เรื่อง : อารีย์วรรณ อมรเดชเทวินทร์
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/%E0%B8%9B%E0%B8%81web-1024x576.jpg)
บทนำ
“ขอถามได้ไหมคะว่าคุณน้าเป็นคนที่ไหน”
“เป็นคนใต้ จังหวัดยะลา แต่ขึ้นมาอยู่กรุงเทพฯ นานจนกระทั่งคนอื่นเขาเข้าใจผิดกันหมดแล้วว่าเป็นคนกรุงเทพฯ”
“พอได้ยินเสียงสำเนียงของคุณน้า ก็เลยคิดว่าอาจจะไม่ใช่คนกรุงเทพฯ ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ยังติดสำเนียงใต้ใช่ไหม แล้วทองแดงออกเยอะไหมล่ะ นี่พยายามพูดให้มันหล่อๆ แล้วนะ”
เมื่อสิ้นสุดประโยคดังกล่าว เสียงหัวเราะของชายผู้คร่ำหวอดในบรรณพิภพวัย 70 ปี ก็ดังก้องไปทั่วห้องขนาดเล็กซึ่งละลานไปด้วยกองหนังสือมากหน้าหลายตาบนชั้นวางโครงเหล็กแข็งแกร่งสองฝั่งซ้ายขวา
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/1-1-1024x672.jpg)
ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยแวะเวียนเข้าไปในหมู่บ้านพระปิ่น 2 เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ คงไม่อยากจะเชื่อว่าบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่โต ไม่มีจุดโดดเด่น แตกต่าง หรือแปลกตาจากบ้านหลังอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ข้างเคียงกันแห่งนี้ จะมีห้องซึ่งเปรียบเสมือนโกดังเก็บหนังสือสำหรับซื้อขาย
โดยมีเจ้าของคือ ‘เรืองเดช จันทรคีรี’ หรือ ‘น้าเดช’ อดีตบรรณาธิการนิตยสารถนนหนังสือ บรรณาธิการผู้ช่วยนิตยสารช่อการะเกด และผู้บริหารสำนักพิมพ์เคล็ดไทย อีกทั้งยังเป็นนักเขียนและนักแปลทรงคุณค่าของวงการหนังสือไทย ตลอดจนเป็นผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์คนวรรณกรรมและสำนักพิมพ์รหัสคดี และในปี 2564 ที่ผ่านมา ก็ได้รับรางวัลบรรณาธร ในฐานะผู้ธำรงคุณูปการแห่งวงวรรณกรรมจากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/2-2-1024x672.jpg)
อย่างไรก็ตาม การบอกเล่าถึงเรื่องราวที่รุ่งโรจน์ซึ่งผ่านพ้นไปแล้ว อาจไม่สลักสำคัญเทียบเท่าการพูดคุยถึง ‘มาตรฐานวรรณกรรมพิมพ์จำกัด’ หรือ ‘มวจ.’ มวจ. ธุรกิจการซื้อขายหนังสือที่มีระบบแตกต่างไม่เหมือนร้านอื่นใด ซึ่งเปรียบเสมือนหน้าที่การงานหลักในปัจจุบันของน้าเดช
ในอดีตมวจ. เป็นระบบที่ผสานให้ร้านหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์ขนาดเล็กรวมกันเป็นหนึ่ง เปรียบเสมือนกับแสงนำทางให้กับเหล่าคนตัวเล็กในบรรณพิภพ ถึงแม้จะมันมอดจนเกือบดับสิ้นไป แต่น้าเดชยังคงพยายามหล่อเลี้ยงแสงสว่างดวงเล็กๆ นี้ต่อโดยไม่คาดหวังถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เราจึงยังมีโอกาสได้มองเห็นส่วนเสี้ยวเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ในมือของชายผู้นี้
แม้ว่าความตั้งมั่น ความหวัง และจุดหมายปลายทางบนถนนสายขรุขระนี้จะค่อยๆ เลือนลางไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม…
.
บทที่ 1 น้าเดช คนวรรณกรรม
“สามารถเรียกว่าคุณน้าเดชได้เลยไหมคะ”
“ใช่ อยากให้คนเรียกว่าน้าเดช แล้วก็เรียกเร็วๆ ด้วย ให้กลายเป็น นะเดช นะเดช”
“เหมือน ณเดชน์ คูกิมิยะ เหรอคะ”
น้าเดชหัวเราะด้วยความชอบใจกับความคิดนี้ ก่อนจะเริ่มต้นอธิบายว่า ต้องการคำเรียกที่ทุกคนสามารถใช้ร่วมกันได้ คล้ายกับกระเป๋ารถเมล์ที่จะเรียกผู้โดยสารว่า ‘พี่’ เสมอ รวมถึงหลายๆ คนในวงการหนังสือก็จะนิยมใช้คำว่า ‘น้า’ ต่อด้วยชื่อเล่น โดยไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญว่าใครจะอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าเพื่อความสะดวกในการพูดคุย “เหมือนเป็นฉายา เราอย่าไปนึกถึงเคารพไม่เคารพเนอะ ยิ่งน้าเดชยิ่งต้องการให้เรียกด้วย ยิ่งควรจะเรียก น้าเดชเฉยๆ เลยก็ได้ไม่ต้องมีคุณ”
นอกจากนี้น้าเดชยังเลือกหยิบคำนิยามตัวเองว่าเป็น ‘คนในวงการหนังสือ’ หรือ ‘คนวรรณกรรม’ แทนการเป็นบรรณาธิการหรือคนทำหนังสือ ด้วยเหตุผลที่ว่า ในช่วงเวลานี้ไม่ค่อยได้ลงมือทำหนังสือด้วยตนเองมากเท่าเดิม ทั้งการเขียน การแปล หรือการบรรณาธิการ
.
บทที่ 2 ออกตัวท่องบรรณพิภพ
“จุดเริ่มต้นในการอ่านหนังสือมาจากไหนเหรอคะ”
“มาจากแม่เลย” น้าเดชตอบคำถามด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะแสดงความเห็นว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว คนที่อ่านหนังสือมักจะได้รับอิทธิพลมาจากครอบครัว เพราะการที่ผู้ใหญ่ในบ้านรักการอ่านหนังสือหรือนั่งอ่านให้เด็กฟังเป็นสิ่งแวดล้อมเชิงรูปธรรมที่เด็กสามารถจับต้องได้
ทว่าหากจะหาจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการเดินทางในโลกวรรณกรรม ก็จำเป็นต้องย้อนกลับไปเกือบ 50 ปีก่อนหน้า ในปี 2517 เมื่อน้าเดชได้เข้าเรียนที่คณะสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเข้าร่วมกลุ่มกิจกรรมของนักศึกษาที่จำเป็นต้องมีการหาทุนมาดำเนินงาน ซึ่งรวมไปถึงการทำหนังสือขาย โดยน้าเดชได้นิยามการทำหนังสือในช่วงเวลานั้นอย่างติดตลกว่า “เอาหนังสือคนอื่นมาพิมพ์ เหมือนขโมยเขามาพิมพ์” เพราะเป็นการนำหนังสือที่เคยได้รับการตีพิมพ์และขายจนหมดแล้ว โดยเฉพาะงานของกลุ่มนักเขียนแนวก้าวหน้า เช่น เสนีย์ เสาวพงศ์ มาตีพิมพ์ซ้ำใหม่ก่อนนำไปขายโดยไม่ได้ขอลิขสิทธิ์ อาจมีบางเล่มที่พยายามไปขออนุญาตทางสำนักพิมพ์หรือนักเขียนก่อน ทว่าการติดต่อสื่อสารในสมัยนั้นก็ทำได้ยาก
“แต่คนเหล่านี้ที่เป็นนักเขียนเขาก็ไม่ว่าอะไรจริงๆ นะ เพราะเขาตั้งใจเขียนหนังสือเพื่อจะให้มันเข้าถึงประชาชนอยู่แล้ว” น้าเดชอธิบายก่อนแจงว่า เมื่อได้มีโอกาสไปพบนักเขียนเหล่านั้นก็ได้ขอโทษขอโพยเป็นที่เรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม ด้วยกระแสการเมืองไทยที่ดุเดือดและเข้มข้นในช่วงสมัยนั้น น้าเดชจึงตัดสินใจย้ายมาเรียนที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยความหวังที่จะได้เป็นทนายของประชาชนเหมือนกับพระเอกนักกฎหมายในหนังสือเรื่อง ปีศาจ ของเสนีย์ เสาวพงศ์ แต่เมื่อได้เข้ามาเรียนแล้ว น้าเดชก็เริ่มมองเห็นว่าอาชีพในสาขาวิชานี้เป็นอาชีพที่ ‘นิ่ง’ เกินไปสำหรับเขา
“เดี๋ยวก็ต้องไปขึ้นศาล เดี๋ยวก็ต้องไปทำคดี คดีมันก็ซ้ำๆ แล้วตอนนั้นเราสนใจเรื่องเกี่ยวกับหนังสืออยู่แล้วด้วย ก็ไม่เคยคิดที่จะไปเป็นทนาย ตั้งแต่เรียนก็คิดไว้เลยว่าจบออกไปจะทำอย่างอื่น”
และ ‘การทำอย่างอื่น’ ของน้าเดชก็คือการโลดแล่นอยู่ในวงการหนังสือนับแต่นั้นเป็นต้นมา
.
บทที่ 3 สร้างถนนสายขรุขระสู่ปลายทางไร้แสง
“ในเมื่อไม่ได้ยึดบทบาทการเป็นบรรณาธิการแล้ว ตอนนี้น้าเดชกำลังทำงานอะไรอยู่หรือคะ”
“จับฉ่าย” คราวนี้เสียงหัวเราะของน้าเดชดังก้องกว่าที่เคย “แต่ตอนนี้หลักๆ ก็มีขายหนังสือกับแนะนำหนังสือ”
“ในฐานะมวจ.”
“ในฐานะมวจ.” เขาเอ่ยย้ำ
ทว่าในความจริงแล้ว มาตรฐานวรรณกรรมพิมพ์จำกัด หรือ มวจ. นั้นไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นร้านหนังสือเฉกเช่นเดียวกับในปัจจุบันแต่อย่างใด เพราะความตั้งใจแรกในการการก่อตั้งมวจ. ขึ้นมาคือต้องการช่วยเหลือร้านหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์ขนาดเล็กให้อยู่รอดต่อไปได้ด้วยการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อประมาณปี 2535-2536 นับเป็นช่วงเวลาที่ร้านหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์ขนาดเล็กเริ่มตกต่ำลงอยู่และรอดได้ยาก อีกทั้งยังเป็นปัญหาที่คาราคาซังอยู่ในวงการหนังสือมานานนับ 20 ปี จนกระทั่งน้าเดชเล็งเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการสร้างระบบเครือข่ายเพื่อเชื่อมโยงระหว่างร้านหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก ให้ทั้งสองธุรกิจมีโอกาสร่วมทำงานด้วยกันผ่านมวจ.
“ตอนนั้นมันใช้ชื่อกลุ่มคสล. ด้วยซ้ำ เหมือนคอนกรีตเสริมเหล็ก” เขาพูดปนเสียงหัวเราะ “แต่ว่ามันย่อมาจากเครือข่ายสำนักพิมพ์อิสระขนาดเล็ก พอย่อมันจะมาเป็นคสล.”
ส่วนการเปลี่ยนชื่อเป็นมวจ. มีที่มาจากกลุ่มอินดี้ที่ตีพิมพ์หนังสือหาทุน และชื่อของหนังสือในตอนนั้นก็คือ ม.ว.จ.2545 ซึ่งน้าเดชขยายความว่า “มันเป็นการต่อสู้เพื่อหาพื้นที่ของสำนักพิมพ์เล็กๆ ของคนกลุ่มเล็กๆ ที่ทำหนังสือเพื่อจะให้อยู่รอดในระบบใหญ่ได้ ตอนนั้นม.ว.จ. เขาย่อมาจาก มิตรภาพ ความหวัง และกำลังใจ ทีนี้ผมก็เอามาพลิกใหม่ กลายเป็นตัวย่อของมาตรฐานวรรณกรรมพิมพ์จำกัด”
เมื่อถามว่าได้แนวคิดของการทำคสล. หรือมวจ. มาจากใคร น้าเดชนั่งทำคิ้วขมวดครุ่นคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่าอาจเกิดมาจากนิสัยส่วนตัวที่ชื่นชอบการทำอะไรร่วมกับผู้อื่น อย่างในครั้งที่เริ่มต้นทำสำนักพิมพ์คนวรรณกรรม ก็เป็นการร่วมกันทำกับนักเขียนคนอื่นๆ หรือในตอนที่ตั้งสโมสรหนังสือสายสัมพันธ์ก็จะนำหนังสือจากหลายสำนักพิมพ์มาขาย
“เหมือนเราเชื่อไปแล้วว่าคนเล็กๆ ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้กลายเป็นสิ่งใหญ่ๆ” เขาทิ้งท้าย
กลไกของมวจ. ถูกขับเคลื่อนด้วยการผลิตหนังสือที่เป็น ‘Exclusive Product’ ให้กับร้านหนังสืออิสระได้นำไปขาย โดยตีพิมพ์วรรณกรรมออกมาในจำนวนจำกัดเพื่อให้กลายเป็นสินค้าชนิดหายากหรือที่เรียกกันว่า Rare Item ซึ่งจะไม่มีการวางขายในร้านค้าอื่นๆ เพื่อดึงให้ลูกค้าที่สนใจหันมาซื้อหนังสือจากร้านค้าเล็กๆ แทน และกระบวนการในการตีพิมพ์นั้นก็จะต้องมีตราสัญลักษณ์มวจ. ร่วมกัน
ตราสัญลักษณ์ของมวจ. นี้คล้ายคลึงกับตราสินค้าแบรนด์ทั่วไปที่อยู่บนปกหนังสือ โดยภาพตราสัญลักษณ์ของมวจ. คือลูกกลิ้งเครื่องพิมพ์ที่สื่อความหมายถึงขั้นตอนการผลิตหนังสือ และมันไม่ใช่เพียงเครื่องหมายที่ช่วยบ่งบอกว่าหนังสือเล่มนี้อยู่ในเครือมวจ. เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่รับประกันคุณภาพด้านเนื้อหาของวรรณกรรมเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ด้วย
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/3-2-1024x672.jpg)
“ทำไมถึงต้องเป็นวรรณกรรมเหรอคะ”
“เราอยากจำกัดขอบเขตของมันให้เป็นเรื่องแต่ง แล้วก็เป็นงานวรรณกรรมอมตะระดับโลก เพราะมันมีคุณค่าในตัวของมันเอง คือมันถูกพิสูจน์ด้วยระยะเวลาแล้ว อมตะก็คือไม่ขึ้นต่อกาลเวลา ระดับโลกเนี่ย…” น้าเดชยกมือขึ้นกางออกทั้งสองข้าง “…มันหมายถึงพื้นที่รอบโลกไง แสดงว่าวรรณกรรมนี้ถูกแปลกันทั่วไป แค่สองอันนี้มันก็ผ่าน มันก็ไม่ต้องมาคัดเองเลย โลกมันคัดมาให้
“แล้วก็ทำให้เราเข้าใจคนอื่นด้วย เพราะวรรณกรรมบางเล่มมันเป็นเรื่องของคนๆ หนึ่งที่เราจะไปรู้จัก บางทีเราก็ไปเห็นใจชะตากรรมที่เขาเจอ ว่าทำไมไอ้ฌอง วาลฌองต้องขโมยขนมปังก้อนหนึ่งแล้วไปติดคุก (จากเรื่อง เหยื่ออธรรม) อ่านแล้วก็สงสาร ถึงชีวิตเราอาจจะไม่ได้เจออะไรแบบนี้ แต่มันทำให้เปรียบเทียบได้ มันทำให้เราใช้ชีวิตเป็นขึ้น และใช้ชีวิตได้ดีขึ้นเพราะเราได้รู้จักคนอื่น มันดีกว่าการที่เราจะรู้จักแต่ตัวเอง” น้าเดชเอ่ยด้วยโทนน้ำเสียงที่ต่ำลง “แต่ความจริงพอมาถึงวัยนี้แล้ว การรู้จักตัวเองอาจจะดีกว่ารู้จักคนอื่น แต่ยังไงตอนแรกก็ต้องไปรู้จักคนอื่นก่อนเพื่อที่จะได้กลับมารู้จักตัวเองนั่นแหละ”
นอกจากนี้ร้านหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์ขนาดเล็กที่เข้าร่วมกับมวจ. จะต้องยึดถือนโยบายด้านราคาตามที่กำหนดไว้ โดยมีระบบคือการเปิด Pre-order หนังสือก่อนวางจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าราคาปก และเมื่อหมดระยะเวลาสำหรับการ Pre-order แล้ว ก็จะไม่สามารถขายหนังสือแบบลดราคาได้อีกเด็ดขาด ซึ่งการ Pre-order นี้จะเป็นการทำงานรูปแบบระดมทุนไปในตัว เพราะร้านหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์ขนาดเล็กส่วนมากมีเงินทุนในการดำเนินธุรกิจไม่มากนัก
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/4-2-746x1024.jpg)
น้าเดชเล่าเพิ่มเติมว่า การสร้างระบบดังกล่าวได้รับแรงบันดาลใจมาจากนโยบาย ‘Fixed Book Price’ หรือ ‘หนังสือราคาเดียว’ ของประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นมาตรการการตรึงราคาหนังสือเพื่อป้องกันไม่ให้มีการขายหนังสือในราคาต่ำกว่าที่กำหนด ดังนั้นการแข่งขันด้านราคาหนังสือจึงเป็นไปได้ยาก ทำให้สำนักพิมพ์และร้านหนังสือต้องแข่งขันกันในด้านอื่นๆ แทน เช่น การให้บริการผู้อ่าน การวางขายหนังสือหลากหลายประเภท
“ความจริงไม่ได้ต้องร่วมอะไรเลย เพราะเขาก็พิมพ์หนังสือตามปกติอยู่แล้ว มาร่วมก็คือแค่นี้” น้าเดชว่าพลางชี้ไปที่ตราสัญลักษณ์มวจ. บนปกหนังสือ “แล้วก็มีกติกาอยู่บ้าง เช่นเรื่องระบบ Pre-order หรือเรื่อง Fixed Book Price แต่ตรงนี้มันก็เป็นอุปสรรค เพราะสำนักพิมพ์อื่นไม่เห็นด้วย”
อย่างไรก็ตาม การขายหนังสือโดยไม่ลดราคาลงจากปกอาจเป็นนโยบายที่โหดร้ายเกินไป เพราะในปัจจุบันการขายหนังสือลดราคาเป็นรูปแบบการขายปกติทั่วไป อีกทั้งก็ยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สามารถกวักมือเรียกลูกค้าให้เข้าร้านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
เมื่อน้าเดชได้ฟังก็ออกความเห็นว่า “ใช่ แต่จริงๆ มันผิดหลักของการให้ค่ากับหนังสือเลย” น้ำเสียงของเขาเริ่มจริงจังมากขึ้น “เพราะว่าถ้าเป็นสินค้าทั่วไปคุณจะลดแลกแจกแถมในแบบนี้ก็ได้ แต่ถ้าเป็นหนังสือมันจะเป็นสินค้าทางปัญญา สินค้าทางวัฒนธรรม สินค้าทางสังคม มันเอามาทำแบบนี้ไม่ได้ มันต้องให้เห็นความต่าง ความต่างที่เห็นได้ชัดก็คือต้องมีมาตรฐานทางราคา ต้องมีกฎเกณฑ์ทางการค้าขาย เรามาเลเพลาดพาดแบบนี้ มันไม่ใช่สินค้าทางปัญญา มันเป็นสินค้าสำหรับอุปโภคบริโภคธรรมดาเท่านั้น แต่ถ้าเราทำสินค้าทางปัญญา…” เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาถือ “…ให้กลายเป็นสินค้าธรรมดา มันก็จบตั้งแต่ต้น สำหรับผมนะ”
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/5-1-746x1024.jpg)
หลังจากนั้นน้าเดชก็เริ่มอธิบายต่อเกี่ยวกับกลไกทางราคาที่มวจ. ได้กำหนดเพิ่มเติมไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาราคาหนังสือแพง นั่นก็คือการรับซื้อหนังสือคืนจากผู้อ่าน
“สมมติราคาปก 300 บาท ก็จะขาย Pre-order ก่อนในราคา 240 บาท” เขาค่อยๆ เล่าให้ฟังอย่างตั้งใจ “พอพ้นจังหวะ Pre-order ไปก็จะขายตามราคาปก แล้วก็ยกระดับราคาไปเรื่อยๆ ตามสต็อกที่มันน้อยลง ซึ่งราคามันจะผกผันนะ มันจะมีกำหนดกฎเกณฑ์อยู่ของมวจ. ว่าถ้าเหลือเท่านี้ราคาจะขึ้นเท่านี้ ยิ่งเหลือน้อยราคาก็จะยิ่งสูง โดยจะบอกล่วงหน้าว่าราคาในขณะนั้นอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วพอขายหมดสต็อก เราก็จะรับซื้อคืน โดยเริ่มต้นจากราคาปก นั่นหมายความว่าคนที่ Pre-order ไปแล้วเขาไม่ชอบหรืออ่านไม่จบ เขาก็สามารถมาขอขายคืนได้ แถมยังจะได้กำไรด้วย”
อีกทั้งยังมีข้อแม้ว่าลูกค้าจะสามารถขายคืนหนังสือได้เฉพาะที่ร้านหนังสือที่เข้าร่วมเครือข่ายของมวจ. เท่านั้น และเมื่อรับซื้อสินค้าคืนมาแล้ว ร้านหนังสืออิสระหรือสำนักพิมพ์ขนาดเล็กก็จะสามารถนำหนังสือเล่มที่ซื้อคืนมาไปขายต่อในราคาที่สูงกว่าปกประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากหนังสือเล่มดังกล่าวจะกลายเป็นวรรณกรรมที่หายากอย่างแท้จริง ซึ่งจะเหลือในร้านเพียงไม่กี่เล่ม ผู้ที่ต้องการย่อมต้องยอมซื้อในราคาสูงเพื่อได้มาอยู่แล้ว
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/6-4-1024x672.jpg)
ด้วยกลไกทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ระบบของมวจ. จึงฟังดูราวกับวิมานในอากาศที่ทุกคนสามารถเอื้อมมือไปคว้ามาได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างกลับไม่ออกมาดังใจหวัง เนื่องจากในปี 2555 น้าเดชผลักดันแนวคิดระบบของมวจ. เข้าสู่สมาคมผู้จัดพิมพ์เพื่อสร้างระบบภายใต้โครงสร้างสมาคม โดยมีความคิดว่าถ้าหากมีเจ้าภาพหรือองค์กรรองรับที่แข็งแรงและสามารถให้เงินทุนสนับสนุนในการริเริ่มทำระบบได้ ร้านขายหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์ขนาดเล็กอาจรู้สึกเชื่อมั่นในระบบมวจ. มากขึ้น
แต่กลับได้รับคำปฏิเสธจากทางสมาคม เพราะพวกเขามองไม่เห็นถึงประโยชน์ของระบบดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้าเดชจะพยายามก่อร่างสร้างมวจ. ขึ้นมาสักเท่าไร สุดท้ายแล้ว มวจ. ที่กระท่อนกระแท่นไปไม่ถึงฝั่งฝันก็พังทลายลงไปพร้อมกับการจากไปอย่างกะทันหันของ ‘ทวีศักดิ์ แก้วเข้ม’ หรือ ‘น้อย’ ในปี 2558 ผู้ทำหน้าที่ประสานงานให้กับมวจ. อีกทั้งยังเป็นผู้ที่รอรับไม้ต่อจากน้าเดชในฐานะผู้ดูแลจัดการระบบมวจ. หลังปี 2560 เป็นต้นไปด้วย
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/7-2-1024x672.jpg)
หลังจากเสียคนสำคัญอย่างไป ก็กลายเป็นเรื่องยากสำหรับน้าเดชที่ต้องประคับประคองมวจ. ด้วยตนเอง เนื่องจากเขาต้องการขยายระบบของมวจ. ให้ไปสู่ร้านหนังสืออิสระและสำนักพิมพ์ขนาดเล็กรุ่นใหม่ จึงต้องมีคนคอยช่วยประสานงานและอธิบายระบบของมวจ. ให้กับกลุ่มคนเหล่านั้นฟัง ซึ่งน้าเดชไม่สามารถทำเองคนเดียวได้ทั้งหมด
“ตอนจบของมวจ. มาชัดเจนตอนที่คุณทวีศักดิ์เขาเสียชีวิตไป เพราะปกติมันก็มีปัญหาอยู่แล้ว แต่พอคุณทวีศักดิ์เสียชีวิตไป มันก็เลยจบไปเลย” น้าเดชกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
.
บทที่ 4 บนถนนสายเดิมเพียงลำพัง
“ในเมื่อมวจ.ไปไม่ถึงปลายทางที่ตั้งไว้ แล้วตอนนี้มวจ.มีหน้าที่ทำอะไรบ้างเหรอคะ”
“ถามซะตอบยากเลย” น้าเดชพูดด้วยความขำขัน “เราก็ยังโชคดีที่มันเหลืออยู่ไง เอาเข้าจริงเราทิ้งเลยไปก็ได้ เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นของส่วนรวมนะ ตามที่ตั้งใจไว้ แต่ตอนนี้เราเหมือนเอามาใช้ส่วนตัว กึ่งๆ ผิดความตั้งใจ แต่ถ้าเราไม่ใช้เลยมันก็หายไปไง”
แม้ว่ามาตรฐานวรรณกรรมพิมพ์จำกัดจะแปรเปลี่ยนสภาพจากเครือข่ายของส่วนรวมกลายมาเป็นสำนักพิมพ์ส่วนตัวนั้น แต่ก็ยังคงทำหน้าที่ตามความตั้งมั่นในการทำวรรณกรรมรูปแบบหนังสือที่เป็น Exclusive Product อยู่เช่นเดิม
“ตอนนี้ตรามวจ. ก็เหมือนลักษณะร่วมมือกันกับสำนักพิมพ์อื่นๆ อย่างเล่มนี้…” ในระหว่างที่เล่าอยู่ก็เดินไปหยิบหนังสือเรื่อง Jack The Ripper ฉบับปกแข็งมาวางไว้บนโต๊ะ ซึ่งความจริงแล้วเป็นหนังสือภายใต้เครือสำนักพิมพ์แสงดาว ทว่าทางสำนักพิมพ์จะไม่ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ในฉบับปกแข็ง น้าเดชจึงได้ไปขอร่วมลงทุนให้ช่วยตีพิมพ์เป็นฉบับปกแข็งให้ทางมวจ. 200 เล่ม เพื่อทำให้หนังสือ Jack The Ripper ฉบับปกแข็งนี้กลายเป็นสินค้า Rare Item พร้อมใส่ตราสัญลักษณ์ของมวจ. ลงบนหนังสือให้ หลังจากนั้นก็จะดำเนินการการซื้อขายตามที่มวจ. เคยทำมาตามที่เคยเป็นในอดีต ซึ่งก็คือการ Pre-order และการรับซื้อคืนเมื่อขายหมด
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/8-2-1024x672.jpg)
“จริงๆ สำนักพิมพ์เขาก็ยังอยากทำหนังสือปกแข็ง แต่มันทำไม่ได้ ระบบมันทำไม่ได้ ต้นทุนการผลิตมันสูง เราก็จะเข้าไปเสริมแทนไง ให้เขาได้ทำอันนี้ด้วย” สายตาของเขามองไปที่หนังสือเล่มเดิม “เพราะเราไม่ได้คิดเรื่องกำไรขาดทุนอยู่แล้ว เพียงแต่ให้มันมีอยู่ไง”
“ทำไมต้องเป็นปกแข็งด้วยล่ะคะ”
“เพราะมันต้องมีการเปลี่ยนมือเจ้าของถ้าหากมีการขายคืน” น้าเดชตอบอย่างรวดเร็วราวกับเตรียมคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว “ปกแข็งเนี่ย ตามมาตรฐานของต่างประเทศ คือมันเป็นหนังสือที่ใช้ได้นาน ราคาก็ย่อมสูงเพราะมันใช้วัสดุต่างกัน เป็นธรรมดาที่ปกแข็งจะต้องแพงกว่าปกอ่อน”
ส่วนตราสัญลักษณ์ของมวจ. ในปัจจุบัน ช่วงแรกๆ ก็ยังคงเน้นการการันตีคุณภาพให้กับผู้อ่าน ทว่าในช่วงหลังก็เริ่มเป็นเรื่องถกเถียงกันว่าหนังสือคุณภาพดีหรือหนังสือที่มีคุณค่าของคนแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนี้น้าเดชจึงต้องปรับลดองศาบรรทัดฐานเดิมลงมา “อย่างเล่มนี้…” เขาใช้นิ้วเคาะลงบนปกของหนังสือเรื่อง Jack The Ripper “อันที่จริงจะไม่ได้ใส่ตรามวจ.นะ เพราะมันไม่ใช่วรรณกรรม มันเป็นหนังสือสารคดี เล่มนี้ก็เป็นเล่มแรกที่เราประนีประนอมให้สามารถใส่ตรามวจ. ได้ ข้อจำกัดในการคัดเลือกหนังสือก็จะน้อยลง ไม่ได้จำกัดในกรอบแค่วรรณกรรมอมตะระดับโลกอีกต่อไป”
แต่อย่างไร น้าเดชยังคงยืนยันว่าเป็นตราสัญลักษณ์ที่การันตีเรื่องคุณภาพของเนื้อหาในหนังสือ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมาอ่านหรือคัดเลือกหนังสือทุกเล่มด้วยตัวเองหรือใช้มาตรฐานสูงลิบตาเหมือนสมัยก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงเลือกซื้อหนังสือจากสำนักพิมพ์ที่ไว้ใจ หรือดูจากบรรณาธิการของหนังสือเล่มนั้นๆ ก่อนเจรจาเพื่อขอตีพิมพ์อยู่เช่นเดิม
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/9-2-746x1024.jpg)
เมื่อถามในเรื่องของรายได้ น้าเดชตอบว่า ถ้าหากเป็นเขาในสมัยที่ยังหนุ่มยังสาวคงจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่พอเป็นเข้าสู่อีกวัยหนึ่ง การมองโลกก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ความทะเยอะทะยานในแง่ของความมั่งคั่งก็ลดน้อยลง การได้ทำในสิ่งที่รักและให้ประโยชน์กับคนอื่น ในขณะที่พอมีรายได้เลี้ยงตัวเอง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“อยู่ที่ว่าคนอ่านเขาจะเมตตาเราหรือเปล่าด้วย” น้าเดชพูดพร้อมหัวเราะ “แหม พูดอย่างนี้น่าสงสารจริง… แต่ยังไงการซื้อการอ่านมันเป็นเรื่องที่ต้องสมัครใจ เราจะไปบังคับเขาว่าต้องช่วยเราเพราะน่าสงสาร มันก็ยิ่งไม่ได้ จริงๆ ต้องการให้เขาสนับสนุนสิ่งที่เราคิดด้วย ไม่ใช่ซื้อหนังสือแค่อย่างเดียว”
.
บทที่ 5 เลี้ยวสู่ถนนเส้นใหม่
“แล้วเป้าหมายมวจ. ในตอนนี้คืออะไรเหรอคะ”
“พอมาเจอการขายแบบลดแลกแจกแถม เราก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่” น้าเดชถอนหายใจ “ก็เขวไปบ้างเพราะตอนนี้หนังสือมันก็เริ่มขายยากขึ้น ก็คิดว่า…ในบั้นปลายก็อาจจะต้องคลี่คลายตัวเอง ต้องมีอาชีพที่สองด้วย พลิกแพลงมาจากมวจ. นี่แหละ”
“อาชีพที่สองคืออะไรเหรอคะ” ‘ขนม หนังสือ และกาแฟ แม่หวานใจ’ คือบทบาทครั้งใหม่ของมวจ. ที่ถูกจับตะแคงจากซ้ายเป็นขวา เปลี่ยนจากร้านหนังสือสู่การเป็นร้านกาแฟ โดยน้าเดชเลือกใช้ที่ดินของญาติ ณ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่ตั้งร้านแห่งนี้ และเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา
![](https://varasarnpress.co/wp-content/uploads/2024/05/10-1-1024x672.jpg)
ทางน้าเดชได้หมายมั่นปั้นมือว่าจะเริ่มต้นจากการขายกาแฟและขนมก่อน เพื่อสำรวจดูกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาในร้านว่าพวกเขาเป็นใคร มีสไตล์การอ่านหนังสือแบบไหน ก่อนจะนำหนังสือมาขายเสริมในร้าน ถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายหนังสือของมวจ.จากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะแต่เดิมที หนังสือของมวจ. จะต้องยึดตามความชอบหรือมาตรฐานของน้าเดชเป็นหลัก
“ถ้าหากเป็นมวจ. คือ Inside Out แต่ที่ทำร้านกาแฟนั่นคือ Outside In เพราะเราเอาลูกค้าเป็นหลักแทน…เราต้องพูดคุย ต้องฝึกคนที่จะพูดคุยกับลูกค้า ใช้บทสนทนานำสู่การหาหนังสือมาขายตอบสนองเขา ถึงขั้นผลิตคงยังไม่มีนะ คงจะไปเลือกหนังสือมาขายมากกว่า เพราะหนังสือเดี๋ยวนี้มันออกมาหลากหลายตามความชอบของแต่ละคน”
อย่างไรก็ตาม มวจ.ที่เป็นร้านหนังสือก็จะยังคงดำเนินการต่อไปผ่านทางเว็บไซต์อยู่เช่นเดิม
นอกจากนี้ น้าเดชยังเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาทันควันระหว่างการพูดคุยนั่นก็คือการเปิดแฟรนไชส์ ร้านแม่หวานใจไปจังหวัดอื่นๆ เพื่อส่งทอดต่อให้กับคนที่ชื่นชอบและรักการทำงานกับหนังสือได้มีโอกาสทำธุรกิจของตัวเองจริงๆ “ผมก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำตัวหลักที่เชียงใหม่ให้ดังไง เพื่อคนอื่นจะไม่ต้องออกแรงโปรโมทเอง” น้าเดชพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ “แต่ก็ต้องสำรวจและสัมภาษณ์คนที่จะมาทำก่อน คือเราอยากจะให้มีชีวิตอยู่กับสิ่งนี้จริงๆ ไม่ใช่ว่าทำแล้วเลิก”
“แต่คนสมัยนี้อาจจะอ่านหนังสือไม่ค่อยเยอะเท่าเมื่อก่อนแล้วนะคะ”
น้าเดชหยุดคิด “อืม…” เขานั่งนึกอยู่สักครู่หนึ่ง “ไม่รู้ดิผมจะลองทำดู ก็ต้องหาวิธี ในยุคนี้ที่เขาไม่อ่านหนังสือกัน จะทำยังไงที่จะทำให้เขา…ไม่ใช่ว่าอ่านหนังสือเยอะขึ้นนะ แค่ทำให้เขาคิดอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ ตอนนี้เขาคิดตามๆ กันไง อย่างตอนเด็กก็เรียนหนังสือ โตขึ้นก็ไปหางานทำ แต่งงาน ตอนแก่ก็รักษาสุขภาพ แล้วก็ตายไป ตกลงอยู่ไปทำไม เกิดมาทำไม อยากให้เขาคิดอะไรที่มีมุมใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะเกี่ยวกับชีวิต”
บทส่งท้าย
“น้าเดชยังมีความหวังต่อการทำมวจ. ไหมคะ”
“ก็…เมื่อก่อนผมคิดถึงว่ามันต้องมีปลายทางไง แต่สำหรับผมตอนนี้ที่ผมสบายใจก็คือผมไม่มองปลายทางแล้ว ผมว่าผมทำสำเร็จ ไม่รู้ก้าวที่เท่าไหร่ แต่มันสำเร็จไปแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจจะรู้สึกรับไม่ได้ แต่ปัจจุบันนี้ผมไม่ได้รู้สึกว่าทุกข์ใจหรือว่าเศร้ากับมันเลยไง มาถึงตอนนี้แล้ว มวจ. มันก็ยังมีประโยชน์เอาไปใช้ต่อได้ นี่คือบทสรุปว่าเราก็ยังทำอยู่ มันยังทำได้อยู่… ไม่งั้นคงไม่มีใครมาขอสัมภาษณ์วันนี้หรอก” น้าเดชพูดพร้อมรอยยิ้ม “เอ้า! สรุปจบให้เลยนะเนี่ย”
แล้วเสียงหัวเราะของนักท่องบรรณพิภพก็ดังขึ้นอีกครั้งในโกดังเล็กๆ แห่งนี้อย่างสุขใจ