เรื่อง : พรวิภา หิรัญพฤกษ์ และ วรพร รุ่งวัฒนโสภณ

ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ชี้ ไทยไม่มีการกำกับดูแล OTT เพราะร่างแผนแม่บทไม่ถูกนำเข้าที่ประชุมกสทช. กระทบสื่อทีวี-ผู้บริโภค
จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ก.พ. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก พิรงรอง รามสูต ศาสตราจารย์กิตติคุณและกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ เป็นเวลา 2 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จากการออกหนังสือเตือนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลให้ปฏิบัติตามกฎมัสต์แครี่ (Must Carry) และบริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัดได้ยื่นฟ้องนั้น
เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.) บนเวทีเสวนา ‘“พิรงรอง Effect” ทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้…’ ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระวี ตะวันธรงค์ ที่ปรึกษาสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ กล่าวว่า ปัจจุบันการให้บริการโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Over-The-Top หรือ OTT) หรือแพลตฟอร์มสตรีมมิงต่างๆ ในไทยยังไม่มีการกำกับดูแลและกสทช.ไม่มีอำนาจที่ชัดเจน เพราะกฎหมายที่กสทช.ใช้เป็นแบบเก่า ครอบคลุมเฉพาะการให้บริการโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ตแบบมีสายสัญญาณ (Internet Protocol Television หรือ IPTV) เท่านั้น และยังไม่มีกฎหมายสำหรับการกำกับดูแลการให้บริการแบบ OTT แม้เมื่อ 4 ปีที่แล้วกสทช. ได้จัดตั้งคณะทำงานศึกษาดูแลเกี่ยวกับการให้บริการแบบ OTT และได้ทำแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ซึ่งร่างแล้วเสร็จใน พ.ศ.2566 แต่ไม่ถูกนำเข้าไปพิจารณาในที่ประชุมกสทช. ทำให้ผู้ให้บริการไม่สามารถจดทะเบียนการให้บริการในรูปแบบ OTT ได้ ซึ่งช่องว่างทางกฎหมายนี้ทำให้กสทช.ไม่สามารถกำกับดูแลเนื้อหาและโฆษณาที่มีการเผยแพร่ในรูปแบบดังกล่าวได้
“ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หนึ่ง มันทำลายทีวีดิจิทัลที่รอต่อสัญญาอีก 4 ปี ตอนนี้เจ้าของช่องทุกช่องยังไม่รู้ว่าจะประมูลหรือไม่ประมูล สวนทางกับ OTT ที่กำลังโตขึ้นและค่าโฆษณาบน OTT ที่ถูกกว่า ดังนั้นการดำเนินการของธุรกิจที่จะเข้าไปย้ายแล้วเม็ดเงินของโทรทัศน์เข้าไปอยู่บน OTT ก็จะมากขึ้น” ระวีกล่าวและว่า ผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะทำให้กิจการโทรทัศน์ไม่มีเงินจ้างพนักงานและปลดพนักงานออก
สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. กล่าวว่า คำตัดสินของศาลต่อพิรงรองในกรณีนี้ ทำให้สังคมตื่นตัวกับบทบาทและธรรมาภิบาลของกสทช.อีกครั้ง และกสทช.ควรผลักดันการกำกับดูแลการให้บริการแบบ OTT โดยให้ความสมดุลระหว่างสิทธิเสรีภาพการสื่อสาร เพิ่มการแข่งขันที่เป็นธรรมในอุตสาหกรรมสื่อ และการคุ้มครองผู้บริโภค
“ถ้าผู้ประกอบการไทยรายใหญ่ที่ประกอบกิจการ OTT ไม่สนับสนุนให้มีการกำกับดูแลที่เป็นธรรม วันหนึ่งคุณก็อาจไม่มีที่ยืน เพราะตอนนี้คนไทยดูผ่านแพลตฟอร์มมากขึ้น ละครไทยในช่องโทรทัศน์มีคนดูน้อยลง นั่นแปลว่าเรากำลังเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจมากขึ้นหรือเปล่า ถ้าผู้ประกอบการไทยไม่มาร่วมกับกสทช.ในการหาแนวทางกำกับที่เป็นธรรม อุตสาหกรรมสื่อไทยในภาพรวมจะอยู่รอดได้อย่างไร” สุภิญญากล่าว
ณรงค์เดช สรุโฆษิต รองศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า จากจดหมายข่าวของศาลอาญาสะท้อนให้เห็นปัญหากลไกการทำงานในสำนักงานกสทช. 3 ข้อ คือ กระบวนการรักษาความลับในที่ประชุมกสทช. การจดรายงานการประชุมเท็จที่ไม่มีข้อมูลว่าใครเป็นผู้จดรายงาน และเรื่องอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ของกสทช. โดยคณะกรรมการมีหน้าที่ในการวางแผนนโยบายและตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่เป็นคำสั่งการปกครอง ส่วนในการกำกับในภาคปฏิบัติเป็นหน้าที่ของฝ่ายปฏิบัติการ สำนักงานกสทช. จึงเกิดคำถามว่า พิรงรอง มีหน้าที่ในเรื่องนี้หรือไม่ และข้อมูลทั้งหมดอาจชัดเจนขึ้นหากมีการเปิดเผยคำพิพากษาฉบับเต็ม