ArticlesSociety

เรื่องจริงของ Sex Worker ในสังคมที่ไม่เข้าใจ

เรื่อง: แพรพิไล เนตรงาม

ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ

‘Sex Worker’ อาชีพใต้เงากฎหมายที่เห็นกันมาตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นอาชีพที่ทำมากกว่าแค่ ‘เรื่องบนเตียง’ และสมควรได้รับการให้เกียรติและมีศักดิ์ศรีในฐานะ ‘อาชีพสุจริต’ เช่นเดียวกับอาชีพอื่น 

วันนี้ เพื่อให้เราเข้าใจการทำงาน การใช้ชีวิต รวมไปถึงความเสี่ยงและผลกระทบต่างๆ ที่ Sex Worker ต้องพบเจอบนเส้นทางการประกอบอาชีพในพื้นที่สีเทา Varasarn Press จึงเรียนเชิญ คุณเจ (นามสมมติ) และ คุณมาร์ค (นามสมมติ) ผู้ประกอบอาชีพเป็น Sex Worker แบบฟรีแลนซ์มาพูดคุย

เจและมาร์ค คือใคร

เจ

: ชื่อ เจ อายุ 22 ปี  ปัจจุบันเรียนจบ (ปริญญาตรี) และตอนนี้ทำงานประจำ ตอนที่เริ่มมาทำงานนี้อายุประมาณ 19 ปี แล้วก็ทำมาเรื่อย ๆ แต่ช่วงอายุ 21-22 ปี ก็เริ่มทำน้อยลงบ้างแล้ว อย่างตอนที่มีงานประจำก็ไม่ค่อยได้ทำแบบเต็มตัว แต่ทำอะไรที่คล้ายๆ กับในวงการนี้บ้าง ไว้เป็นงานเสริม

มาร์ค

: ชื่อมาร์ค อายุ 23 ปี ครับ 

จุดกำเนิดเส้นทาง Sex Worker

เจ

: ตอนนั้นไม่ได้คิดมากเลย อายุ 19 ปี แล้วก็เป็นช่วงที่เราไม่ได้มีอิสระในการใช้เงินขนาดนั้น ส่วนตัวเราเป็นคน active เรื่องเซ็กส์อยู่แล้ว และเคยอยู่ในกลุ่ม Open Chat กลุ่มหนึ่ง เหมือนมีผู้หญิงคนหนึ่งเขาอยากหาประสบการณ์กับผู้หญิงด้วยกัน ลูกค้าคนแรกของเราเลยเป็นผู้หญิง เราก็ถามเขาไปเล่นๆ ว่า “ให้ค่าขนมไหม” แล้วเขาก็บอกว่า “ให้ได้” เลยเป็นครั้งแรกที่เริ่มเข้าสู่วงการนี้โดยไม่ได้ตั้งใจหรือว่ามีคนชวน มันเป็นความงงๆ ที่เราแหย่เขา แล้วเขาก็เสนอให้ เลยลองทำ แล้วรูัสึกว่ามันก็ได้เงินนี่หว่า ก็เลยทำมาเรื่อยๆ

มาร์ค

: ไม่เคยมีความคิดในหัวเลยว่าจะทำ แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วไปเจอแอปหนึ่ง เป็นแอปหาคู่เกย์ ตอนนั้นยังไม่มีแฟน เลยตัดสินใจเล่นแอปนี้ แล้วมีคนทักมาถามว่า “รับงานไหม” เราก็ตอบเขาไปว่า “ไม่ได้รับ” เลยถามเขากลับไปว่า “พี่จะซื้อเหรอ” เขาเลยตอบกลับมาว่า “ใช่ เดี๋ยวจะจ่ายให้ 1,500 บาท” ตอนนั้นคิดว่าไม่ได้เสียหายอะไร เลยลองทำเป็นงาน Sex Worker ครั้งแรกในชีวิต แต่เอาเข้าจริงที่เราตัดสินใจทำก็ไม่ได้เพราะเรื่องเงินเลย ที่บ้านไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินอยู่แล้ว ตอนแรกไม่ได้คิดเลยว่าการที่ถูกทักขอซื้อแบบนั้นมันจะเป็นงาน แค่คิดว่ามันน่าจะสนุกและเงินก็เป็นแค่ส่วนเสริมเฉยๆ

การคิดเรทราคา

เจ

: ส่วนใหญ่ก็แล้วแต่คน มันไม่ได้เจาะจงขนาดนั้นในเรื่องของราคา แต่ถ้าเป็นช่วงแรกๆ ส่วนมากเราจะคิดเป็นเรทชั่วโมง เพราะส่วนตัวมองว่าถ้าเไปคิดเป็น Service ว่า เราจะมีเซ็กส์กี่ครั้ง  จะคิดราคากับลูกค้าเท่าไหร่ มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ เพราะลูกค้าบางคนเขาก็ไม่สำเร็จความใคร่ ด้วยความที่มันมีเงื่อนไขเยอะ ความเข้าใจ หรือความต้องการในการมีเพศสัมพันธ์ของแต่ละคนแตกต่างกัน เราก็เลยคิดเป็นชั่วโมงมากกว่า ช่วงแรกตั้งราคาไว้หลักพัน คิดว่า ‘คุ้มแล้ว’ เพราะเงินจำนวนเท่านี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ เขาออกค่าเดินทาง ค่าน้ำมันไปรับ-ส่ง ค่าข้าว ออกให้หมดเลยในหนึ่งชั่วโมง เราก็เลยไม่ต้องไปบวกลบอะไรมากกับค่าเดินทาง ส่วนเรื่องราคาก็แล้วแต่คน ถ้าลูกค้าอายุประมาณ 25 ปี ก็คิดว่าคงไม่ลำบากใจอะไรมาก แต่ถ้าลูกค้าเป็นคนใหญ่คนโตที่มีเงินเยอะอยู่แล้ว เขาก็จะคิดราคาในเรทหลักหมื่นมาให้ ซึ่งเงินหลักหมื่นนี้ก็ขึ้นอยู่กับฝั่งลูกค้าที่เขาเสนอมา 30 นาทีได้หลักหลายหมื่นบาทก็มี อาจจะเพราะว่าเขาเป็นคนมีหน้ามีตาในธุรกิจ หรือถ้ามันไม่ใช่เป็นบริการเซ็กส์เต็มตัว เช่น ไปกินข้าวด้วยอย่างเดียว เราเคยคิดเขาหลักพัน เขาก็โอเคกับราคานี้ แค่รู้สึกว่าช่วงนั้นสบายใจกับเรทไหน ก็เอาตามนั้น 

มาร์ค

: ปกติเราไม่ได้คิดตามจำนวนชั่วโมง เราแบ่งเรทราคาเป็น 2 แบบ คือ ภายในและภายนอก เพราะลูกค้าบางคนก็อยากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก และอีกแบบคือมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ ซึ่งเรทการมีเพศสัมพันธ์แบบปกติเราก็คิดราคาตามจำนวนครั้งอีกทีด้วย

เกณฑ์การเลือกลูกค้า

เจ

: เราเลือกลูกค้าประมาณหนึ่ง เกณฑ์ที่ยึดเป็นหลักเลยคือ ‘ลูกค้าต้องตรวจโรค’ ถ้าไม่ตรวจมาก็ไม่รับ เคยเจอลูกค้าที่ถามว่า “ทำไมต้องตรวจโรคด้วย” เพราะเขาคิดว่าการตรวจโรคเป็นเรื่องไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแนวคิดของพวกชายไทยวัยกลางคน และเท่าที่เราเคยเจอมา ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ค่อยตรวจกัน อย่างที่สองก็คือ ดูทัศนคติของลูกค้าเขาด้วยว่าเรารับมือกับเขาไหวหรือเปล่า พูดตรง ๆ ว่าในงาน Sex Worker ส่วนหนึ่งมันคือเซ็กส์ แต่อีกครึ่งหนึ่งคือเรื่องของอารมณ์และจิตใจ เพราะลูกค้าที่มามีเซ็กส์ด้วย ส่วนหนึ่งอาจต้องการการระบายด้วยการสำเร็จความใคร่ แต่ความต้องการหลัก ๆ อีกส่วนหนึ่งคือการ ‘หาที่พึ่งทางด้านจิตใจ’ หาคนที่ทำให้เขารู้สึกได้ใกล้ชิดใครสักคน บางคนมาหาเราบ่อย บางทีก็เสนอโอนเงินให้บ้างโดยที่ไม่ต้องมีเซ็กส์กันก็ได้ แล้วก็ชอบซื้อของกิน ซื้อของฝากจากที่ไปต่างประเทศมาให้ มีคนเคยขอบคุณเรา เขาบอกว่า “เขาไม่ได้รับความรู้สึกใกล้ชิดแบบนี้มานาน” 

อีกกรณีหนึ่งคือ มีลูกค้าที่เป็นไบเซ็กชวล (Bisexual) ผู้หญิง  เขามีแฟนอยู่แล้ว แฟนเขารับรู้และโอเคที่จะให้ลูกค้าผู้หญิงคนนั้นมาใช้บริการเรา เพราะในความสัมพันธ์ของเขา ฝั่งแฟนผู้ชายไม่สามารถตอบสนองด้านความรู้สึกของฝ่ายผู้หญิงได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่ไม่รับฟัง หรือทำตัวอย่างที่เขาใช้คำว่า ‘ชายแท้’ ไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ เขามาใช้บริการเรา มีเซ็กส์กันจบก็อยากให้อยู่คุยด้วย  ลูกค้าประเภทนี้คือกลุ่มคนที่ต้องการอะไรมากกว่าเซ็กส์  แต่พอมันมีเรื่องของอารมณ์มาเกี่ยวแบบนี้ คนที่ต้องจัดการและรับมือกับอารมณ์ก็ต้องเป็นเราเอง เราเลยต้องประเมินว่าลูกค้าคนนั้นเขาอยากข้องเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเรามากไหม หรือเขาอยากให้เรารับมือกับความต้องการทางอารมณ์ของเขามากไหม เพราะพูดตรงๆ เลยว่าถ้ามันมากไป มันจะกระทบความสัมพันธ์ส่วนตัวของเราเอง หลังๆ เลยไม่ค่อยรับบริการแนวๆ นี้แล้ว 

อีกสิ่งหนึ่งที่จะไม่รับเลยคือ ลูกค้าที่มีทัศนคติไม่ให้เกียรติมาก ๆ เช่น โกหกเรื่องขนาดอวัยวะเพศ  พอเห็นแบบนี้ก็คิดว่าเขาอาจจะมีอีโก้อะไรบางอย่าง อีกอย่างหนึ่งคือต่อรองเรื่องเวลา เช่น เสนอราคาต่อชั่วโมงไป แต่เขาก็จะบ่นว่า “ราคาเท่านี้ ทำไมได้อยู่ด้วยกันน้อยจัง หยวนๆ ไม่ได้หรอ” เราจะไม่รับลูกค้าแบบนี้เด็ดขาด ก็จะรับลูกค้าที่เขาโอเคกับข้อตกลงของเราไว้ตั้งแต่แรก 

มาร์ค

: อย่างแรกเลยคือเราไม่รับเพศหญิงโดยกำเนิดอยู่แล้ว เพราะเราเป็นเกย์ เลยเลือกรับงานเกย์ด้วยกัน รับเพศชาย และผู้หญิงข้ามเพศ นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญสำหรับเรามากๆ คือ การตรวจโรค และ ความสะอาด ด้วยความที่เราชอบการมีเพศสัมพันธ์แบบ * BDSM ต้องบอกก่อนว่าการมีเพศสัมพันธ์แบบ BDSM มันมีหลายรูปแบบมาก เช่น การปัสสาวะบนตัว ดังนั้นการไม่อาบน้ำและไม่ล้างอวัยวะเพศก่อนมีเพศสัมพันธ์นี่เราจะรู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่ เราค่อนข้างเคร่งเรื่องความสะอาดมากๆ แต่ถ้าเป็น BDSM แบบอื่น เช่น การตบหน้า การตีบนร่างกาย ดูถูกเหยียดหยาม อันนี้เราโอเค 

วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อลูกค้าไม่ทำตามข้อตกลง

เจ

: เราเจอบ่อยมาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าเห็นว่าลูกค้าเขาคุยได้และเคารพเรา ก็จะบอกไปตรงๆ เลยว่า เราไม่โอเค เขาก็จะหยุดเลย แต่ถ้าเป็นลูกค้าที่งี่เง่าหน่อย ก็จะมาในรูปแบบตอแย คือมันมีหลายระดับ เช่น ระดับแรก เราบอกแค่ไม่เอา เขาก็จะไม่เอา ก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น เขาจะไม่ได้มาวุ่นวาย ระดับสองก็คือ บอกไม่โอเค ก็จะตื๊อให้เราทำให้ได้  กรณีหลังถามว่าเคยเกิดขึ้นบ่อยไหม ก็ครึ่งต่อครึ่ง เพราะตอนนั้นเริ่มทำ เราอายุค่อนข้างน้อย ประมาณ 19 ปี เรารับมือไม่เก่งขนาดนั้น ก็จำเป็นต้องปล่อยให้เป็นตามมีตามเกิด แต่มันส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจมาก แต่พอช่วงหลังที่ทำบ่อยขึ้น ก็จะเริ่มรู้แล้วว่าต้องรับมืออย่างไร 

สิ่งหนึ่งที่จัดการได้ก็คือ เครือข่ายที่คอยช่วยเหลือ Sex Worker เช่น กลุ่ม SWING Thailand ก็จะช่วยในเรื่องของการตรวจโรคเพื่อไปรับยารับยาเพร็บ (PrEP) เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ไว้ก่อน ถ้ามันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมาที่เราต้องยอมใช้ถุงยางซ้ำ หรือว่าถุงยางขาด เราก็กินยาคุม ซึ่งกรณีกินยาคุม ทำให้เราเครียดมากจริงๆ คือวัยเรากำลังเรียนอยู่ การที่ต้องมานั่งกินยาคุมเพื่อลุ้นให้ประจำเดือนมามันค่อนข้างปวดหัว สิ่งที่เราทำได้คือต้องรู้จักวิธีป้องกันตัวเอง ซึ่งจุดนี้มันก็นำไปสู่เกณฑ์การเลือกลูกค้าของเราด้วยประมาณหนึ่ง

มาร์ค

: เรายังไม่มีประสบการณ์การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเลย น่าจะด้วยเหตุผลที่ว่าเราคัดคนประมาณหนึ่ง เราจะขอแลกรูป ตกลงความต้องการของเขาก่อน ถ้าต่างคนต่างโอเคกับรูปร่างหน้าตากันประมาณหนึ่ง คุยกันบ้างนิดหน่อย ไม่ต้องคุยกันเยอะมากก็ได้ ถ้าตกลงซื้อก็จบ และอีกส่วนหนึ่งอาจจะเพราะกลุ่มลูกค้าเราเป็นวัยทำงานเลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แล้วก็ส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อเพราะอยากเล่น BDSM เลยไม่มีปัญหาเรื่องรสนิยมบนเตียง

นอกจากเรื่องบนเตียง Sex Worker ควรทำอะไรอีกไหม

เจ

: จริงๆ มันก็แล้วแต่คนนะ  ถ้าพูดตามที่เจอมา มีหลายคนที่แยกเซ็กส์กับอารมณ์ความรู้สึกกันไม่ได้ขนาดนั้น บทสนทนาด้านอารมณ์ความรู้สึกมักจะเข้ามามีส่วนร่วมเสมอ มันเลยต้องขึ้นอยู่กับตัว Sex Worker กับลูกค้าแล้วว่าเขากำหนดขอบเขตและสื่อสารข้อตกลงกันอย่างไร ซึ่งต้องพึ่งทักษะการสื่อสารมากเพื่อไม่ให้ฝั่งลูกค้าเข้าใกล้ความเป็นส่วนตัวของเรามากจนเกินไป แต่ก็ต้องดูอีกฝ่ายด้วยว่า เขาเคารพเราในฐานะอื่นๆ นอกเหนือจากการเป็น Sex Worker ด้วยไหม เพราะการทำงานตรงนี้ภายใน 1 ชั่วโมงนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราต้องให้บริการรับฟังปัญหาและเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกของลูกค้าทุกอย่าง ถ้ามันไม่ได้เป็นไปตามข้อตกลง ยกเว้นลูกค้าจะบอกมาตรงๆ เลยว่า ครั้งนี้ไม่ไหวจริงๆ ถ้ามีเซ็กส์แล้วขอคุยด้วยได้ไหม เพื่อให้เราพิจารณาว่าเราจะรับเคสนี้ไหม ถ้ามาแบบนี้ เราก็จะโอเคกว่าการที่ไม่พูดสิ่งที่ต้องการจริงๆ ตั้งแต่แรก 

แต่มันก็จะมีลูกค้าบางคนที่คิดว่า ฉันจ่าย ฉันต้องได้รับการบริการส่วนนี้ ได้พูดและได้ทำในสิ่งที่ต้องการในชั่วโมงนั้น ซึ่งมันไม่ดีต่อเรา เพราะเขาไม่ได้คิดว่าการที่เราต้องมารับฟังสิ่งที่เขาระบายออกมามันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของงาน ถ้าการระบายของลูกค้าเป็นปัญหาส่วนตัวหรือหนักหน่วง มันเป็นสิ่งที่ควรบอกและตกลงกันก่อน ซึ่งไม่รู้ว่าจุดนี้เป็นผลกระทบจากเทรนด์บนแพลตฟอร์ม X ด้วยไหม ที่มีคนมาเล่าว่า ‘หลายๆ คนซื้อบริการ Sex Worker เขาก็อยากระบายกันทั้งนั้นแหละ’ แล้วก็มีคนเริ่มสนใจที่จะใช้บริการ Sex Worker เพื่อระบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต Sex Worker ไม่ใช่ จิตแพทย์ Sex Worker หลายคน เขาก็มีความทุกข์ใจเป็นของตัวเองในชีวิต  และไม่ได้เรียนรู้วิธีรับมือกับอารมณ์ได้เท่ากับจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดเขาฝึกมา ลูกค้าจึงควรเข้าใจตรงนี้ด้วย ขึ้นชื่อว่า Sex Worker มันไม่ได้มีใบรองรับอะไรในเรื่องนี้เลย ฉะนั้นคุณควรตระหนักข้อจำกัดตรงนี้และพิจารณาการเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับสภาวะจิตใจในฐานะ ‘Responsible Adult (ผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ)’ ของคุณเอง

มาร์ค

: จริงๆ ถ้าอ่านด้วยชื่ออาชีพ Sex Worker ก็คงคิดว่าไม่ต้องทำอย่างอื่นแล้วนอกจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่สำหรับเรา เราทำอย่างอื่นด้วย ซึ่งเรามองว่า Sex Worker คนอื่นๆ ก็ทำเหมือนกัน ปกติเราจะได้รับงานจากผู้ใหญ่หรือคนที่โตกว่าบ่อยๆ (อายุ 30-40 ปี) จะเรียกว่าเขาชอบเด็กก็ไม่ได้ซะทีเดียว เราคิดว่าเขาน่าจะชอบคนอายุประมาณรุ่นเรา (อายุ 24-25 ปี) ในทางกลับกัน คนอายุประมาณรุ่นเราจะไม่ค่อยชอบคนรุ่นเขากันเท่าไหร่ ฉะนั้นพอเขามีเงิน วิธีการแก้ปัญหาของเขาก็คือ ซื้อ 

มีครั้งหนึ่งผู้ใหญ่ประมาณนี้มาใช้บริการเรา เขาเคยบอกว่า “ไปกินข้าวด้วยกันก่อนได้ไหม แล้วค่อยไปห้องด้วยกัน” บางคนเคยบอกว่า “เดี๋ยวเขาเลิกงานแล้วเขาจะไปรับนะ ไปหาไรกินกันก่อนได้ไหม” พอเราไปกินข้าวกับเขา เขาก็เลี้ยงข้าวเรา ตอนนั้นเราคิดเรทราคาเขาตามปกติ แต่เขาก็ให้เงินเพิ่มมาด้วย ระหว่างอยู่ห้องเขา เขาก็พูดระบายเรื่องทุกข์ใจ ปัญหาชีวิตต่าง ๆ ให้เราฟัง เหมือนบางคนเขาแค่เหงาเฉย ๆ ต้องการคนรับฟัง เรามองว่าหน้าที่อะไรต้องนี้มันเรียกว่า งานดูแล ได้เลย อีกอย่างเราคิดว่างานแบบนี้ต้องอยู่ที่ข้อตกลงร่วมกันก่อนใช้บริการด้วย ถ้าเราคุยกับลูกค้าก่อนว่าเขาอยากให้เราทำอะไร เช่น อ้อน เอาใจ หรือ รับฟัง เราก็ต้องสำรวจตัวเองด้วยว่าเราเป็นคนแบบไหน สามารถทำตามที่เขาต้องการได้หรือเปล่า

คิดเห็นอย่างไรกับภาพจำ ‘Sex Worker = อาชีพคนจน’

เจ

: ต้องบอกว่า Sex worker มีคนทุกกลุ่มเลย ถ้าอย่างกรณีของเรา หนึ่ง ได้เงินเพิ่ม สอง ช่วงนั้นเป็นคนมีความสุขกับการมีเซ็กส์อยู่แล้ว ตอนนั้นคิดแค่นั้นเลย ก็เลยคิดว่าทำได้ เพราะไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไรสำหรับเรา ถ้าดูในกรณีคนรอบตัวที่เรียนมหาลัยเหมือนกัน ที่ทำงานตรงนี้ เหมือนเขารู้ก็ว่าการเลือกทำงานตรงนี้มันไม่ได้เสียหายอะไรต่อตัวเขา อีกอย่างเขาได้เงินค่าขนมเพิ่มด้วย ก็จะคล้ายกับเราเลย ส่วนใหญ่มองว่าไม่ได้เสียหาย แล้วก็มองเป็นงานสุจริต แต่เราก็พูดแค่มุมมองที่เราเจอมานะ เราไม่ได้พูดแทน Sex Worker ทุกคน ส่วนที่คนในสังคมมองว่าอาชีพนี้เหมาะกับ ‘คนจน’ เท่านั้น อาจเพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเราเท่าไหร่ คิดว่าแค่ใช้เงินซื้อแลกกับการมีเซ็กส์กับคนคนคนหนึ่งแล้ว ก็จะมองพวกเราเป็นแค่สินค้า และเป็นคนที่ทิ้งศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อมาทำงาน ซึ่งเราคิดว่าการที่คนหนึ่งเลือกที่จะทำอาชีพนี้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ฐานะทางการเงินอย่างเดียว การที่เลือกจะทำงาน Sex Worker มันมีหลายเหตุผลมาก อยู่ที่ตัวคนนั้นจะมีมุมมองต่ออาชีพนี้อย่างไร

มาร์ค

: สังคมมักถูกปลูกฝังภาพจำมาว่า Sex Worker เป็นงานของคนไม่มีการศึกษา ไม่มีความรู้ เลยทำให้ไม่มีความสามารถไปทำอย่างอื่น แต่ความคิดของเรากลับมองว่าอาชีพ Sex Worker ไม่ได้เป็นอาชีพของคนจนและไม่มีการศึกษาเลย เราว่ามันเป็นอาชีพที่ไม่ง่าย เพราะมันคืออาชีพบริการ อย่างน้อยที่สุดคุณต้องเอาใจลูกค้าเป็น ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน ต้องมีวาทศิลป์ในการทำให้บรรยากาศระหว่างเรากับลูกค้าไม่อึดอัด อย่างที่บอกว่าเราเจอลูกค้าประเภทที่เจอหน้ากันแล้วชอบคุยหรือพูดอะไรให้ฟัง เราต้องมีวิธีสนทนาให้ลูกค้าพอใจหรือวิธีแสดงออกเพื่อตอบสนองลูกค้า ยิ่งเราโตขึ้น เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง และไม่ได้ไหลตามสังคม เราเลยมองว่าอาชีพนี้ไม่ว่าจะรวยหรือจน คุณก็สามารถทำงานนี้ได้ เพราะสุดท้ายมันก็คือ งาน โดยส่วนตัวคิดว่าคนเรามีสิทธิ์เลือกทำงานในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ ขนาดเราที่เรียนในมหาวิทยาลัยและที่บ้านไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินยังตัดสินใจทำเลย 

การมีอยู่ของ Sex Worker สำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย

เจ

: คนในสังคมมองว่าอาชีพนี้มันไม่ดี แต่มันจำเป็นต้องมี เพื่อระบายความใคร่ เพื่อเอาเม็ดเงินเข้าประเทศ แต่จะเลิกมือถือสากปากถือศีลกันไหมก็อีกเรื่อง

มาร์ค

: สำหรับเรา อาชีพนี้สำคัญมาก เราเคยอ่านวิจัยหรือบทความเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการข่มขืน เขาบอกว่าไทยมีเปอร์เซ็นการถูกข่มขืนเยอะ เพราะคนที่อยากทำ เขาหาที่ลงไม่ได้ พอเขาเอาไปเปรียบเทียบกับประเทศที่ Sex Worker ถูกกฎหมาย จะเห็นได้เลยว่าเปอร์เซ็นการถูกข่มขืนมีน้อยลง เขาเลยมองว่าการมีอยู่ของอาชีพนี้มันคือ ทางเลือกของคนที่ต้องการจะปลดปล่อยตัวเอง โดยใช้เงินในการแก้ปัญหา ซึ่งพอเป็นประเทศไทย อาชีพนี้ยังผิดกฎหมายอยู่ ในมุมหนึ่ง เรทราคาอาจจะสูงเพราะยังต้องแอบทำกัน ฉะนั้นต้องคิดราคาสูงๆ เพื่อให้คุ้มความเสี่ยงของคนที่ประกอบอาชีพนี้ ซึ่งเรามองว่าถ้าวันหนึ่งอาชีพนี้ถูกกฎหมายขึ้นมา มันจะมีคนคิดเรทราคาที่ถูกลงได้ อีกอย่าง เรามองว่าเดี๋ยวนี้คนไทยเครียดเรื่องงาน เรื่องอื่นในชีวิตเยอะ บวกกับอาจจะชอบการมีเพศสัมพันธ์ด้วย เลยใช้เงินในการมาซื้อบริการ Sex Worker เพื่อลดความเครียดเหล่านั้น ซึ่งถ้าอาชีพนี้มันมีอะไรรับรอง มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งคนซื้อและคนขาย มันจะทำให้เรารู้ว่าลูกค้าคนนี้ปลอดภัย จะได้วางใจในระดับหนึ่งว่าเราจะไม่ถูกหลอกไปฆ่าข่มขืน ไม่ติดโรคทางเพศสัมพันธ์ เพราะ Sex Worker ต้องทำงานกับความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา ในส่วนของลูกค้า เขาก็จะสบายใจได้เพราะไม่ต้องไปนัดกับคนแปลกหน้าและเสี่ยงติดโรค อีกทางหนึ่ง ถ้าเขาไปซื้อบริการ เขาก็สามารถเลือกได้จาก รูปร่างหน้าตา อายุ ที่อยู่ และสามารถตรวจสอบโรคได้ ซึ่งมันก็ดีกับทั้งสองฝ่ายจริงๆ 

คิดเห็นอย่างไรที่ Sex Worker ยังเป็นอาชีพที่ผิดกฎหมาย แต่มีให้เห็นทั่วไป

เจ

: การที่มีคนบอกว่าอาชีพหนึ่งผิดกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่ ต่อให้มันผิดกฎหมาย หลายคนก็จำเป็นต้องทำอยู่ดี เพราะส่วนหนึ่งคนมันก็ต้องหางาน หาเงินเลี้ยงชีพ และอีกส่วนหนึ่งคือยังมีคนที่ยังอยากใช้บริการนี้อยู่เยอะมากเหมือนกัน ถึงต่อให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์และดูถูกอาชีพนี้ มันก็ยังไม่หายไปหรอก ที่สังคมและรัฐทำได้คือมีกฎหมายหรือกระบวนการที่ปกป้อง Sex Worker ให้เขาไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ 

มาร์ค: ต้องบอกก่อนว่าเวลาเรารับเงินมาเราจะรับเป็น เงินสด ด้วยความที่อาชีพนี้ยังหลุดออกจากระบบกระบวนการการจ่ายภาษี เพราะมันผิดกฎหมายอยู่ อีกอย่างหนึ่งคืออาชีพนี้มันไม่ได้เสี่ยงแค่เรื่องโรค แต่ยังมีความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายร่างกายจากลูกค้า จะไปแจ้งความก็ไม่ได้ เพราะตัวเองเป็น Sex Worker มันเลยทำให้บางคนต่อให้ถูกทำร้ายก็ไม่กล้าไปแจ้งความเพราะกลัวถูกจับ การที่อาชีพนี้ยังผิดกฎหมายทำให้เราเห็นว่า ไม่มีอะไรคุ้มครองอาชีพเหล่านี้หรือตัวเราได้เลย ถ้ามองแค่เรื่องเศรษฐกิจ คนที่ทำอาชีพตรงนี้ต้องหลุดออกจากระบบภาษี ประเทศเราขาดภาษีจากส่วนนี้ไปตั้งเท่าไหร่ เพราะแค่เรื่องของภาพจำที่ตัดสินเพียงด้านเดียว แล้วส่งผลมายังตัวกฎหมาย เราคิดว่ามันให้อารมณ์เหมือนเราต้องมานั่งรับกรรมที่เราไม่ได้ก่อ

ถ้า Sex Worker ถูกกฎหมาย จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้างในสังคม

เจ

: เราคิดว่า ความปลอดภัย สำคัญมาก คือถ้าพูดในเชิงอุดมคติเลย คือถ้าถูกกฎหมาย มันจะทำให้ Sex Worker ทำงานได้ง่ายขึ้นเยอะ และไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงตาย คือเราก็จะเห็นเคสที่เมียหลวงกระทืบผู้หญิงที่สามีนอกใจไปหาที่ม่านรูดจนเสียชีวิต ซึ่งส่วนหนึ่งก็เดากันว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็น Sex Worker ในความคิดเราคือ ต่อให้เขาจะเป็นหรือไม่เป็น แต่เคสแบบนี้มีอยู่จริง และส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชายที่ทำร้ายร่างกาย Sex Worker ส่วนของเคสเพศอื่นๆ อาจจะมี แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดก็จะเป็นผู้ชายในวงการเราที่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นเพศนี้ และก็จะมีเคสที่พัทยาที่เขาถูกโยนออกจากระเบียงโรงแรม เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และอาจจะไม่ได้เป็นข่าว แต่ถ้ามีกฎหมาย มันก็จะช่วยทำให้ปลอดภัยได้เยอะ ทั้งเรื่องการถูกทำร้ายร่างกาย และเรื่องของความยินยอม เช่น ลูกค้าแอบถอดถุงหรือไม่ยอมใส่ถุงยาง ลูกค้ามีเพศสัมพันธ์แบบไม่ยินยอม แล้วก็เรื่องของอายุ เพราะสมัยนี้ก็มีการซื้อบริการเด็กอายุที่ต่ำกว่า 15-18 ปี เยอะมาก การที่ทำให้อาชีพนี้ถูกกฎหมาย จะสามารถทำให้ปัญหาเหล่านี้ถูกแก้ไขได้ 

มาร์ค

: เราคิดว่ามันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ทันที 100% ในแง่ภาพจำและมุมมองของคนในสังคมที่มีต่ออาชีพนี้ มันฝังรากลึกมานาน คงต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงความคิดนั้น แต่ที่เปลี่ยนได้มากสุดคือทำให้อาชีพนี้ ถูกกฎหมาย และ ตรวจสอบการยื่นภาษี ที่รัฐบาลต้องมาตรวจสอบ ซึ่งส่วนตัวเรามองว่าต่อให้มันถูกกฎหมาย Sex Worker บางคนอาจจะไม่เข้ามายื่นเองด้วย รัฐบาลต้องลงพื้นที่จริงๆ ตามสถานที่บริการต่างๆ เพราะเงินส่วนนี้จะเป็นอีกหนึ่งรายได้ใหญ่ของประเทศเลย เพราะมีนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจบินมาไทยเพื่อลองใช้บริการ Sex Worker ถ้าทุกอย่างมันถูกกฎหมายแล้ว คนเที่ยวก็มีความสุข Sex Worker ก็ไม่ต้องทำอะไรแอบๆ แถมเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย  และอย่างที่บอก การทำให้ถูกกฎหมายอาจจะไม่เปลี่ยนอะไรในสังคม แต่มันจะเปลี่ยนชีวิตผู้ทำอาชีพนี้ให้ปลอดภัยขึ้นแน่นอน

สิ่งที่อยากฝากถึงคนในสังคม รัฐบาล หรือผู้มีอำนาจในส่วนอื่นๆ

เจ

: ไม่นานมานี้ในโซเชียลมีเดีย เราได้เห็นว่า ‘หมอ’ บางคนจะชอบคิดว่า หมอทำงานหนักมาก รับเวรเยอะมาก ยังได้เงินไม่เท่า Sex Worker ที่ทำงานเวลาสั้นๆ  และได้เงิน 4-5 หมื่นเลย และอีกกรณีคือ พนักงานเงินเดือนที่มักจะบ่นทำนองเดียวกับหมอ เรารู้สึกว่าเขาก็มีสิทธิ์ของเขาที่จะบ่นประโยคเหล่านี้ แต่อีกมุมคิดว่ามันค่อนข้างเป็นผลกระทบที่แย่ต่อ Sex Worker เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นได้รับเงินเดือนที่มั่นคง และมีสถานะทางสังคมสูงกว่า Sex Worker อยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้ถูกสังคมมองว่า “จะทำอาชีพนี้ทำไม มันไร้ศักดิ์ศรี” ในสังคมไทย ใครที่จบหมอ ทุกคนเชิดชูหมด การที่มาบ่นและเปรียบเทียบกับ Sex Worker ว่าพวกเราทำงานชั่วโมงงานน้อยกว่า แต่ได้เงินเยอะ เป็นมุมมองที่ค่อนข้างแคบ  ต้องเข้าใจว่า อาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพถูกกฎหมาย เท่ากับไม่มีอะไรคุ้มครองเราเลย การเอารัดเอาเปรียบใดๆ ที่เกิดขึ้น เราบ่นได้เหมือนอาชีพอื่นๆ แต่เราโต้ต้อบไม่ได้เหมือนคนอื่น เพราะการมีอยู่ของเราผิดกฎหมาย หนำซ้ำยังโดนมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติเอาเสียเลย 

เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น หรือบ่นอะไรสักอย่างเกี่ยวกับงาน สังคมก็จะเริ่มกลับมาบอกว่า “เธอก็เลิกทำงานนี้แล้วไปทำงานประจำเหมือนคนอื่นสิ” แต่คนทำงานประจำเบื่อหน่ายกับชีวิต ก็ชอบเพ้อว่าตัวเองอยากทำงานนี้บ้าง แล้วค่อยมามองต่ำตอน Sex Worker บ่นถึงปัญหาอาชีพของตัวเอง อีกอย่าง คนที่ทำงานเป็น Sex Worker เขารู้ตัวกันอยู่แล้วว่าจะเลิกทำตอนไหน ก็เหมือนอาชีพหนึ่งที่คุณอยากลาออกหรือเปลี่ยนสายก็จะทำ มันไม่ต่างจากคนที่ทำอาชีพอื่นกันหรอก ทุกคนรู้ว่าเรายังอยากทำไหม มันจะมั่นคงไหม แต่คนในสังคมก็ตัดสินและไม่เคารพการตัดสินใจของ Sex Worker ขนาดนั้น ในด้านของ พ.ร.บ. และข้อเรียกร้องที่ต้องแก้ ก็ยังมีที่คงค้างคาไม่ไปไหน คนเลยต้องออกมารณรงค์เกี่ยวกับตัวกฎหมายนี้กันอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า พรรคการเมืองในไทยจะรีบผลักดันก็ตอนที่มีคนออกมากดดันเรียกร้องด้วยการด่า

มาร์ค

: อยากฝากไว้แค่ว่า ที่อยากผลักดันให้ถูกกฎหมาย เพราะคนทำอาชีพนี้ก็ต้องการความปลอดภัย พวกเราเสี่ยงแค่เรื่องโรค/ความรุนแรงจากลูกค้าก็พอ ไม่ต้องให้แบกรับความเสี่ยงเรื่องคุกด้วย เราไม่ขอให้ใครมาซื้อ เราขายให้คนที่เขาอยากใช้บริการ ไม่ไปปล้นจี้ใคร แล้วก็ไม่ได้จะเชิญชวนให้ลูกหลานใครมาทำอาชีพนี้ (อย่ามาแย่งงานกันเลย) อย่างที่มาดามไปรยาบอก 

“กระหรี่เป็นไม่ได้ถ้าใจไม่รัก สาธุค่ะ”

*BDSM หมายถึง รสนิยมทางเพศที่มี ผู้ควบคุม และ ผู้ถูกควบคุม โดยมีการใช้อุปกรณ์ เช่น เทียน แส้ หรือ เชือก เพื่อให้เกิดความสุขในความเจ็บปวดภายใต้ความยินยอมของทุกฝ่าย 

โดย BDSM ย่อมาจาก B = Bondage (การถูกพันธนาการ), D = Discipline (การลงโทษ) และ Dominance (การถืออำนาจเหนือกว่า), S = Submission (การยอมจำนน) และ Sadism (ความสุขจากการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวด), M = Masochism (ความสุขจากการถูกทำให้รู้สึกเจ็บปวด)

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
0
Love รักเลย
0
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0

More in:Articles

Articles

ภัยพิบัติในไทยกับความสนใจ ‘แค่กรุงเทพ’

เรื่อง: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ ภาพ: Wiroj Sidhisoradej จาก Freepik 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ...

Articles

หลอดไฟในดงไม้ แสงสว่างที่ระบบนิเวศไม่ต้องการ

เรื่อง : พรวิภา หิรัญพฤกษ์ ภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี ในเมืองกรุงอันแสนกว้างใหญ่ แม้จะเป็นเวลากลางคืนที่ฟ้ามืดสนิท แสงจากไฟถนนและตึกยังคงส่องสว่างเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญ และในเมืองที่ไม่มีวันดับแสงนี้ การจะเห็นดาวที่ลอยอยู่เต็มผืนฟ้าช่างยากเหลือเกิน แม้แสงไฟจะเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญ แต่ไม่ใช่ทุกที่จะเหมาะสมกับความสว่างไสวนี้ ...

Articles

 I’m cringe but I’m free สะเหล่อแล้วไง ไม่แคร์แล้วกัน

เรื่อง : ศิรประภา จารุจิตร ภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี “โอ้ยยย ทำไมตอนนั้นสะเหล่อจัง” ความคิดที่โผล่เข้ามาในหัวขณะที่ล้มตัวลงนอนหลับตาเตรียมฝันดี แต่สมองไม่รักดีกลับขุดภาพความทรงจำอันน่าอับอายขึ้นมาฉาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เล่นมุกแล้วคนทั้งห้องกริบ ทักคนผิดเพราะนึกว่าเป็นเพื่อนตัวเอง ส่งข้อความหาคนที่ชอบเขาอ่านแต่ไม่ตอบ ...

Articles

ต้องอายุเท่าไหร่ ถึงควรจะประสบความสำเร็จ?: ชวนสำรวจนิยามความสำเร็จผ่านตัวละครหลักหลากวัยจาก Only murders in the building

เรื่องและภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ คุณเคยรู้สึกว่าชีวิตตัวเองว่างเปล่าหรือไร้ค่าบ้างไหม? คุณเคยรู้สึกเจ็บช้ำจากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าบ้างหรือเปล่า? คุณเคยมองความสำเร็จของคนอื่นแล้วถามตัวเองหรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่? หากคุณเคยรู้สึกหรือเคยถามตัวเองแบบนั้น คุณอาจเป็นเหมือนสามตัวละครหลักจาก Only murders in the ...

Articles

ผม (ไม่) เคย เฉยชากับความตาย

เรื่องและภาพประภาพ: Amphea Warning : บทความชิ้นนี้มีการพูดถึงเนื้อหาของการพยายามอัตวินิบาตกรรมและการสูญเสียของคนใกล้ตัว โปรดอ่านอย่างระวัง ‘อาม่า’ ของผมเสียไปตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ในวัยประถม แม้ช่วงบั้นปลายชีวิต เธอจะเริ่มหลงลืมลูกหลานและอารมณ์รุนแรงไปบ้าง แต่สำหรับลูกทั้ง 8 คนแล้ว เธอยังคงเป็นคนที่ทุกคนในครอบครัวรักมากที่สุดคนหนึ่ง ส่วนผมนั้นไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับอาม่ามากนัก ...

Articles

ออกเดินทางมาแล้วแต่ยังไกลจุดหมาย : ตอนนี้ Universal Design พาคนพิการเดินทางไปได้เท่าไหนในไทย

เรื่องและภาพประกอบ : ชวิน ชองกูเลีย เป็นเวลาหลาย 10 ปีมาแล้วที่คนพิการต้องเรียกร้องสิทธิต่างๆ ทั้งในประเด็นสิทธิในการเข้าทำงาน มุมมองด้านลบที่คนพิการเคยถูกมองว่าไม่มีความสามารถ หรือเคยทำกรรมไว้จึงพิการ และปัญหาความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขาหลังจากที่ต้องสูญเสียทักษะบางอย่างไป การเดินทางเองก็เป็นอุปสรรคอันดับต้นๆ ที่คนพิการต้องพบเจอและมีการเรียกร้องมาเป็นเวลานาน จนมีกฎหมายเกี่ยวกับ Universal Design ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save