เรื่อง: แพรพิไล เนตรงาม
ภาพประกอบ: ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร

เอิร์น นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ Work & Travel 2025 ประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปทำงานจนถึงแก่ชีวิตระหว่างเข้าร่วมโครงการ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม จากนั้นครอบครัวได้มีการระดมทุนผ่านการช่วยเหลือจาก *spotfund เพื่อให้สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการส่งร่างของเอิร์นกลับประเทศไทย
จากกรณีของ เอิร์น ทำให้ผู้เขียนได้ตระหนักและย้อนคิดถึงมาตรการความปลอดภัยต่อผู้เข้าร่วมโครงการ Work & Travel
โครงการ Work & Travel เป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้นักศึกษามหาวิทยาลัยได้เดินทางไปทำงาน ท่องเที่ยวและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ในระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือนในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยต้องมีการสมัครและเข้าสู่กระบวนการรับรองการทำงานอย่างถูกกฎหมายโดยผ่านตัวกลางอย่างเอเจนซี่จากบริษัทต่างๆ และมีการดูแลผู้เข้าร่วมโครงการตั้งแต่การสมัคร การทำเอกสารวีซ่า จนถึงส่งตัวผู้เข้าร่วมโครงการเดินทางเข้าสู่ประเทศปลายทาง โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1.5-2.5 แสนบาท
จากค่าใช้จ่ายที่สูง ทำให้ผู้เขียนมองว่าการดูแลควรครอบคลุมตั้งแต่ความสะดวกสบายจนถึงความปลอดภัยต่างๆ ตลอดระยะเวลาการเข้าร่วมโครงการ ถึงอย่างไรนั้นแต่ละเอเจนซี่ก็ให้การดูแลผู้เข้าร่วมที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะ ระบบประกันภัย
บางเอเจนซี่มีประกันภัยครอบคลุมทั้งเรื่องสุขภาพ อุบัติเหตุ ตลอดจนถึงการเดินทางกลับประเทศไทย ในขณะที่บางเอเจนซี่มีให้แค่ประกันอุบัติเหตุระหว่างการทำงานในประเทศอเมริกาเท่านั้น ทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการบางคนต้องยอมซื้อประกันสุขภาพและการเดินทางเสริมจากข้างนอกที่ไม่ได้เข้าร่วมการให้บริการจากเอเจนซี่
เอเจนซี่ส่วนมากมีหน้าที่รับผิดชอบแค่ขั้นตอนก่อนออกเดินทางจากประเทศไทยเพียงเท่านั้น ทำให้เมื่อจบขั้นตอนการส่งผู้เข้าร่วมโครงการถึงประเทศอเมริกาแล้ว ผู้เข้าร่วมโครงการส่วนใหญ่จะต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เพราะโครงการ Work & Travel จะมีงานหลากหลายตำแหน่งให้ผู้เข้าร่วมได้สมัคร ทำให้การใช้ชีวิต ที่พัก และการเดินทางของแต่ละงาน แต่ละรัฐแตกต่างกันออกไป สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่จึงสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตของผู้เข้าร่วมโครงการ
ทางผู้เขียนได้พยายามติดต่อกับเอเจนซี่แห่งหนึ่ง เพื่อสอบถามถึงข้อเท็จจริงมาตรการเกี่ยวกับระบบประกันภัยและการดูแลเพิ่มเติม แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการ Work & Travel เกี่ยวกับความปลอดภัยระหว่างเดินทางและการทำงาน
คุณเอ (นามสมมติ) และ คุณบี (นามสมมติ) ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประสบการณ์การการเข้าร่วมโครงการ Work & Travel โดยคุณเอเลือกทำงานเป็นผู้ช่วยครัวในโรงแรม (Kitchen Helper) และคุณบีเลือกทำงานเป็น พนักงานขาย (Sales Associate)
1. วิธีการเดินทางไป-กลับที่ทำงาน
คุณเอ: วิธีการเดินทางมีหลายวิธีมาก แต่โรงแรมจะมีรถรับส่งให้เป็นรอบ ซึ่งรถแต่ละรอบก็มาไม่ตรงตามที่เวลาเราไปทำงาน บางทีก็เลยต้องขึ้นรถบัสไปเองและต้องเผื่อเวลาออกก่อน 1 ชั่วโมง บางทีเพื่อนที่ทำงานมีรถก็ติดรถเพื่อนที่ทำงานไป
คุณบี: ช่วงแรกเดินทางโดยรถประจำทาง เสียเงินบ้าง ไม่เสียเงินบ้าง ขึ้นอยู่กับความใจดีของคนขับ เปลี่ยนเป็นขี่จักรยานเอง เพราะสะดวกต่อการเดินทางมากกว่า แล้วจึงเปลี่ยนมาใช้สกูตเตอร์แทน
2. เล่าบรรยากาศตอนไปทำงานและตอนทำงาน
คุณเอ: ถ้าวันนั้นได้กะเช้า ก็จะต้องเผื่อเวลาตื่น 2 ชั่วโมง เพราะรถจะมารับก่อนเวลางาน 1 ชั่วโมง แต่ขากลับจะไม่มีรถจากที่ทำงานกลับ ต้องนั่งรถบัสกลับเท่านั้น แต่ถ้าวันไหนได้กะเข้างานประมาณ 9 โมงเข้า และเลิก 5 โมงเย็น ก็จะมีรถรับส่งทั้งขาไปและขากลับ แต่ถ้าวันไหนได้กะดึก ขาไปก็ต้องนั่งรถบัสไป แต่ขากลับจะมีรถที่ทำงานรับส่งกลับ
ตอนทำงานก็ขอใช้คำว่าหนักอยู่ เนื่องจากว่ามันเป็นตำแหน่งทำงานในครัว แล้วช่วงเวลาที่เป็นมื้อกลางวัน และมื้อเย็น ที่ร้านมันจะยุ่งมากๆ แต่ก็สนุกดี รู้สึกเหมือนเล่นเกมทำอาหารที่มีอะไรก็ต้องรีบทำ แล้วก็ตะโกนคุยขอของที่ใช้ทำงานกับเพื่อนร่วมงาน และมีตรวจดูออเดอร์ลูกค้าให้ครบก่อนส่งไปให้พนักงานเสิร์ฟ
คุณบี: บรรยากาศตอนทำงานน่าเบื่อ เพราะว่าแผนกที่เราทำงานเป็นแผนกไฟฟ้า ไม่มีใครมาสอนงานให้เราเลย เราต้องทำเท่าที่ทำได้คนเดียว จัดเชลฟ์ เติมของ ช่วยลูกค้าหาของ ทำวนแบบนี้อยู่ทุกวัน และก็เคยมีปัญหากับผู้จัดการด้วย เพราะเขาเหยียดเชื้อชาติกับเพื่อนเราที่เป็นคนไทย เราเลยไม่ยุ่งและไม่คุยกับผู้จัดการเลยจนจบโครงการ
3. รู้สึกอย่างไรกับการเดินทางไปทำงานและตอนทำงาน
คุณเอ: รู้สึกว่าการเดินทางไปทำงานไม่ค่อยสะดวก แล้วความที่เราเป็นเด็กวีซ่า J1 เราไม่ได้มีทางเลือกมากขนาดนั้น อะไรที่ยอมได้ก็ต้องยอม มันก็เหนื่อย และก็ได้แต่คิดว่าถ้าลูกจ้างเป็นคนประเทศเขา เขาจะทำแบบนี้กับที่ทำกับเราไหม เขาจะจำกัดรอบรถรับส่ง หรือเขาจะเพิ่มรอบมาให้เพื่อความสะดวก แต่ตอนทำงานตอบตามตรงว่าก็รู้สึกดีและสนุก เพื่อนร่วมงานทุกคนใจดี แต่ก็รู้สึกว่าเราก็เคยถูกเอาเปรียบจากเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนขาว
ส่วนนี้เราได้มีการแจ้งทางหัวหน้าเชฟไปแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไร เลยคิดว่าอาจจะเป็นเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติหรือเปล่า เพราะเวลาเห็นเพื่อนคนเอเชียนจากชาติอื่น ๆ หยุดงาน หรือไม่ทำงานนิดหน่อยก็จะโดนว่า แต่กลับกันเพื่อนที่เป็นคนขาว บางทีเขาขี้เกียจก็แอบกินของในครัว แต่กลับไม่ถูกว่าอะไรเลย
คุณบี: เราชอบบรรยากาศตอนเดินทางไปทำงานนะ เปิดเพลงแล้วขี่สกูตเตอร์ไปทำงาน เป็นชีวิตที่ดีสำหรับพนักงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำในอเมริกา ถ้าลองเทียบกับไทยคือยอมรับว่าเงินเดือนขั้นต่ำที่นี่ดีกว่าอยู่ไทย ถึงจะไม่ขี่สกูตเตอร์ ก็มีรถประจำทางที่เข้าถึงที่ที่เราอยากไปหลายที่ เอาง่ายๆ คือลำบากน้อยกว่าต่างจังหวัดในประเทศไทย
4. ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมโครงการ
คุณเอ: รู้สึกว่าความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมโครงการค่อนข้างต่ำ พอเราไปทำงานและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ เราก็เปรียบเสมือนแรงงานต่างด้าวคนหนึ่ง ถ้าพูดกันตามตรง มันไม่มีใครมาสนใจเราขนาดนั้น ผู้เข้าร่วมโครงการหลายคนอาจจะเจอสิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่างๆ ทั้งขณะการเดินทางไปทำงาน และขณะทำงาน
เชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยเจอคนไร้บ้านระหว่างเดินทาง หรือคนแปลกๆ ที่ชอบตะโกนแซวตลอด หรือบางทีก็จะเจอสายตาแปลกๆ ของคนแถวนั้น แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าความปลอดภัยของตัวเราเองอยู่ในขั้นที่ดี เพราะที่ทำงานมีรถรับส่งตลอด แล้วได้กะทำงานที่มีรถคอยรับส่งตลอดด้วย เลยไม่ต้องนั่งรอรถบัส แต่ยังต้องตื่นก่อนเวลางานจริงๆ 3 ชั่วโมง เพื่อขึ้นรถให้ทัน
แต่สำหรับเรา เรารู้สึกว่าตอนเข้าร่วมโครงการปีแรกของเราความปลอดภัยต่ำมาก ใครๆ ก็สามารถเข้าห้องที่พักได้เลย เพราะที่พักเป็นบ้านสองชั้น และเราอยู่ชั้นสอง ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยอะไรเลย แถมยังต้องเดินทางโดยใช้จักรยานหรือเดินอีก บางทีเลิกงานดึกก็ต้องเดินกลับ และรู้สึกว่านายจ้างควรที่จะหันมาใส่ใจความปลอดภัยของลูกจ้างมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราวก็ตาม
พวกเราก็ยังเป็นแค่เด็กนักเรียนคนหนึ่งที่พ่อแม่เสียเงินเป็นแสนเพื่อมาหาประสบการณ์ในการทำงานต่างประเทศ บางคนมาครั้งแรกไม่รู้ว่าเราจะเจอกับอะไรและควรจะต้องระวังอะไรบ้าง อยากให้ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนตระหนักถึงความปลอดภัยของตัวเอง และศึกษาวิธีการการเดินทาง การป้องกันตัว และแผนสำรองในการเดินทางอยู่เสมอตั้งแต่อยู่ที่ไทย เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือกรณีที่ไม่คาดฝันกันมากขึ้น
คุณบี: ความปลอดภัยมันแล้วแต่รัฐนะ รัฐที่เราไปคือยูทาห์ (Utah) เป็นรัฐที่มีผู้นับถือนิกายมอร์มอนจำนวนมาก ส่วนตัวไม่ได้เจออะไรแปลกๆ เกี่ยวกับมอร์มอน แต่เพื่อนเราเจอเยอะมาก เพราะชอบมีคนมาชักชวนให้เข้าศาสนา
มีคนขาวที่พูดไทยชัดมาก ชวนเราไปทานมื้อเย็นที่บ้าน เพราะเขาเคยอยู่ไทยมาหลายปี บอกว่าชอบคนไทย สำหรับเราคิดว่าเขาอาจจะเจตนาดี แต่ไม่มีใครไป เพราะไม่รู้ว่าถ้าไปแล้วจะเจออะไรบ้าง จะถูกชวนเข้าลัทธิหรือเปล่า ส่วนเรื่องเหยียดเชื้อชาติก็มีบ้าง แต่อยู่ในระดับที่พวกนั้นไม่กล้าทำอะไรเรากับเพื่อนมาก นอกจากพูดเสียงดังโทนโวยวาย กับโดนดึงหางตาใส่ จากเด็กอายุประมาณ 5-6 ขวบ โดยรวมความปลอดภัยจากรัฐที่เราไปทำงานคือ 7/10 ถ้าไม่ล้มจนได้แผลบ่อยมาก ถือว่าเป็นปัญหาด้านทักษะอย่างหนึ่งได้เลย
จากบทสัมภาษณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมโครงการจำเป็นต้องซื้อประกันจากข้างนอกเอง เพราะถึงแม้เอเจนซี่จะมีประกันอุบัติเหตุระหว่างการทำงาน แต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมถึงการเดินทาง ในกรณีที่กระเป๋าเดินทางเสียหาย หรือสูญหายระหว่างเดินทาง และบางเอเจนซี่อาจไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประกันที่มีให้กับผู้เข้าร่วมโครงการโดยตรง นอกจากผู้เข้าร่วมโครงการจะสอบถามกับทางเอเจนซี่ด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้ผู้เข้าร่วมโครงการบางคนไม่เชื่อใจในการทำงานของเอเจนซี่มากนัก
อีกทั้งการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับประสบการณ์ในระหว่างการเข้าร่วมโครงการยังทำให้ผู้เขียนได้รับรู้เรื่องราวและเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่อาจคาดคิดได้ในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติ การปล้นชิงทรัพย์ ไปจนถึงการทำร้ายร่างกายและข่มขืน และไม่เกี่ยวข้องว่าคุณจะเป็นเด็ก ผู้หญิง หรือคนต่างชาติ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้จากการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้เข้าร่วมโครงการทุกคน จนทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการบางส่วนสร้างกลุ่ม Facebook โดยใช้ชื่อว่า Dek Work And Travel Thailand (ศูนย์บรรเทาทุกข์เด็ก WAT) เพื่อโพสต์บอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์การทำงาน รีวิวการสัมภาษณ์งานหรือวีซ่า ที่พัก ที่เที่ยว หรือแม้กระทั่งโพสต์เตือนเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ถูกขโมยของระหว่างรอรถ นายจ้างเอาเปรียบระหว่างทำงาน หรือถูกคนไร้บ้านจะเข้ามาทำร้ายร่างกาย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนระวังตัวกันมากขึ้นขณะทำงานในอเมริกา
จากขั้นตอนการดูแลของเอเจนซี่ตั้งแต่อยู่ไทย และเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนอาจจะต้องเจอในต่างแดน ทำให้ผู้เขียนได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบการทำงานของบริษัทตัวกลางอย่างเอเจนซี่เจ้าต่างๆ ว่าถึงแม้บางอย่างอาจเกินการควบคุมในการดูแลของบริษัท แต่เราจะทำอย่างไรได้บ้างให้เอเจนซี่จากบริษัทเหล่านั้นมีระบบการดูแลความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมโครงการที่ครอบคลุมที่สุด นอกจากแค่การดูแลเรื่องเอกสารจากที่ไทย
จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมโครงการ ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาที่เกิดขณะกำลังทำงานในอเมริกา หากเอเจนซี่มีการตั้งบริษัทขนาดย่อมในประเทศอเมริกาตามแต่ละรัฐ แต่ละเมือง เพื่อสามารถให้ผู้เข้าร่วมโครงการติดต่อประสานงานได้รวดเร็วขึ้น เมื่อเกิดปัญหาหรือเหตุฉุกเฉินต่อผู้เข้าร่วมโครงการ จะส่งผลดีต่อการช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการมากกว่าให้ผู้เข้าร่วมโครงการติดต่อกับทางสปอนเซอร์ในอเมริกาฝั่งเดียวหรือไม่
เพราะต่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการจะสมัครโครงการนี้ด้วยทุนและความสมัครใจของตัวเอง แต่พวกเขาก็คือ แรงงาน คนหนึ่ง ที่ไม่ว่าคุณจะมาจากประเทศไหน เพศอะไร อายุเท่าไร ทุกคนสมควรได้รับการดูแลที่ดีจากเอเจนซี่และนายจ้างตามหลักด้วยสิทธิแรงงาน และสิทธิมนุษยชน
ทางผู้เขียนได้รวบรวม Checklist 10 คำถามที่ควรถามกับเอเจนซี่ เพื่อช่วยให้ผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วมโครงการไม่พลาดในส่วนของข้อมูลที่สำคัญ และสามารถให้ผู้สมัครตัดสินใจสมัครด้วยความอุ่นใจที่มากขึ้น
Checklist 10 คำถามที่ควรถามเอเจนซี่โครงการ Work & Travel ก่อนสมัคร
- เงินค่าโครงการในแต่ละงวดประกอบไปด้วยค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
- งานต่างๆ ที่เปิดรับสมัคร มีเปิดให้สมัครได้ช้าที่สุดถึงช่วงไหน
- หากรายการเดินบัญชีมีไม่ถึงหลักหมื่นเป็นปกติ สามารถใช้ยื่นสมัครวีซ่าได้ไหม หากไม่ได้ ทางเอเจนซี่มีคำแนะนำในการช่วยเหลืออย่างไรบ้าง
- ถ้าสัมภาษณ์วีซ่าไม่ผ่าน เอเจนซี่สามารถช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง
- ทางเอเจนซี่ใช้ประกันของอะไร ชั้นไหน ใช้ครอบคลุมในเรื่องอะไรบ้าง
- ประกันของทางเอเจนซี่เริ่มครอบคลุมวันแรกและวันสุดท้ายเมื่อไร
- คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในประเทศอเมริกา
- ทางเอเจนซี่มีมาตรการช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการอย่างไรบ้าง เมื่อเดินทางถึงประเทศอเมริกา
- หากมีปัญหาจากนายจ้างหรือสปอนเซอร์ระหว่างทำงาน (เช่น ถูกนายจ้างลดชั่วโมงงานอย่างไม่สมเหตุสมผล หรือสปอนเซอร์ไม่ช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการ) ทางเอเจนซี่มีวิธีการช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการอย่างไรบ้าง
- หากถูกเลิกจ้างระหว่างระยะเวลาที่ควรได้ทำงานจากงานแรก เอเจนซี่มีวิธีการช่วยเหลืออย่างไรบ้าง