เขียน: แพรพิไล เนตรงาม
ภาพประกอบ: วรัชยา สุริยะพันธุ์

“อกหักเหรอ มาห้องเค้าไหม เดี๋ยวเค้าปลอบ”
“ระวังนะ แต่งตัวแบบนี้เดี๋ยวผู้ชายจะมองเธอไม่ดี”
“เมาแบบนี้ให้ไปส่งที่บ้านไหม กลับคนเดียวอันตรายนะ”
ประโยคแสดงเจตนาความเป็นห่วงและความหวังดีที่ดูเหมือนไม่มีพิษภัยอะไร แต่หากคนพูดกลับเป็น ‘อาหวัง’ คำนิยามพฤติกรรมชายแท้ภายใต้คราบผู้ชายที่แสนดีในสังคมชายเป็นใหญ่ เช่น เทรนด์ของกลุ่มคนที่มีลักษณะเป็น ‘Performative Male’ หรือกลุ่มผู้ชายใส่เสื้อวินเทจ ดื่มชาเขียวมัทฉะ อ่านหนังสือวรรณกรรมคลาสสิกสอดแทรกเรื่องเพศ ที่ถูกผู้คนมองว่าเป็นพวก ‘เทสต์ดี’ แต่กลับมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แอบแฝงภายใต้ภาพลักษณ์ความอบอุ่นที่ปรากฏออกมาให้ผู้หญิงหรือเพศอื่นๆ ได้เห็น
เช่นเดียวกับ ‘อาหวัง’ ที่กลายเป็นคำพูดฮิตติดปากในหมู่ชายไทย และกลายเป็นศัพท์ไวรัลที่ใช้พูดกันในหมู่คนทุกเพศ ใช้นิยามผู้ชายที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยผู้หญิง อีกทั้งยังเป็นคำที่ช่วยเตือนผู้หญิงให้ระวังตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากผู้ชายที่มีพฤติกรรมดังกล่าว เพื่อหวังเจตนาทางเพศบางอย่างจากพวกเธอ
ในขณะเดียวกัน การตระหนักรู้เรื่องการมองผู้หญิงในฐานะเครื่องมือทางเพศกลับนำไปสู่ภาพลักษณ์ของการเป็น‘เจ๊มุ่ง’ ที่มีกระแสพูดถึงมากพอๆ กับผู้ชายที่มีพฤติกรรม ‘อาหวัง’ โดยคำว่า ‘เจ๊มุ่ง’ มีจุดประสงค์เพื่อเสียดสี และอาจเป็นการแสดงจุดยืนกลายๆ ของผู้หญิงว่า พวกเธอรับรู้และเข้าใจพฤติกรรมเชิงอำนาจของผู้ชายที่เป็น ‘อาหวัง’
‘เจ๊มุ่ง’ คืออะไร?
ที่มาของคำว่า ‘เจ๊มุ่ง’ เริ่มมาจากคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม TikTok ของผู้ใช้ชื่อบัญชี @mayo040445 หรือ มาย มายองเนส ซึ่งเป็นครีเอเตอร์ที่สร้างคอนเทนต์แนวสถานการณ์สมมติ (POV) ผสมอารมณ์ขันเกี่ยวกับมุกตลกเรื่องเพศและความสัมพันธ์บนเตียง
การนำเสนอเนื้อหาที่ย่อยง่าย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และกล้าแสดงออกด้วยมุกตลกเกี่ยวกับเรื่องบนเตียง ทำให้เธอได้รับฉายาจากผู้ชมว่าเป็น ‘อาหวังเวอร์ชันผู้หญิง’ จนในที่สุดชื่อเรียก‘เจ๊มุ่ง’ ก็กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเธอบนโลกออนไลน์ รวมไปถึงยังมีครีเอเตอร์ TikTok ผู้หญิงอีกหลายคนที่ใช้เนื้อหาแสดงออกถึงความเป็นเจ๊มุ่งอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของความเป็น ‘เจ๊มุ่ง’ คาดว่าอาจปรากฏมานานก่อนกลายเป็นที่แพร่หลายในโลกโซเชียล
การมีอยู่ของ ‘เจ๊มุ่ง’ สะท้อนถึงความเท่าเทียมทางเพศในปัจจุบัน
นอกจากคลิปวีดิโอของคุณมาย มายองเนส ยังมีสาวๆ ครีเอเตอร์กลุ่มอื่นที่ผลิตเนื้อหาสื่อถึงความเป็น ‘เจ๊มุ่ง’ ผ่านการพิมพ์แคปชันเสมือนรู้ทันกลุ่มผู้ชายที่มีลักษณะพฤติกรรมอาหวัง เช่น‘พวกหนูก็อาหวังนะคะ แต่แค่เป็นผู้หญิง’, ‘ยืนสวยอยู่ดีๆ มีคนเรียกอาหวัง’, ‘มาอาวงอาหวังอะไร xูก็เจ๊หวัง level max แค่เบบี๋ไม่รู้’ คลิปวีดิโอต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นไวรัล ที่แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ชายที่มีลักษณะอาหวังสนใจผลประโยชน์ทางเพศ หรือเป็นผู้ควบคุมความสัมพันธ์ได้เพียงฝ่ายเดียว
สภาพสังคมที่มีความเป็นปิตาธิปไตย (สังคมชายเป็นใหญ่) ทำให้เกิดบุคคลเพศชายที่มีลักษณะ ความเป็นชายที่เป็นพิษ (Toxic Masculinity) โดยกลุ่มเหล่านั้นมักมีความเชื่อว่า‘เกิดเป็นชายใจต้องนิ่ง’ กล่าวคือ ห้ามแสดงอารมณ์ ห้ามเศร้า ห้ามร้องไห้ ต้องมีภาวะเป็นผู้นำ โดยเฉพาะในเรื่องของ ‘ความสัมพันธ์’ ที่ผู้ชายมีความคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นผู้นำและผู้ควบคุม เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะอาจถูกสังคมมองว่าไม่สมกับความเป็นผู้ชาย เช่น ถ้าชอบใครต้องเป็นฝ่ายเริ่มจีบก่อน, ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว หรือห้ามแสดงอารมณ์ให้อีกฝ่ายเห็น ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเราเป็นที่พึ่งพาได้ เพื่อเสริมสร้างอัตตาให้กับตัวเอง
เมื่อมองกลับมาในปัจจุบัน สังคมเริ่มเปิดกว้างในเรื่อง ‘เพศ’ อย่างกว้างขวาง และแนวคิดสตรีนิยม (Feminism) ถูกให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าในอดีต ทำให้ผู้หญิงในปัจจุบันมีความกล้าและมั่นใจที่จะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองมากขึ้น หากในอดีตมีประโยคสอนหญิงว่า “เป็นผู้หญิงอย่าจีบผู้ชายก่อน มันดูไม่งาม” แต่ปัจจุบันทัศนคตินี้เริ่มเปลี่ยนไป ผู้หญิงยุคใหม่มีความเป็นอิสระและเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองมากขึ้น การที่ผู้หญิงจีบผู้ชายก่อนจึงไม่ใช่เรื่องผิดอีกต่อไป รวมทั้งยังเป็นภาพสะท้อนความเท่าเทียมทางเพศในปัจจุบัน
‘เจ๊มุ่ง’ ภาพแทนของผู้หญิงที่ไม่ยอมจำนนต่อความสัมพันธ์เชิงอำนาจ?
บทบาททางเพศ (Gender Role) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจ จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า ความเป็นชายที่เป็นพิษ (Toxic Masculinity) ส่งผลให้ผู้ชายต้องการเป็นผู้นำทางความสัมพันธ์ พวกเขาจึงต้องแสดงอำนาจตัวเองที่เหนือกว่า และสามารถทำอะไรก็ได้ในความสัมพันธ์
จากกระแสแนวคิดสตรีนิยม (Feminism) ที่แพร่หลายทำให้ผู้หญิงหรือเพศอื่นๆ เริ่มตระหนักและตื่นรู้ในเรื่องเพศมากขึ้น การตระหนักรู้ในเรื่องเพศดังกล่าวทำให้เหล่าชายแท้ผู้ไม่หวังดีนำมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพลักษณ์ความเป็นคนดีของตัวเอง แต่กลับแอบแฝงความคาดหวังการตอบสนองทางเพศจากเพศหญิงจนกลายมาเป็น ‘อาหวัง’ อย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้
การมีอยู่ของ ‘เจ๊มุ่ง’ จึงสะท้อนให้เราเห็นถึงการกลับมาทวงพื้นที่ในเรื่องเพศของผู้หญิง โดยเฉพาะในความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ที่กดทับผู้หญิงมาอย่างยาวนาน ผ่านการแสดงออกที่ทำลายภาพจำว่าผู้หญิงจะต้องเป็นเพศที่เรียบร้อยและอยู่ในกรอบตามที่สังคมกำหนดไว้
แนวคิดสตรีนิยมสามารถอธิบายปรากฏการณ์ ‘เจ๊มุ่ง’ ว่าผู้หญิงสามารถเป็น ‘ผู้กระทำ’ ในความสัมพันธ์ได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ จูดิธ บัตเลอร์ (Judith Butler) นักวิชาการด้านสตรีนิยมที่อธิบายว่า “การแสดงออกบทบาททางเพศ ไม่ได้มีจุดตายตัว แต่ถูกหล่อหลอมขึ้นโดยสังคม ผ่านบรรทัดฐานและค่านิยมที่กำหนดบทบาททางเพศว่าใครควรเป็นอย่างไร”
ทั้งนี้ ‘เจ๊มุ่ง’ จึงไม่ได้เป็นเพียงศัพท์ตามเทรนด์ที่มาคู่กับ ‘อาหวัง’ และไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ที่แสดงออกเพื่อเลียนแบบผู้ชาย แต่ยังแฝงถึงความเสมอภาคและสิทธิ์ในการต่อรองอำนาจทางเพศ อีกทั้งยังเป็นภาพสะท้อนของความท้าทายเชิงอำนาจต่อการแสดงออกถึงบทบาททางเพศในสังคมปัจจุบันด้วยเช่นกัน
รายการอ้างอิง
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (10 พฤษภาคม 2562). Gender Role – บทบาททางเพศ. วันที่สืบค้น 09 พฤศจิกายน 2568. https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/gender-role/
พันธุ์เอก เซียะสมาน. (2567). แนวคิดของจูดิธ บัตเลอร์เรื่องเพศสภาวะการแสดงและการโอบรับกลุ่มผู้ข้ามเพศ (วิทยานิพนธ์). Chulalongkorn University Theses and Dissertations (Chula ETD). วันที่สืบค้น 09 พฤศจิกายน 2568.https://digital.car.chula.ac.th/cgi/viewcontent.cgi?article=75135&context=chulaetd










