เรื่อง: อชิรญา ปินะสา
ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ

“เดี๋ยวย่าให้พ่อปู่คอยปกปักรักษาให้รอดพ้นจากเรื่องร้าย ๆ ภัยอันตรายนะลูก” คำพูดจากย่าในวันที่ฉันต้องจากบ้านมาไกลเพื่อมาเรียนต่อ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ย่าขอให้พ่อปู่คุ้มครองหรือช่วยเหลือ เพราะกระทั่งในวันที่ฉันต้องสอบขอทุนเพื่อเรียนต่อ ย่าก็ยังคงบอกกับฉันว่า “เดี๋ยวจะขอให้พ่อปู่ช่วย”
ฉันโตมากับย่าที่เชื่อในสิ่งลี้ลับ เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นและพิสูจน์ไม่ได้ ย่ามักจะขออะไรสักอย่างกับสิ่งเหล่านั้นเสมอ เช่น ขอให้ชีวิตดีขึ้น หรือขอให้ถูกหวย ย่าขอแบบนี้เสมอตั้งแต่ฉันยังเด็กจนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อมันไม่เคยดีขึ้นหรือเป็นตามที่ย่าขอไว้สักครั้ง ฉันเองจึงเริ่มไม่เชื่อ
ย้อนกลับไปตอนที่ฉันอยู่อนุบาล ย่าต้องไปซื้อไข่มาหลายแผงเพื่อมาแก้ชงให้หลานสาว ในครั้งนั้น ต้องใช้เป็นไข่ต้มหลายฟอง และต้องปอกเปลือกให้เห็นเนื้อไข่สีขาว เพื่อนำไปทำพิธีแก้ชงที่ถนนสี่แพร่ง ย่าบอกว่า เพราะฉันเกิดปีมะแม จึงจำเป็นต้องทำเพื่อให้ปลอดภัยตลอดปี และมีสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต เด็กหญิงอายุ 7 ขวบ ในตอนนั้นก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมย่าไม่เก็บไข่มากมายเหล่านั้นไว้ทำไข่ตุ๋นกิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องกลืนก้อนความสงสัยลงไป เพราะเห็นคนอื่นเขาก็ทำกัน นอกจากนี้ย่ายังมักไปบูชาสายสิญจน์ตามกำลังศรัทธา เพื่อมาผูกให้ฉันกับพี่สาวทุกปี
เมื่ออายุ 17 ย่าและฉัน มีโอกาสไปเยี่ยมญาติที่ต่างอำเภอ คุณยายท่านนั้นดูดวงลายมือได้ โดยการดูดวงครั้งนั้นต้องมีค่าครู พร้อมกับดอกไม้ใส่พานก่อนที่จะเริ่มดู พอเริ่มดูได้สักพัก คุณยายบอกไว้ว่า “ปีนี้ปีชง ระวังเกิดอุบัติเหตุ ให้แก้ชงโดยการ ซื้อของกินใส่กระทงแล้วไปวางที่ทางสามแพร่ง” พอผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ ย่าก็ให้เงินฉัน ไปซื้อของตามรายการที่ยายท่านนั้นสั่งไว้ ย่านำของกินเหล่านั้นใส่ตู้เย็น และกำชับว่าห้ามกินโดยเด็ดขาด ก่อนวันถัดมาย่าจะนำของเหล่านั้นมาจัดแจงใส่กระทงที่ทำมาจากต้นกล้วย ย่าให้ฉันเป็นคนเอาไปวางไว้ที่ทางสามแพร่งหน้าวัด พร้อมกำชับอย่างหนักแน่นว่า วางแล้วให้เดินกลับบ้าน ห้ามหันไปมองอีกเด็ดขาด ในตอนนั้นฉันทำตามเพื่อให้ย่าได้สบายใจ แต่มันก็ทิ้งข้อสงสัยไว้กับตัวฉันมากมายว่า ทำไมย่ามีเพียงแค่เงินเดือนคนพิการและเงินเดือนคนชรา ถึงต้องเอาเงินหลายร้อยบาทไปซื้อของเหล่านั้นเพื่อเอาไปวางทิ้งไว้ให้เน่าเสีย ในขณะเดียวกันฉันคิดว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนก็เกิดจากความประมาทของคน ทำแบบนี้แล้วจะลดความประมาทลงได้หรือ ( ? )
ในปี 2564 ฉันอายุได้ 18 ปีบริบูรณ์ ย่าก็มีความเชื่อใหม่เข้ามา คือการเชื่อใน ‘ พ่อปู่พญานาค ’ ความเชื่อเรื่องพญานาคเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา ของคนในภาคอีสานมาช้านาน ถือว่าเป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ทว่าสำหรับฉัน ที่เกิดในจังหวัดมหาสารคาม ความเชื่อเรื่องพญานาคของย่ากลับดูงมงายและไร้สาระ เพราะไม่มีหลักฐานพิสูจน์การมีอยู่จริงของพญานาคได้ ในด้านวิทยาศาสตร์ก็ไม่เคยมีรายงานการค้นพบซากโครงกระดูกของพญานาคเหมือนสัตว์อื่น ๆ
แม้สำหรับฉันพญานาคจะค่อนข้างเป็นนามธรรม แต่ย่ากลับเชื่ออย่างสนิทใจว่าพญานาคนั้นมีอยู่จริง ย่ามักจะซื้อของ เช่น ผลไม้ ไปไหว้พ่อปู่ทุกวันพระใหญ่ หรือก่อนวันก่อนหวยออก และไปเยี่ยมพ่อปู่อยู่บ่อยครั้ง ในที่ที่ย่าอ้างว่าเห็นพ่อปู่ กระทั่งตอนที่หลานสาวคนเล็กอย่างฉัน ต้องเตรียมสอบเพื่อขอทุนเรียนต่อ ย่าก็จะชอบมาชวนไปไหว้ขอพรพญานาคด้วยกัน ซึ่งในทุกครั้ง ฉันมักจะปฏิเสธย่าเสมอ นอกจากการไปขอพรอยู่บ่อยครั้งยังทำให้ย่าตัดสินใจซื้ออ่างปั้นดินเผาที่มีรูปปั้นพญานาคมาไว้หน้าบ้านและบอกว่าได้เชิญพ่อปู่มาอยู่ตรงอ่างเรียบร้อยแล้ว ในตอนนั้น ฉันได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ย่า ตัวฉันที่ไม่มีความเชื่อและความศรัทธา มีเพียงคำถามว่าย่าจะทำไปทำไมกัน เสียทั้งเงินและเวลา ในยุคที่มีโรคระบาด เศรษฐกิจตกต่ำ จนบ้านฉันที่มีอาชีพค้าขายได้รับผลกระทบจากปัญหาเหล่านี้อย่างหนัก ทุกคนในบ้านต่างคาดหวังเพียงนโยบายช่วยเหลือจากทางภาครัฐ แต่ย่ากลับคาดหวังกับสิ่งที่มองไม่เห็น ยอมแลกเงินและเวลา เสี่ยงดวงไปกับสิ่งที่เป็นนามธรรม สำหรับฉันที่เป็นหลานสาวของย่า มองว่าเป็นการกระทำที่ไร้สาระและเปลืองทั้งเงินเปลืองทั้งแรงโดยใช่เหตุ
ในปีถัดมา ฉันผ่านการคัดเลือก ได้เข้าศึกษาต่อในฐานะเด็กทุน และเป็นปีที่ฉันต้องจากบ้านมาไกลเพื่อที่จะมาเรียนต่อ ย่ายังคงทำดังเช่นตอนฉันยังเด็ก บูชาสายสิญจน์มาผูกข้อมือให้ และบอกว่า ถ้าฉันต้องไปอยู่คนเดียวในที่ไกลหูไกลตา จะให้พ่อปู่มาช่วยปกปักรักษา เหมือนดังที่ให้พ่อปู่ช่วยให้สอบติด ฉันในวัย 19 ปี เบื่อหน่ายกับความเชื่องมงายของย่าเต็มทน เพียงแต่ไม่เคยพูดความอัดอั้นตันใจไปสักครั้งเดียว
ฉันไม่เคยเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นและพิสูจน์ไม่ได้ แต่ไม่เคยลบหลู่ หนำซ้ำยังมองว่ามันเป็นเรื่องจรรโลงใจในชีวิต ทว่าสำหรับคนที่เชื่อในความพยายามของตัวเองมาตลอด จะไม่มีทางเอาสิ่งใดมาลดทอนความพยายามของฉันเองเป็นอันขาด ในเมื่อเหนื่อยยากกว่าจะได้มา จะไปยกความดีความชอบให้สิ่งที่ไม่รู้ว่าช่วยเราจริงหรือเปล่าไปทำไมกัน
เมื่ออายุได้ 20 ปี ถึงได้รู้ว่าไม่ได้มีเพียงแค่ย่าของฉันที่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น เพื่อน ๆ และคนรอบตัวต่างเชื่อในศาสตร์ของการดูดวง การดูไพ่ ศาสตร์ของดวงดาว ฯลฯ ในตอนนั้นฉันเหมือนกบที่ออกจากกะลาครอบ เพราะเชื่อมาตลอดว่าคนรุ่นใหม่จะต้องตั้งคำถามกับเรื่องนี้ที่มันไร้สาระ ไม่มีมูลความจริงและฉ้อฉล แต่ความจริงกลับตบหน้าฉันอย่างจัง ถึงแม้จะไม่ใช่พญานาค แม้จะไม่ใช่สายสิญจน์แบบย่า แต่หลายคนรอบตัวฉันล้วนพึ่งพิงสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
บางคนบอกกับฉันว่า มันคือที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ในตอนที่ต้องการการสนับสนุนทางด้านอารมณ์และจิตใจ แน่นอนว่าคนที่อยู่กับอคติและไม่มีความคิดที่จะเชื่อเรื่อง ‘ มูเตลู ’ อย่างตัวฉัน ไม่มีทางเข้าใจได้ในทันที ได้แต่สงสัยว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีที่พึ่งทางจิตใจเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลด้วย
ฉันมาได้คำตอบจากสิ่งที่เคยได้ตั้งคำถามมาโดยตลอดในตอนที่อายุ 21 ปี ว่ามนุษย์ไม่ได้เพียงต้องการมีชีวิตอยู่อย่างเลื่อนลอย แต่ต้องการความหมายในการมีชีวิตอยู่ด้วย
ในโลกนี้เกิดอะไรขึ้นมากมายกับชีวิตคนหนึ่งคน มีทั้งช่วงที่ถูกพรากการใช้ชีวิตออกไปอย่างตอนโรคระบาด ทั้งเศรษฐกิจ อาชีพ กิจกรรมที่เคยทำล้วนต้องหยุด ไม่มีใครต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างหมดหวัง นั่นทำให้บางสิ่งที่จะดูเหมือนไร้เหตุผล และงมงาย กลายมาเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของบางคนเอาไว้ เหมือนที่ Viktor Frankl นักจิตบำบัดและนักปรัชญาผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกัน กล่าวไว้ว่า “ การค้นหาความหมายในชีวิตของมนุษย์ เป็นแรงจูงใจหลักในการใช้ชีวิตของเขา ”
ฉันที่ครั้งหนึ่งเคยตั้งคำถามและมีอคติกับย่า เคยรู้สึกว่าสิ่งที่ย่าทำและเชื่อ มันงมงายและไร้สาระ ทว่าพอลองกลับมาตริตรองและทำความเข้าใจ พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ย่าขอ ทั้งขอให้สถานะทางการเงินของครอบครัวดีขึ้น ขอให้หลานสาวทั้งสองคนปลอดภัยไปตลอดรอดฝั่ง และประสบความสำเร็จในทุกด้าน อาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถช่วยเหลือครอบครัวของคนแก่วัยเกษียณด้วยความหวัง และเป็นที่พึ่งทางจิตใจในวันที่ลูกหลานที่ท่านเคยเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดได้ห่างจากอกของย่าคนนี้ไป
“เดี๋ยวย่าให้พ่อปู่คอยปกปักรักษาให้รอดพ้นจากเรื่องร้าย ๆ ภัยอันตรายนะลูก” ฉันนึกถึงประโยคนี้อีกครั้งในวัย 22 ปี แม้ยังคงไม่เชื่อในเรื่องของพ่อปู่ที่คอยปกปักรักษา แต่ก็ไม่หลงเหลือความอคติเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว