าเทรนด์แฟชั่น เมื่อไหร่ก็ตามที่มีของรุ่นใหม่เปิดตัวออกมา ก็จะเหมือนมีแรงดึงดูดให้ผู้คนรู้สึกว่าต้องซื้อ มิเช่นนั้นจะตกเทรนด์ ไปได้ทันที
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าคิด คือ ต้นทุนที่เกิดจากการผลิตซ้ำ เพื่อตอบสนองความต้องการที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไม่รู้จบไม่ได้มีเพียงแค่ขยะอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังเป็นการสูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น
ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า ปี 2564 ประเทศไทยมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์สูงถึง 435,187 ตัน และคาดว่าจะมากขึ้นทุกปี
แม้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะมีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล และวัสดุหมุนเวียนในการผลิต แต่ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การจัดการขยะปลายทางเท่านั้น หากแต่อยู่ที่การผลิตซึ่งใช้ทรัพยากรและพลังงานมหาศาล
วันนี้ Varasarn Press จะพาไปฟังมุมมองจาก นราธิป บันเทิงสุข วัย 25 ปี นักรีวิวสายเทคโนโลยีจากช่อง YouTube ‘ThePeak Channel’ ถึงบทบาทของการเป็นนักรีวิวในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่า ‘Fast Tech’ ที่สะท้อนแนวคิดและวิถีชีวิตแบบ Fast Fashion
ทุกวันนี้นวัตกรรมของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ มันดีจนน่าตื่นเต้นจริงๆ หรือเป็นแค่ Fast Fashion ที่ทุกคนต้องมี
นราธิปบอกว่า เทคโนโลยีสมาร์ทโฟนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รุ่นไอโฟน 13 ไม่ได้มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดมากนัก การเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยมีอะไรที่น่าตื่นเต้น ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามามีเพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคให้หันมาซื้อรุ่นใหม่ตามกระแส
“ส่วนตัวมองว่าคนไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ แต่อยากได้เพราะมันเป็นรุ่นใหม่ และอยากจะทำเทรนด์ ไม่น้อยหน้าในสังคมครับ”
ในฐานะนักรีวิวสายเทคโนโลยี การโปรโมทสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ โดยที่ได้สิทธิพิเศษจากค่ายมือถือหรือแบรนด์สินค้า มีผลต่อเนื้อหาที่นำเสนอมากน้อยแค่ไหน
นราธิปกล่าวว่า ทั่วไปแล้วช่องของเขาไม่ได้รับสิทธิพิเศษมากนัก หากเป็นสมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยด์บางยี่ห้อ อาจได้รับเครื่องมาทดลองใช้ก่อนการวางขายจริง แต่สำหรับแบรนด์ใหญ่อย่างไอโฟน ก็ยังต้องซื้อด้วยตัวเองเหมือนลูกค้ารายอื่นๆ และแม้จะได้รับเครื่องมาก่อน สำหรับเขาก็ไม่มีผลกับการนำเสนอเนื้อหา
“สุดท้ายเราก็อยากนําเสนอ Fact (ข้อเท็จจริง) ถ้าเรามองไปในอนาคต สมมุติคนซื้อตามเรา คนก็จะรู้อยู่แล้วว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มันดีไม่ดีอย่างไร ถ้าเราบอกว่าดี แต่เค้าไป Test (ทดลอง) แล้วมันไม่ดีจริงๆ ในเรื่องที่เราพูดว่ามันดี มันก็จะเป็นประวัติไม่ดีกับเรา ว่าคนนี้พูดไม่ถูกต้อง พูดโกหก ซึ่งเทียบกับในอนาคตมันไม่คุ้มค่าที่จะแลกกับสิ่งที่บิดเบือนความจริงในด้านเนื้อหา”
รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้โทรศัพท์ซ่อมยากขึ้นจริงไหม และในฐานะที่ได้จับอุปกรณ์โดยตรง มีความเห็นต่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีอายุใช้งานสั้นลงอย่างไร
เจ้าของช่อง ThePeak Channel บอกว่า ถ้าเราย้อนเวลากลับไปเมื่อสิบปีก่อน สมาร์ทโฟนถูกออกแบบมาให้ซ่อมง่าย ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่หรือชิ้นส่วนเองได้ แต่ต่อมาในช่วงปี 2018-2019 ซึ่งเป็นยุคที่ผู้ผลิตแข่งขันกันอย่างหนักในด้าน ‘แฟชั่น’ โดยเน้นดีไซน์สมาร์ทโฟนให้บางและเบา ทำให้ในช่วงนั้นซ่อมได้ยากขึ้น และทนทานน้อยลง เพราะทุกอย่างถูกบีบอัดรวมในชิ้นเดียว
แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมือถือเริ่มหันกลับมาออกแบบสมาร์ทโฟนให้ซ่อมง่ายขึ้น แม้จะไม่ได้ซ่อมง่ายเหมือนเมื่อสิบปีก่อน แต่ก็ถือว่าดีกว่าช่วงก่อนโควิด เช่น แบตเตอรี่ที่สามารถออกแบบให้เข้ากับรูปทรงเครื่อง แต่ยังคงถอดเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น ระบบกาว แผงวงจร หรือการจัดเรียงน็อตก็ถูกพัฒนาให้ง่ายต่อการซ่อมแซมมากขึ้น เพียงแต่ผู้ใช้งานทั่วไปก็ยังคงต้องพึ่งพาช่างหรือเครื่องมือเฉพาะทางอยู่ดี
เขายังบอกด้วยว่า ปัจจุบันอะไหล่ที่ใช้ในการซ่อมสมาร์ทโฟนไม่ได้หายากเหมือนที่หลายคนคิด สามารถสั่งได้จากต่างประเทศ เช่น จีน ซึ่งทำให้การซ่อมสะดวกกว่าเดิม เพียงแต่ยังคงมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ฟีเจอร์ที่ผูกกับระบบเฉพาะของแบรนด์ อย่างเซ็นเซอร์ (Face ID) ของไอโฟน ที่ผู้ใช้ไม่สามารถเปลี่ยนเองได้ ต้องอาศัยช่างหรือศูนย์บริการเท่านั้น
“เมื่อก่อนถ้าซ่อมเองก็น่าจะมีแค่เปลี่ยนแบตเตอรี่ ถ้าจะซ่อมเมนบอร์ด หรืออะไหล่พวกนี้ มันก็ต้องเข้าศูนย์หรือให้ช่างซ่อมอยู่ดี”
กฎหมาย Right to Repair (สิทธิในการซ่อม) ในมุมมองนักรีวิวเป็นอย่างไร
ถ้ามีกฎหมายนี้เกิดขึ้น จะช่วยให้การซ่อมแซมสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องง่ายขึ้น ในความเป็นจริง อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนภายในสมาร์ทโฟนก็ใช้มาตรฐานใกล้เคียงกันทั่วโลกอยู่แล้ว ยกเว้นรุ่นพิเศษ เช่น ไอโฟนในจีนที่รองรับ 2 ซิม ที่มีถาดซิมหรือแบตเตอรี่ที่แตกต่างกันเล็กน้อย
สมาร์ทโฟนแต่ละค่ายมีมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล วัสดุหมุนเวียนในการผลิต คุณรู้สึกว่าถ้ามีกฎหมายนี้เข้ามาจะช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นกว่าเดิมไหม
นราธิปตอบคำถามนี้ว่า กฎหมายนี้น่าจะช่วยลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ในระดับหนึ่ง เพราะหากซ่อมแซมได้ง่ายขึ้น ผู้ใช้ก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานสมาร์ทโฟนออกไป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อน สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในปัจจุบันมีแบตเตอรี่และฮาร์ดแวร์ที่ทนทานขึ้น
แต่แม้จะซ่อมง่ายขึ้นและใช้ได้นานขึ้น ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่อง ‘อายุการใช้งาน’ เพราะเมื่อใช้สมาร์ทโฟนไป 6-7 ปี ต่อให้เครื่องยังคงใช้งานได้ดีอยู่ ผู้ใช้ก็มักจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่อยู่ดี จากข้อจำกัดด้านซอฟต์แวร์หรือระบบเครือข่ายมือถือที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญอีกด้านคือการที่บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนต้องพัฒนาวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิล เช่น พลาสติกโลหะให้ได้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
คำแนะนำในการการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟน
“มองดูความจำเป็นจริงๆ ก่อนว่ามันจำเป็นจริงไหม”
นราธิปปิดท้ายว่า หลายคนอาจรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนสมาร์ทโฟนใหม่เมื่อใช้งานไปได้ประมาณ 3 ปี เพราะรู้สึกว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม แต่ความเป็นจริงแล้ว ความเร็วและความแรงของเครื่องนั้นยังคงใช้งานได้ดีอยู่ ดังนั้น การเปลี่ยนแบตเตอรี่อาจเพียงพอแล้ว เพราะจะช่วยยืดอายุการใช้งานไปได้อีก 1-2 ปี จนกว่าเครื่องจะช้าลงจนไม่สามารถใช้งานได้จริงๆ สำหรับคนที่ไม่มีความจำเป็นเปลี่ยนเครื่องใหม่บ่อยๆ ทั้งนี้ควรตรวจสอบสภาพเครื่องด้วยอย่าให้พัง 100% และควรสำรองข้อมูลไว้เพื่อป้องกันอุปกรณ์พังแบบกะทันหัน
กฎหมาย Right to Repair (R2R) หรือ สิทธิในการซ่อม คือ กฎหมายที่ให้ผู้บริโภคมีสิทธิในการซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้บริโภคสามารถเข้าถึง อะไหล่ เครื่องมือ และคู่มือการซ่อม ได้อย่างอิสระ และล่าสุดประเทศไทยเองก็มีความพยายามที่จะผลักดันกฎหมายนี้ให้เกิดขึ้นและบังคับใช้เช่นกัน
รายการอ้างอิง
AIS. (2567). ขยะอิเล็กทรอนิกส์คืออะไร ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและแนวทางการทิ้งขยะประเภทนี้อย่างไร. วันที่สืบค้น 01 ตุลาคม 2568. https://sustainability.ais.co.th/th/update/e-waste/788/what-is-ewaste
ผู้จัดการออนไลน์. (2568). ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสังคมเทคโนโลยี. วันที่สืบค้น 01 ตุลาคม 2568. https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9680000018377