เรื่อง : พิชญา ณ วาโย
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อเราเผชิญหน้ากับอดีตที่ไม่พึงใจ หลายครั้งเรามักพยายามลบมันออกจากความทรงจำราวกับว่าไม่เคยมีอยู่จริง
แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า “การลบทิ้ง” ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของปัจเจก หากเป็นกระบวนการที่รัฐเป็นผู้ลงมือ เพื่อ “จัดระเบียบ” ความทรงจำของประชาชน?
เมื่อความทรงจำไม่ใช่พื้นที่ส่วนบุคคลอีกต่อไป แต่กลายเป็นสนามที่รัฐพยายามเข้าควบคุม จัดระเบียบ หรือกำหนดว่าอะไรสมควรถูกจำ และอะไรสมควรถูกลืม พื้นที่ความทรงจำจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของอดีตอีกต่อไป
แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือในการจัดการกับอนาคตด้วย
โดยทั่วไปเรามักเชื่อว่าประวัติศาสตร์คือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว และเป็นข้อเท็จจริงตายตัวที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ทว่าในความเป็นจริง ประวัติศาสตร์ที่เรารับรู้กลับไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมดของอดีต แต่โดยมากแล้วมักเป็นผลลัพธ์ของการคัดเลือก การตีความ การเล่าซ้ำ และการแทรกแซงโดยรัฐ
ดังที่ Michel-Rolph Trouillot นักมานุษยวิทยาชาวเฮติ เจ้าของหนังสือ “Silencing the Past: Power and the Production of History (1995)” ชี้ให้เห็นว่า อำนาจไม่ได้ดำรงอยู่เฉพาะในสนามการเมืองเท่านั้น แต่แฝงตัวอยู่ในกระบวนการ “เลือกจำ” และ “การเล่าเรื่อง” ส่งผลให้บางเหตุการณ์ถูกชูขึ้นเป็นความทรงจำหลัก
ในขณะเดียวกัน ความทรงจำที่อาจเป็นภัยต่ออำนาจมักถูกจัดการอย่างเงียบงัน โดยเฉพาะในประเทศสารขัณฑ์นี้ บางครั้งผ่านกลไกของรัฐ บางครั้งผ่านกฎหมายที่ควบคุมการพูดและการแสดงออก หรือบางครั้งก็ทำให้หายไปพร้อมกับวัตถุ สถานที่ หรือสัญลักษณ์ที่เคยทำหน้าที่จารึกความทรงจำนั้นไว้
หมุดทองเหลืองที่ระลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หายไปอย่างเงียบงันในชั่วข้ามคืน โดยปราศจากคำอธิบายจากรัฐ ก่อนจะถูกแทนที่อย่างไร้ชั้นเชิงด้วยหมุดใหม่ที่ดูยึดโยงกับอำนาจเก่า
ไม่ต่างจากกรณีการรื้อถอนอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ บริเวณหลักสี่ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารและ
พลเรือนที่เสียชีวิตในการปราบกบฏบวรเดช เมื่อ พ.ศ. 2476 กบฏที่ต้องการฟื้นอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายคณะราษฎร อนุสาวรีย์นี้จึงเป็นหลักฐานเชิงพื้นที่ของการปะทะกันระหว่างสองระบอบอย่างชัดเจน
เช่นเดียวกับมรดกคณะราษฎรอื่นๆ อาทิ อนุสาวรีย์จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ และอนุสาวรีย์พระยาพหลพลพยุหเสนา ในศูนย์การทหารปืนใหญ่ ลพบุรี ที่ถูกทำให้หายไปราวกับว่าความทรงจำเรื่องประชาธิปไตยค่อย ๆ ถูกผลักออกให้พ้นจากการรับรู้ของสังคม
นี่จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ แต่คือการเขียนความทรงจำใหม่ด้วยมือของรัฐ
การลบ การปรับเปลี่ยน หรือการกลบพื้นที่ทางกายภาพไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อความงาม หรือการจัดภูมิทัศน์เมืองใหม่ แต่เป็นไปเพื่อปรับแต่งอดีตให้สอดคล้องกับอำนาจที่ยังดำรงอยู่
อย่างไรก็ตาม ในโลกของยุคดิจิทัล ความทรงจำอาจไม่ได้ผูกติดอยู่กับหมุด อนุสาวรีย์ หรือสถานที่เท่านั้น หากกระจายตัวในรูปของคลิปวิดีโอ ข้อความ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่มุกตลกและมีมที่แม้จะดูขบขัน แต่ก็แฝงพลังทางการเมืองไว้อย่างแนบเนียน
แม้รัฐจะพยายามลบเลือนอดีต แต่โลกออนไลน์กลับเป็นพื้นที่ที่ความทรงจำไม่อาจควบคุมได้ง่าย ทว่าเมื่อ “การลบ” อาจไม่ได้ผล รัฐจึงเปลี่ยนมาใช้ “การรบ” แทน ด้วยอาวุธใหม่อย่าง “ไอโอ” (IO – Information Operation) หรือปฏิบัติการข่าวสาร
ไอโอไม่ได้มีหน้าที่แค่พยายามบิดเบือนความจริง แต่ยังทำหน้าที่ผลิต “ความจริงใหม่” ขึ้นมา ความจริงที่ถูกปรุงแต่งด้วยเป้าหมายทางการเมือง สร้างภาพจำชุดใหม่เพื่อเบี่ยงเบนหรือแทนที่เรื่องราวที่รัฐไม่ต้องการให้ถูกจดจำ ตั้งแต่การใช้บัญชีปลอมเพื่อปั่นกระแส การตอบโต้เสียงวิจารณ์รัฐในพื้นที่ออนไลน์ ไปจนถึงการสร้างวาทกรรมเพื่อเบี่ยงเบนหรือกลบฝังข้อเท็จจริงที่ไม่พึงประสงค์
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของชยพล สท้อนดี ส.ส. พรรคประชาชน ออกมาพูดถึงเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง แต่เขากลับถูกโจมตีด้วยคำครหาอย่าง “เก่งทุกอย่างยกเว้นหน้าที่ตัวเอง” “ดีแต่ปาก” หรือ “หล่อแต่ไร้ผลงาน” ลักษณะการโจมตีเช่นนี้เป็นแบบแผนที่พบได้บ่อยในปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมักใช้วิธีการรุมถล่มเป้าหมายด้วยข้อความซ้ำ ๆ ก่อนจะเปลี่ยนบัญชีใหม่แล้วเริ่มวงจรเดิมอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ยังมีไอโอผลิตคอนเทนต์เบี่ยงประเด็นเพื่อลดทอนความสนใจต่อเรื่องสำคัญ เช่น ในสัปดาห์ที่คดีตากใบใกล้หมดอายุความ กลับมีคอนเทนต์ถาโถมใส่พรรคประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกล่าวหาว่าธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ อยู่เบื้องหลังครอบงำพรรค หรือการสร้างภาพว่าพรรคส้มคือ สามกีบที่เน้นกระแส แต่ว่างเปล่าจากเนื้อหา และไร้ผลงานจริง
ไอโอทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อจัดการกับความทรงจำของสังคม ขณะเดียวกันก็ลดทอนแรงกดดันของสังคมที่กำลังมีต่อปัญหาหลักอย่างแนบเนียน
อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของผู้ที่ตั้งคำถามต่ออำนาจ ผ่านการโจมตีทางวาทกรรม ป้ายสีว่าเป็น “ศัตรูของชาติ” เพื่อลดทอนความชอบธรรม
อย่างกรณีของ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ ที่ iLaw เสนอว่าเธอถูกโจมตีด้วยคอนเทนต์มากถึง 168 ชิ้น เพียงเพราะตีพิมพ์หนังสือ “ในนามของความมั่นคงภายใน” ซึ่งเปิดเผยบทบาทการแทรกแซงของกองทัพต่อสังคมไทยในแต่ละยุคสมัย
การโจมตีเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการตอบโต้ทางความคิด แต่คือความพยายามทำลายพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์ให้แคบลงอย่างเป็นระบบ พร้อมกันนั้น ไอโอยังป้อนชุดข้อมูลซ้ำๆ ผ่านหลากหลายช่องทาง และสร้างภาพจำชุดใหม่ที่ค่อยๆ ฝังแน่นในการรับรู้ของผู้คน จนกลายเป็นความจริงปรุงแต่งที่ยากจะแยกออกจากข้อเท็จจริง ประกอบกับห้องสะท้อนเสียง (Echo Chamber) พื้นที่ที่ผู้คนรับสารจากแหล่งที่สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง และถูกล้อมด้วยเสียงสะท้อนที่คล้ายกันซ้ำไปซ้ำมา ราวกับว่าโลกภายนอกไม่มีเสียงอื่นอีกต่อไป
จนบางครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่า “ความทรงจำ” นั้นเป็นของเราจริงๆ หรือเป็นของรัฐที่มอบให้เรา
ท้ายที่สุด การต่อสู้เรื่องความทรงจำไม่ใช่แค่การแย่งชิงอดีต หากคือการเดิมพันกับความหมายของปัจจุบัน และทิศทางของอนาคต
เมื่อรัฐยังยืนยาว แต่ความทรงจำของเรากลับถูกทำให้สั้นลง ผ่านการลบ กลบ และเขียนใหม่ สิ่งที่เราสูญเสียอาจไม่ใช่แค่ภาพอดีตบางฉาก แต่คือสิทธิในการตั้งคำถามว่า “ใครกันแน่ที่ควรเป็นผู้เล่าเรื่องของเรา?”
หากประวัติศาสตร์ยังถูกเขียนด้วยปากกาของรัฐ เราจะยอมให้เขาเขียนอยู่ฝ่ายเดียวไปอีกนานแค่ไหน?
บรรณานุกรม
Trouillot, M.-R. (1995). Silencing the Past: Power and the Production of History. Beacon Press.
สถาบันพระปกเกล้า. (n.d.). ไอโอ (ปฏิบัติการข่าวสาร). สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2568 จาก https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ไอโอ_(ปฏิบัติการข่าวสาร)
iLaw. (2025). เปิดขบวนการไอโอกองทัพ ภายใต้รัฐบาลแพทองธาร ประธานสั่งตัด สั่งห้ามอภิปราย .สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2568 จาก https://www.ilaw.or.th/articles/51827