เรื่อง : พิมพ์มาดา ฐิติปุญญา
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
“เขาบอกไว้ว่า ถ้าเราจ้องตาใครเกิน 8 วิ คนนั้นจะตกหลุมรักเรา”
ประโยคสุดคลาสสิกที่เหมาะกับคนโสดในวันแห่งความรักอย่างยิ่ง ถูกหยิบมาใช้อีกครั้งในตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง เธอกับฉันกับฉัน เป็นประโยคที่บางคนน่าจะเคยได้ยินจากคำแนะนำของเพื่อนสนิทเวลาที่รู้ว่าเราแอบชอบใครสักคน เป็นความเชื่อที่ว่าถ้าเราจ้องแววตาของใครสักคนนาน 8 วินาที เขาจะสามารถตกหลุมรักเราได้
ที่จริงความเชื่อนี้ก็อาจไม่ได้เลื่อนลอยอะไรนัก ผลการวิจัยในวารสารการศึกษาพฤติกรรมทางเพศ (Archive of Sexual Behavior) เมื่อปี ค.ศ. 2009 อธิบายถึงการทดลองที่นำชายหญิงจำนวน 115 คนซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ให้ลองมาจ้องตากับคู่เพศตรงข้ามของตัวเอง ผลปรากฏว่าหากผู้ชายสนใจผู้หญิงคนไหนจะสบสายตาเฉลี่ยถึง 8.2 วินาที อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานั้น ฝ่ายชายอาจเกิดอาการประหม่าขึ้นมาเสียดื้อๆ
เมื่ออ่านเพียงเท่านี้ก็ดูเป็นทฤษฎีที่น่าลองหาทำ และคงไม่เสียหายมากนักหากจะนำไปใช้ในชีวิตจริง แต่หลายๆ คนที่เคยมีประสบการณ์ในการแอบชอบใครจะเข้าใจกันดีว่า
การจ้องตาคนที่ชอบให้นาน 8 วิ มันยากที่สุดเลยโว้ย!
แค่เผลอสบตาเพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องรีบเบนสายตาออก รู้สึกอึดอัด ทรมาน อย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจของเราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความทรมานที่ว่านั้น กลับทำให้เรารู้สึกมีความสุขจนล้นออกมา นอนตะแคงแทบไม่ได้เพราะกลัวความสุขมันจะไหลออกทางหู
แล้วอาการ “ทรมานที่แสนมีความสุข” จากการสบตาแค่ครู่เดียวมันเกิดขึ้นได้อย่างไรนะ?
อยากให้ทุกคนลองย้อนทบทวนความทรงจำในช่วงเวลา “Puppy Love” หรือความรักในวัยแรกแย้มของตัวเอง แต่หากใครที่ไม่เคยมีประสบการณ์ก็อยากให้ลองนึกถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร น้องน้ำ – พี่โชน จากภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้ เรื่อง สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก เมื่อปี พ.ศ. 2553 โดยสองผู้กำกับ พุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร และ วศิน ปกป้อง
หลายครั้งที่เราต่างไม่กล้าที่จะสบตากับใครคนนั้นโดยตรง หากเป็นช่วงเวลาพักกลางวันก็ทำได้แค่แอบมองเขาจากมุมใดมุมหนึ่งของโรงอาหาร แต่มันก็มักจะมีช่วงจังหวะหนึ่งที่เราดันกล้าชั่วขณะ ตัดสินใจที่จะใจแข็งลองสบตาดูบ้าง คล้ายกับการกระทำของน้องน้ำที่จ้องไปที่แผ่นหลังของพี่โชนแล้วสะกดจิตให้เขาหันหลังมามอง และเมื่อพี่โชนหันกลับมามองจริงๆ ใจของน้องน้ำก็เต้นลิงโลดจนเผลอดีใจออกหน้าออกตา
นั่นเป็นคงอาการเดียวกันกับคนส่วนใหญ่ที่เผลอสบตากับคนที่ชอบเข้าให้
อาการของหัวใจที่ถูกบีบรัดและคลายออกอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกทรมานจนหายใจไม่ทั่วท้องเหมือนมีผีเสื้อนับพันกำลังบินวนไปมา สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อสมองถูกกระตุ้นด้วยความเครียดหรือความตื่นเต้น และการสบตากับคนที่ชอบเพียงระยะสั้นเองก็ถือเป็น “ตัวกระตุ้น” ชั้นเยี่ยม
ความตื่นเต้นจากการแอบชอบ ทำให้ความเห่อร้อนพวยพุ่งไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะพวงแก้มที่แดงก่ำคล้ายมะเขือเทศ นั่นเป็นเพราะฮอร์โมน อะดรีนาลิน (Adrenaline) จากสมองเร่งการสูบฉีดของหัวใจ จนเราสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อเท่ากำปั้นใต้ซี่โครงที่กำลังตีกลองเป็นจังหวะระรัวจนแทบทะลุอก จึงส่งผลให้คนส่วนใหญ่มักจะหลบสายตาและเดินหนีจากเขาทันที เพราะกลัวว่าอาการเหล่านี้มันจะฟ้องว่าเรานั้นคิดอะไรกับเขาอยู่
หลังจากที่ความทรมานในร่างกายเริ่มคลายตัวลง ความกระวนกระวายและความว้าวุ่นจะเข้ามาแทนที่ ทำให้เราโหยหา คิดถึงเขาอีกครั้งหนึ่ง อันเป็นผลมาจากฮอร์โมน เซโรโทนิน (Serotonin) แต่ในขณะเดียวกันนั้น ระดับความสุขจากการที่สบตาเสี้ยววิก็จะเพิ่มขึ้นเพราะฮอร์โมน โดพามีน (Dopamine) ที่หลั่งออกมาไล่เลี่ยกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเรายังคงยิ้มกว้างให้กับความทรมานนี้อย่างไม่รู้เบื่อ และอยากให้มันเกิดขึ้นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคล้ายการเสพติด
ร่างกายของมนุษย์ช่างทำอะไรให้มันซับซ้อนจริงๆ จะสร้างความสุขทั้งทีแล้วไยต้องสร้างความทรมานควบคู่กันด้วย
นอกจากความสุขที่เกิดจากการตอบสนองของระบบกลไกพิศวงในร่างกายแล้ว การสบตายังสร้างความสุขได้ผ่านการจินตนาการและการนึกคิด หรือในบางครั้งอาจเรียกได้ว่า การมโน อีกด้วย
เมื่อสองสายตามาประสานกันด้วยความตั้งใจหรือด้วยความบังเอิญก็ตาม นั่นแสดงว่า ณ เวลาขณะนั้น เราทั้งคู่ต่างอยู่ในสายตาของกันและกัน มันอาจดูไม่พิเศษอะไรสำหรับคนที่ไม่รู้ตัวว่าถูกแอบชอบ แต่ถ้ามองในมุมของอีกฝ่าย นี่คงเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์ที่สำคัญของชีวิตเพราะว่า เขารับรู้ถึงการมีอยู่ของเราแล้ว
แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เขารับรู้และบางทีเขาก็อาจจะลืมเราในวินาทีต่อมา แต่ระยะเวลาอันน้อยนิดนั้น เรากลับเอามันไปคิดเพ้อฝันต่อเป็นตุเป็นตะว่า การสบตาครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ก็เป็นได้ จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมบางคนเวลาที่แอบชอบใครนั้น มักจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เขาจะสามารถมองเห็นและเผลอสบตาได้อยู่บ่อยครั้ง ไม่จำเป็นต้องจ้องตากันนาน แต่ขอแค่ให้ได้สบตากันบ่อยๆ เท่านี้ก็มีโอกาสที่เขาจะจดจำเราได้แล้ว
แค่นี้เราก็แทบหุบยิ้มไม่ลง ต่อให้เรื่องราวยังคงเป็นเพียงภาพมโนในหัวของเราก็ตาม
ดังนั้น หากการใช้ทฤษฎีจ้องตา 8 วิมันนานเกินไปสำหรับใครบางคน ก็อยากแนะนำให้ลองเริ่มจากการสบตาระยะสั้นที่กินเวลาไม่กี่วินาที หรืออาจจะไม่ถึงวินาทีเสียก่อน แม้ว่าการสบตาครั้งนี้จะไม่ได้ทำให้เขาตกหลุมรักในทันที
แต่อย่างน้อยมันก็สร้างความสุขและความมั่นใจให้เราทีละเล็กก็เพียงพอแล้ว
ไม่แน่ว่า ความรักระยะยาวอาจก่อตัวภายหลังการสบตาระยะสั้นครั้งนี้ก็เป็นได้