เรื่องและภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ

ปล่อยเพื่อนเรา
“ปล่อยเพื่อนเรา” เสียงร้องกึกก้องของพี่น้องประชาชนอาจจะดังจนผ่านหูคุณมาบ้าง แต่ดูเหมือนยังดังไม่มากพอที่จะไปไกลจนเข้าหูของคนมีอำนาจ เพราะ ‘เพื่อน’ กว่า 57 ชีวิต ยังคงถูกจองจำ เพียงเพราะเลือกที่จะแสดงออกทางความคิดและใช้สิทธิเสรีภาพของพวกเขาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างชอบธรรม ทว่าไม่ถูกใจใครบางคน จนถูกตราหน้าว่าเป็น ‘นักโทษ’

เมื่อกฎหมายที่ควรเป็นเครื่องมือแห่งความยุติธรรมกลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายประชาชน กลุ่มคนที่ไม่อาจทนเห็นเพื่อนได้รับความอยุติธรรมจึงต้องออกมาเรียกร้อง จนเกิดเป็นกิจกรรม ‘Run2Free’ เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา จากความร่วมมือของไอลอว์ (iLaw) เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง (ThumbRights) และมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) เพื่อร่วมกันเรียกร้องสิทธิในการประกันตัวให้กับผู้ต้องขังทางการเมือง




วิ่งเพื่อเสรีภาพ
“วิ่งเพื่อเสรีภาพ” คือ ถ้อยคำที่พวกเขาตะโกนร่วมกันก่อนออกตัว ตามมาด้วยคำว่า “นิรโทษกรรมประชาชน” และ “ปล่อยเพื่อนเรา” ตลอดเส้นทางการวิ่ง ตั้งแต่ลานคนเมืองหน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จนไปสิ้นสุดลง ณ ลานบริเวณหน้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์


ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร หน้าตาที่มุ่งมั่น รองเท้าวิ่งคู่ใจ และชุดสีดำ เป็นเครื่องหมายในการแสดงออกว่าพวกเขาต้องการทางออกอย่างสันติ พวกเขาเลือกกิจกรรมเพื่อสุขภาพแทนการตั้งวงประท้วง และเลือกการพูดคุยเสวนาแทนการใช้ความรุนแรง พวกเขาไม่ได้ต้องการเป็นผู้ชนะ หรือต้องการให้ฝ่ายใดเป็นผู้แพ้ เพราะหมุดหมายสำคัญที่ต้องการไปให้ถึง คือการทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน และมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้ระบอบประชาธิปไตย

เพราะการต่อสู้ไม่เคยมีคำว่าสิ้นสุด
หนึ่งในผู้เข้าร่วมงานคนหนึ่ง เธอมีอายุถึง 70 ปีแล้ว แต่หัวใจยังเปี่ยมไปด้วยพลังอันแรงกล้า เธอกล่าวว่าการออกมาทำกิจกรรมเช่นนี้คือการทำให้เสียงของพวกเขาดังขึ้นด้วยสันติวิธี สิ่งที่เธอต้องการมีเพียงให้คนที่เห็นต่างหรือผู้มีอำนาจหันมารับฟังความคิดเห็น เข้าใจเหตุผลที่ต้องการเรียกร้อง เพื่อนำไปสู่การพูดคุยแก้ไขปัญหาร่วมกัน และปกป้องสิทธิของเพื่อน
เพราะสิ่งที่เพื่อนพ้องต้องสูญเสียไปไม่ใช่เพียงเวลา แต่คือโอกาส สิทธิ และเสรีภาพ ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นไม่ควรต้องทำให้ใครถูกจองจำ อีกทั้งการจองจำไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ 57 ชีวิตหลังเรือนจำ แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงครอบครัวของพวกเขาด้วย




ครอบครัวของ ‘อานนท์ นำภา’ ต้องพาลูกน้อยไปศาล เพียงเพื่อให้พ่อลูกได้เจอกัน ในตอนที่อานนท์ต้องเข้าเรือนจำ ลูกของเขามีอายุเพียง 9 เดือนเท่านั้น การโดนคดีความมากมายกลับเป็นเรื่องดีในโชคร้าย เพราะการต้องเข้าศาลบ่อยครั้งทำให้ลูกมีโอกาสเจอพ่อมากขึ้น เวลาเพียงน้อยนิดก่อนที่อานนท์ต้องกลับเรือนจำกลายเป็นสิ่งล้ำค่า ทั้งที่ในความเป็นจริงพ่อลูกควรได้สร้างความทรงจำร่วมกันในสนามเด็กเล่น
ครอบครัวของ ‘โสภณ สถนฤทธิ์ธำรง’ หรือ ‘เก็ท’ ต้องเก็บตั๋วหนัง และแก้วน้ำจากโรงหนังที่เจ้าตัวทิ้งไปแล้ว ไว้เป็นของต่างหน้ายามคิดถึง พ่อของเก็ทต้องพูดคุยกับลูกผ่านจดหมาย ถ่ายทอดคำพูดของลูกจากหลังกำแพงสู่สาธารณะ เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ให้คงอยู่ ถึงแม้จะลำบากหรือเสียดแทงหัวใจมากแค่ไหน แต่พ่อของเก็ทก็ยังสู้ต่อ เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นเรื่องถูกต้อง และการมีจุดยืนทางความคิดเป็นของตัวเองไม่มีอะไรน่าอาย



สามเรื่องราวข้างต้น คือเสียงแห่งความเจ็บปวดจากครอบครัวของ ‘เพื่อน’ ที่แบ่งปันกันในวงพูดคุย ‘ความหวัง ชีวิต และอิสรภาพ’ ภายในห้อง LT1 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เรื่องราวนั้นกลายเป็นเสียงแห่งความหวัง พวกเขาแลกเปลี่ยนวีรกรรมของเพื่อนอย่างอบอุ่น เพื่อให้คลายความคิดถึงลงไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะพูดคุยกันนานแค่ไหนก็ยังคงทดแทนความรู้สึกยามที่ต่อสู้เคียงข้างกันไม่ได้

แม้ลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยท้อ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์จึงต้องสู้ เพราะเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยจึงต้องเรียกร้อง ผ่านการแสดงออก ผ่านการรวมตัว ผ่านการลงชื่อ ผ่านกิจกรรม ผ่านดนตรี
“แตกต่างกันไป เป็นดอกไม้นานาพันธุ์ อุดมการณ์เพื่อสร้างสรรค์ ให้โลกสันติเสรี ไม่ต้องมีชนชั้น เราเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ ไม่ยกตนเป็นคนดี ย่ำยีศักดิ์ศรีค่าความเป็นคน”
เพลงแตกต่างเหมือนกัน – วงสามัญชน
เสียงร้องจาก โฟลค์ Vitamin D from The Sun ควบคู่ไปกับเสียงดนตรีจาก Sun man นอกจากจะทำให้บรรยากาศงานผ่อนคลายและสนุกสนาน ยังย้ำให้เห็นว่าดนตรีเป็นเพื่อนเคียงข้างอุดมการณ์ของผู้กล้าเสมอ

เสียงเพลงไม่ได้ถูกใช้เพียงเพื่อความความบันเทิง เพราะเนื้อเพลงแต่ละท่อนเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความฝัน และการสะท้อนสังคม อย่างเช่นท่อนแร็พจากการแสดงครั้งแรกหลังออกจากเรือนจำของ ‘บุ๊ค ธนายุทธ ณ อยุธยา’ หรือ บุ๊ค Eleven Fingers
“…ควรมีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สักแต่ว่านายสั่งจึงทำตาม ไม่เหมือนนิทานที่กบเลือกนาย ประชาชนยุค 5 จี เลือกได้แค่เลือกอดกับเลือกตาย เท่านั้นเอง…”
Eleven Fingers


หลังบทเพลงของบุ๊คจบลง เหล่าผู้จัดงานออกมารวมตัวกันข้างหน้าห้อง เพื่อกล่าวสรุปกิจกรรมในวันนี้ และเตรียมนัดหมายสำหรับกิจกรรม Run2Free ครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม เพื่อเดินหน้าเรียกร้องการนิรโทษกรรมประชาชน (รวมประมวลกฎหมายอาญา ม.112) และติดตามร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

เพราะไม่ได้มีเพียงแค่ 57 ชีวิตที่ยังรออยู่ แต่คือ 57 ครอบครัว และความหวังอีกนับไม่ถ้วนที่รอคอยให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
พวกเขาจึงต้องต่อสู้ต่อไป โดยมีความหวังว่าในอนาคตข้างหน้าจะมีคนร่วมอุดมการณ์เพิ่มขึ้นสักหนึ่งคนก็ยังดี





ติดตามกิจกรรมอื่นๆ ได้ ที่ iLaw ThumbRights และช่องทางอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ติดตามรายละเอียดคดีของผู้ต้องขังจากคดีทางการเมืองทั้งหมด 57 คนได้ทาง https://tlhr2014.com/archives/72122
และร่วมกันนับวันที่ผู้ต้องขังต้องใช้ชีวิตในเรือนจำเพราะคดีมาตรา 112 และ 110 ได้ที่ https://www.ilaw.or.th/days-in-prison