เรื่อง: ณฐนนท์ สายรัศมี
ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ

หากดนตรีคือกระจกสะท้อนสังคม เพลงร็อกก็คงเป็นกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ บาดคม ท้าทาย และไม่เคยเลือกแสดงเพียงด้านที่งดงาม
ภายใต้เสียงกีตาร์อันกระหึ่ม เสียงกลองที่ดุดัน และน้ำเสียงของนักร้องที่มักเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เกลียด หรือผิดหวัง เราพบเห็นการใช้ภาษารุนแรงหรือคำหยาบอย่างเปิดเผย ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการดนตรี แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันไม่รู้จบ
คำถามที่น่าสนใจก็คือ คำหยาบในเพลงร็อกเป็นเพียงแค่การ ‘แรงเพื่อเรียกความสนใจ’ หรือคือส่วนหนึ่งของการแสดงออกที่มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น?
เสียงตะโกนที่ไม่ได้เกิดจากความว่างเปล่า
หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เพลงร็อกมีรากฐานมาจากการต่อต้าน โดยมีเนื้อหาเสียดสีหรือสะท้อนการเมือง เพศ คติชน เชื้อชาติตั้งแต่ยุคของ The Beatles และ The Rolling Stones ที่เปิดประตูให้กับเสียงของคนรุ่นใหม่ ไปจนถึงวง Sex Pistols ที่แหกทุกกฎเกณฑ์ของความสุภาพ ด้วยเนื้อหาที่วิจารณ์สถาบันและสังคมอย่างเปิดเผยในเพลง ‘God save the Queen’ ที่ปล่อยออกมาในปี 1977 ก่อนพระราชพิธีรัชดาภิเษก ควีนเอลิซาเบธที่ 2 เพียงหนึ่งสัปดาห์
“God save the Queen
The fascist regime
They made you a m*ron
A potential H bomb”
ทศวรรษ 1990 คืออีกช่วงเวลาสำคัญที่คำหยาบในเพลงร็อกกลายเป็นกระแส โดยเฉพาะในแนว alternative และ rap-rock เช่น เพลง ‘Killing in the Name’ ของวงดนตรีร็อคอเมริกันชื่อดัง อย่าง Rage Against the Machine ซึ่งปล่อยออกมาในปี 1992 เพลงนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านอำนาจรัฐและความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในท่อนสุดท้ายที่นักร้องนำตะโกนซ้ำๆ ว่า
“F* you, I won’t do what you tell me!”
หลายคนอาจมองว่าประโยคนี้คือการปลุกระดม หรือเป็นเพียงการแสดงความเกรี้ยวกราดแบบไม่มีเหตุผล แต่หากพิจารณาบริบทของเพลง จะพบว่ามันคือเสียงของความโกรธที่มีต้นกำเนิดจาก ‘ความอยุติธรรม’ เป็นการสะท้อนสภาพสังคมที่คนจำนวนมากรู้สึกว่าถูกทำให้ไร้เสียง
คำหยาบในฐานะศิลปะ
การใช้คำหยาบในเพลงไม่ใช่เพราะขาดสติปัญญาหรือวุฒิภาวะ หากแต่เป็นการเลือกใช้ภาษารูปแบบหนึ่งที่ ‘ตรงไปตรงมา’ และไม่ผ่านการขัดเกลา บางครั้งมันคือคำที่แสดงความรู้สึกได้ดีกว่าคำสุภาพใดๆ เพราะมาจากอารมณ์ที่แท้จริง ไม่มีการเสแสร้ง เช่นในเพลง ‘Break Stuff’ ของ Limp Bizkit
“We’ve all felt like sh*t
And been treated like sh*t
All those motherf*ckers that want to step up
I hope you know I pack a chainsaw
I’ll skin your a*s raw”
หรือ ‘You Oughta Know’ ของ Alanis Morissette ที่ใช้ภาษารุนแรงเพื่อถ่ายทอดความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ที่พังทลาย
“An older version of me
Is she perverted like me?
Would she go down on you in a theatre?
Does she speak eloquently?
And would she have your baby?
I’m sure she’d make a really excellent mother”
และศิลปินสัญชาติไทยอย่าง ‘Defying Decay’ ที่ปล่อยเพลง The Law 112: Secrecy And Renegades ออกมาในปี 2021 ในช่วงที่มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา กำลังถูกวิพากษ์วิจารย์ในสังคมไทย
“Shut your mouth now listen up
All you f*ckers gotta back it up
Sacrifice all the sh*t you told
Cause corruption will bleed us all
Inside you’ll find, secrets and renegades
The lies contrived, Fight in this mass debate
Get the f*ck out, Get the f*ck out please
Get the f*ck out, Get the f*ck out please”
สำหรับผู้ฟังบางคน คำหยาบเหล่านี้คือจุดเชื่อมโยงกับความรู้สึกของตนเอง มันทำให้รู้สึกว่า “ฉันไม่ใช่คนเดียวที่เจ็บแบบนี้” หรือ “ยังมีคนกล้าพูดในสิ่งที่ฉันอยากพูดแต่พูดไม่ได้” จึงไม่น่าแปลกที่เพลงร็อกแบบนี้จะกลายเป็นที่รักของผู้คนจำนวนมากในทุกยุคสมัย
เสรีภาพ กับ ขอบเขต
แน่นอนว่าความตรงไปตรงมาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะยอมรับได้ง่าย หลายประเทศและหลายแพลตฟอร์มเซ็นเซอร์คำหยาบในเพลง เช่น การปิดเสียงบางคำ หรือการแสดงเครื่องหมาย ‘Explicit’ กำกับในบริการสตรีมมิ่ง เพื่อให้ผู้ฟังสามารถเลือกเปิดหรือปิดเนื้อหาดังกล่าวได้
ประเด็นนี้นำไปสู่คำถามว่า การจำกัดภาษาที่ใช้ในเพลงคือการปกป้องเยาวชน หรือเป็นการลิดรอนเสรีภาพของศิลปิน? ฝ่ายหนึ่งมองว่าเพลงที่มีคำหยาบอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน ขณะที่อีกฝ่ายโต้แย้งว่าศิลปะไม่ควรถูกจำกัดโดยความกลัว เพราะหน้าที่ของศิลปะคือการกระตุ้นให้คิด ไม่ใช่แค่ทำให้สบายใจ
เมื่อคำหยาบกลายเป็น ‘สูตรสำเร็จ’
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในบางกรณี การใช้คำหยาบกลายเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาด เป็น ‘สูตรสำเร็จ’ ที่ศิลปินบางคนหยิบมาใช้เพราะต้องการให้เพลงเป็นกระแส มากกว่าจะส่งสารที่มีความหมาย เช่น การใส่คำต้องห้ามลงในท่อนฮุกเพียงเพื่อเรียกยอดวิว หรือสร้างความดราม่าบนโซเชียลมีเดีย
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำหยาบก็กลับกลายเป็นเพียง ‘ของตกแต่ง’ ที่ไม่มีน้ำหนัก ไม่ได้สร้างผลกระทบทางอารมณ์อย่างแท้จริง และในระยะยาวก็อาจทำให้คนฟังรู้สึกเบื่อหน่ายหรือไม่เห็นความแตกต่าง
คำหยาบในเพลง = ความจริงในชีวิต?
ชีวิตจริงไม่ได้มีแต่ถ้อยคำสุภาพ และอารมณ์ของมนุษย์ก็ไม่ได้อยู่ในกรอบที่ควบคุมได้เสมอ ภาษารุนแรงในเพลงร็อกจึงอาจเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ได้อย่างแท้จริง ทั้งโกรธ เกลียด กลัว หรือเสียใจ มันเป็นส่วนหนึ่งของความจริงที่ไม่ผ่านการกรอง และในโลกที่เต็มไปด้วยการควบคุม การได้ยินเสียงที่ ‘ไม่ผ่านการกรอง’ อาจเป็นสิ่งที่ผู้คนต้องการมากที่สุด
ในท้ายที่สุด การใช้ภาษารุนแรงในเพลงร็อกไม่ใช่เรื่องของคำคำเดียว แต่มันคือบริบท ความตั้งใจ และน้ำหนักทางอารมณ์ที่ศิลปินใส่เข้าไป คำหยาบบางคำอาจมีพลังมากกว่าคำพูดสุภาพเป็นพันคำ หากมันพูดออกมาจากความรู้สึกจริง
และบางครั้ง…คำที่หยาบที่สุด ก็อาจกลายเป็นคำที่จริงใจที่สุดในเพลงนั้นก็เป็นได้
รายการอ้างอิง
Nadia Khomami.(May 5th, 2023).Regime change: Sex Pistols star reworks God Save the Queen rhymes for king.https://www.theguardian.com/uk-news/2023/may/05/sex-pistols-star-reworks-god-save-the-queen-rhymes-for-king#:~:text=God%20Save%20the%20Queen%20was,that%20rhyme%20with%20%E2%80%9Cqueen%E2%80%9D.
Genius.(n.d.).God Save the Queen – Sex Pistols. https://genius.com/Sex-pistols-god-save-the-queen-lyrics
Genius.(n.d.).Break Stuff – Limp Bizkit .https://genius.com/Limp-bizkit-break-stuff-lyrics
Genius.(n.d.).You Oughta – Alanis Morissette Know.https://genius.com/Alanis-morissette-you-oughta-know-lyrics
Genius.(n.d.).Killing in the Name – Rage Against the Machine.https://genius.com/Rage-against-the-machine-killing-in-the-name-lyrics