เรื่องและภาพประกอบ : สิทธิเดช สายพัทลุง
คำพูดที่มีความหมายว่า แม้จะเจออะไรที่แย่ขนาดไหน แต่หลังจากที่มันผ่านไป ก็จะมีสิ่งดีตามมาเสมอ
แต่สำหรับงานธรรมศาสตร์แฟร์ (Thammasat Fair) เหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้น
งานธรรมศาสตร์แฟร์จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มีนาคม – 29 มีนาคมที่ผ่านมา หากใครเคยเข้าไปเดินในงานสักครั้งก็คงจะทราบว่า งานนี้ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับการเดินตลาดนัด มีร้านขายของ ขายอาหารมากมาย (ที่ไม่ค่อยจะหลากหลายเท่าไร) ซึ่งพอเป็นงานแบบนี้ สิ่งที่เกิดตามมาก็คงหนีไม่พ้น ‘ขยะ’ จำนวนมหาศาล
แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เป็นทั้งมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าและ ‘ผู้เคร่งครัด’ ในเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนหรือ SDGs ก็คงต้องมีมาตราการจัดการขยะที่เกิดจากงานในพื้นที่ของตัวเองไว้อยู่แล้ว…แต่นั่นมันเพียงพอหรือยัง ?
จากข้อมูลเบื้องต้นที่ได้มาจากคนรู้จักผู้ทำงานในส่วนนี้ เราทราบว่าก่อนการจัดงานธรรมศาสตร์แฟร์มีการวางแผนจุดทิ้งขยะไว้ทั้งหมด 13 จุดทั่วพื้นที่งาน โดยมีการแยกถังทิ้ง และมีเจ้าหน้าที่ประจำการเพื่อเปลี่ยนถุงขยะเมื่อเต็มอยู่เสมอ แต่ด้วยผลตอบรับของผู้คนที่ล้นหลาม ทำให้ต่อมาต้องเพิ่มจุดทิ้งขยะเป็นทั้งหมด 17 จุด
เมื่อหมดวัน ขยะทั้งหมดจะถูกนำไปรวมที่จุดพักขยะ ที่มีการเตรียมไว้ประมาณ 5-6 จุด เช่นบริเวณหลัง Class Cafe ตรงเชียงรากหนึ่ง หรือข้างลานพญานาค เป็นต้น เพื่อรอให้รถขยะนำไปจัดการต่อที่โรงพักขยะของทางมหาวิทยาลัย ก่อนจะนำส่งให้กับทางเทศบาลต่อไป
หากอ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะคิดว่า “ปกตินี่นา ก็ดูไม่มีปัญหาอะไร” ซึ่งคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด เพราะปัญหามันไม่ได้เกิดระหว่างงาน แต่เกิดหลังจากนี้ต่างหาก…
ปัญหาแรกที่เกิดคือ ‘ขยะล้นโรงพักขยะ’ แน่นอนอยู่แล้วว่างานแฟร์แบบนี้จะสร้างขยะระดับที่สามารถทำให้ล้นโรงพักขยะได้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
เมื่อขยะล้น โรงพักขยะไม่สามารถจัดการขยะได้ทัน ส่งผลให้การส่งต่อขยะจากโรงพักขยะไปเทศบาลล่าช้า ในขณะที่งานก็กำลังสร้างขยะจำนวนมหาศาลขึ้นมาจ่ออย่างต่อเนื่องทุกวัน ส่งผลให้ระหว่างวันมีขยะที่ไม่สามารถถ่ายเข้าโรงพักขยะได้ และจะนอนกองกันอยู่ที่จุดพักขยะ สภาพแวดล้อมจึงไม่น่าอภิรมย์สุดๆ
อย่างต่อมาคือ ‘สภาพแวดล้อม’ โดยในพื้นที่ของร้านขายอาหารนั้น มีหลายจุดมากที่ตั้งอยู่ใกล้บ่อน้ำและเมื่อมีขยะที่ไม่ทราบที่มาว่าลอยมาตกได้อย่างไร หรืออาจเป็นความละเลยของผู้ร่วมงาน ส่งผลให้น้ำในแหล่งน้ำเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็นตลอดเวลา ด้วยความที่เป็นบ่อน้ำที่เป็นลักษณะปิด จึงจำเป็นต้องนำน้ำที่เน่าเสียออกและถ่ายน้ำใหม่ลงไปแทน
นอกจากนี้ ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อนักศึกษามากอีกอย่าง ก็คงเป็นทางเดินที่เต็มไปด้วยคราบของขยะเปียกที่ถูกหมักหมมจนเป็นรอย ซึ่งหากเดินไปเหยียบก็อาจจะรู้สึกแขยงเท้าและทำให้พื้นรองเท้าเหนียวนิดหน่อย (ไม่หน่อย)
และหากรวมกลิ่นของขยะเปียกเข้ากับพื้นดินที่เต็มไปด้วยของเสียจากขยะหมักหมม ก็จะได้กลิ่นเหม็นที่อาจทำให้ต้องกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ทราบมาว่าจะมีการจัดการทำความสะอาดอย่างแน่นอน และต้องมารอดูกันอีกทีว่าทางเดินเท้าจะกลับมาสะอาดและน่าเดินเหมือนเดิมได้หรือไม่
นั่นคือปัญหาสภาพแวดล้อมซึ่งเป็นผลกระทบจากงานธรรมศาสตร์แฟร์ ทั้งนี้ แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าขยะจะลดเพราะงานจบแล้ว และปัญหาความสกปรกน่าจะได้รับการแก้ไข แต่ก็ยังคงเกิดคำถามว่า “ถ้าแก้ปัญหาได้ ทำไมถึงป้องกันปัญหาไม่ได้” เพราะถ้าสามารถดูแลไม่ให้ขยะถูกทิ้งลงน้ำได้ หรือจัดการขยะดีจนไม่เกิดคราบสกปรกบนทางเดินตั้งแต่ต้น เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งแก้ปัญหา และรอให้มันกลับสู่สภาพเดิม
ก็หวังว่าการจัดงานอื่นใดในอนาคตของมหาวิทยาลัยจะมีแผนการและมาตรการการจัดการกับปัญหาขยะที่ดีกว่านี้ นักศึกษาและสิ่งแวดล้อมจะได้ไม่ต้องมารับผลกระทบอะไรแบบนี้อีก
อย่างน้อยที่สุด จะได้สามารถใช้คำว่า ‘ผู้เคร่งครัด’ ใน SDGs ได้อย่างเต็มอก ไม่รู้สึกกระดากปากเวลาที่พูดออกไป 🙂