เรื่อง : ศิวะ พุ่มอรุณ
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
แม้ว่าสังคมในยุคปัจจุบันพยายามจะสร้างความเท่าเทียมทางเพศ พยายามจะสร้างโลกในอุดมคติที่ว่าผู้ชายกับผู้หญิงเท่าเทียมกันทุกอย่าง พยายามจะสร้างโอกาสที่มากขึ้นและเท่าเทียมต่อผู้หญิง ในขณะเดียวกันก็พยายามเปิดโอกาสให้ผู้ชายมีมุมที่อ่อนแอบ้าง อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ ครั้ง สังคมก็ยังไม่หลุดออกจากกรอบของคำว่า ผู้ชาย = ความเข้มแข็ง, ผู้ชาย = ผู้นำ และ ผู้ชาย = ภาระที่ต้องปกป้องเลี้ยงดู
แม้ว่าในหลาย ๆ มิติ ค่านิยมในอดีตในเรื่องของความเป็นชายยังควรที่จะรักษาไว้ เช่น การที่ผู้ชายต้องปกป้องและเลี้ยงดูครอบครัว แต่ในบางครั้ง การเรียกร้องในประเด็นที่มากเกินไป เช่น ผู้ชายห้ามร้องไห้ ผู้ชายต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ผู้ชายต้องแมน ห้ามแสดงความอ่อนแอ ก็สามารถเป็นการสร้างบาดแผลให้กับเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกันได้แบบไม่รู้ตัว อันนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพจิตในผู้ชาย ที่มีตัวเลขจากการรายงานของกรมสุขภาพจิตยืนยันแล้วว่า มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าผู้หญิงมากถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตต่อคนเป็นผู้ชายคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ค่านิยมทางเพศ’ ซึ่งถูกสร้างมาตั้งแต่ยุคโบราณ ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน
ในยุคโบราณ บทบาทของผู้ชายคือผู้นำและนักล่า หน้าที่หลักคือ คุ้มครองครอบครัว หาอาหาร และออกสงคราม โดยมีอุดมคติที่ว่า ผู้ชายต้องแข็งแรง กล้าหาญ เป็นผู้นำ มีอำนาจเหนือผู้หญิง ซึ่งสิ่งที่จะตีค่าว่าผู้ชายประสบความสำเร็จหรือไม่วัดได้จากความสามารถในการพิสูจน์ตัวเอง เช่น ฆ่าศัตรูได้มากแค่ไหน รวยแค่ไหน มีลูกชายหรือไม่
ต่อมาพอถึงยุคอุตสาหกรรม บทบาทของผู้ชายคือการเป็นเสาหลักของครอบครัว มีหน้าที่หลักในการออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว เพราะมีการสร้างคติที่ว่า ชายแท้ = ผู้หารายได้หลัก ซึ่งได้สร้างผลกระทบที่ตามมาคือ ผู้ชายถูกคาดหวังให้เป็นแรงงาน มากกว่าการเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ความรู้สึก
พอถึงยุคสงครามโลก บทบาทของผู้ชายมากับภาพลักษณ์ ‘สุภาพบุรุษ’ ที่ต้องมีความกล้าหาญแต่ใจดี มีความเป็นผู้นำแต่ไม่ก้าวร้าว ซึ่งก็ต้องผ่านการสร้าง ‘กรอบ’ จากสังคมอยู่ดี โดยที่ผู้ชายมีหน้าที่ปฏิบัติตัวให้ตรงตามกรอบนั้น ๆ
เข้าสู่ยุคสมัยใหม่จนถึงยุคปัจจุบัน เริ่มมีการตั้งคำถามต่อภาพลักษณ์ของผู้ชายมากขึ้น เริ่มมีการตระหนักรู้ถึง Toxic Masculinity และสุขภาพจิตของผู้ชายมากขึ้น รวมถึงบทบาทของความหลากหลายทางเพศก็ได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ผู้ชายก็ยังคงถูกกดดันให้ต้องประสบความสำเร็จ, ต้องมีอำนาจในความสัมพันธ์ และยังคงมีการวนกลับไปที่ค่านิยมในยุคโบราณ เช่น ผู้ชายต้องเลี้ยงดูผู้หญิง
มากไปกว่านั้น ในโซเชียลมีเดียก็มีการกดดันผู้ชายผ่านการสร้างภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ เช่น ต้องหุ่นดี ต้องรวย ต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย รวมถึงยังมีการแข่งขันกันเรื่องรูปร่าง สถานะ และไลฟ์สไตล์
สรุปก็คือ ผู้ชายต้องตกเป็นเหยื่อของ ‘ค่านิยมทางเพศ’ มาตลอดตั้งแต่ยุคโบราณถึงปัจจุบัน เพราะการเป็น ‘ชายแท้’ ในสังคม คือการต้องอยู่ใน ‘บทบาท’ ตลอดชีวิต และหากหลุดออกจากบทบาทนั้น ก็จะถูกตีตราหรือถูกกีดกันโดยไม่รู้ตัว เช่น เป็นผู้ชายที่ไม่เอาไหน เป็นผู้ชายที่ไม่แมน ขี้แพ้ หรืออ่อนไหวเกินไป
ด้วยสาเหตุด้านค่านิยมทางเพศที่ทำให้ผู้ชายต้องอยู่ในบทบาทที่สังคมคาดหวังตลอดเวลา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผู้ชายเกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมา ต่อให้ถูกพร่ำสอนมาตั้งแต่เด็กว่าต้องเข้มแข็งแค่ไหนก็ตาม และแม้จะไม่รอดจากการถูกปัญหาสุขภาพจิตเล่นงานแล้ว ‘ค่านิยมทางเพศ’ ยังซ้ำเติมรูปแบบหรือวิธีการที่ผู้ชายต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตของตัวเองมากขึ้นไปอีก
กล่าวคือ แม้ผู้ชายคนนั้นจะยอมรับแล้วว่าตัวเองมีปัญหาสุขภาพจิต แต่ด้วยกรอบของบทบาทความเป็นชาย ส่งผลให้พวกเขาต้องเผชิญปัญหานี้แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ดี เพราะความคาดหวังที่ต้องไม่แสดงความรู้สึกอ่อนแอ ส่งผลให้หลายคนเกิดอาการเก็บกด และเลือกที่จะไม่ขอความช่วยเหลือแม้จะเกิดปัญหา
นอกจากนี้ ผู้ชายยังเลือกแสดงอาการที่มาจากความอ่อนแอในรูปแบบที่แตกต่าง ไม่ได้ร้องไห้หรือหดหู่เหมือนที่หลายคนแสดงเมื่ออยู่ในภาวะซึมเศร้า แต่อาจแสดงออกผ่านการแสดงความโกรธที่ง่ายขึ้น หงุดหงิดง่ายขึ้น มีการใช้สารเสพติดหรือมีการหมกมุ่นกับงานและกิจกรรมที่เสี่ยง เช่น เล่นการพนัน ดื่มสุรา ขับรถเร็ว
สรุปก็คือ นอกจากผู้ชายจะเจอปัญหาสุขภาพจิตจากค่านิยมทางเพศและความคาดหวังในบทบาทของสังคมแล้ว พวกเขายังต้องเก็บซ่อนความรู้สึก ‘อ่อนแอ’ จากการมีภาวะทางสุขภาพจิตอีก เรียกได้ว่าเป็นการกดทับปัญหาถึง 2 ปัญหาในคราวเดียวกัน
สิ่งที่ยืนยันว่าผู้ชายเลือกที่จะเก็บซ่อนปัญหาสุขภาพจิตไว้กับตัวเองคือ ตัวเลขการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตของผู้ชายที่ต่ำกว่าผู้หญิงมาก แม้สัดส่วนชายไทยจะใกล้เคียงกับเพศหญิงก็ตาม
ในปี 2565 กรมสุขภาพจิตเปิดเผยว่า มีผู้เข้ารับบริการสุขภาพจิตประมาณ 2.6 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง ร้อยละ 64 ในขณะที่ผู้ชายมีแค่ ร้อยละ 36
มากไปกว่านั้น งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลยังเปิดเผยว่า ผู้ชายไทยมีภาวะซึมเศร้าในระดับที่ใกล้เคียงกับผู้หญิง แต่กลับมีอัตราการเข้าพบจิตแพทย์ต่ำกว่าถึง 2 เท่า เนื่องจากผู้ชายส่วนมากมักใช้วิธีเก็บไว้คนเดียวและเลือกที่จะไม่บอกใคร ซึ่งก็มีความเกี่ยวข้องกับบทบาทภาพจำแบบชายไทยที่ต้องเข้มแข็ง ห้ามอ่อนแอ และเป็นผู้ชายห้ามร้องไห้
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือ ผู้ชายบางคนอาจแก้ปัญหาด้วยการจบชีวิตตัวเอง…
จากงานวิจัยทั่วโลกพบว่า ผู้ชายฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าผู้หญิงหลายเท่า ทั้งที่ผู้หญิงมีอัตราภาวะซึมเศร้าสูงกว่า ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นคือ ผู้ชายมักไม่แสดงสัญญาญขอความช่วยเหลือ แต่จะใช้วิธีที่รุนแรงกว่า
สำหรับในประเทศไทย อัตราการฆ่าตัวตายของผู้ชายสูงกว่าผู้หญิงอย่างชัดเจน จากรายงานของกรมสุขภาพจิตพบว่า ในปี พ.ศ. 2564 อัตราการฆ่าตัวตายของผู้ชายอยู่ที่ 12.3 ต่อประชากรแสนคน ขณะที่ผู้หญิงมีอัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2.7 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งหมายความว่า ผู้ชายไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายมากกว่าหญิงไทยประมาณ 4.5 เท่า
นอกจากนี้ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ยังเปิดเผยอีกว่า ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี พบว่าอัตราการฆ่าตัวตายของเพศชายสูงกว่าเพศหญิงถึง 5-6 เท่า
สำหรับข้อเสนอแนะต่อปัญหาสุขภาพจิตในผู้ชาย สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
แบบแรก เปิดพื้นที่ให้เขาแสดงความอ่อนแอเต็มที่ เช่น เปิดโอกาสให้เขาได้พูดโดยไม่ตัดสิน แนะนำให้ไปพบผู้เชี่ยวชาญอย่างไม่บังคับ และสร้างพื้นที่ให้เขาได้อ่อนแอโดยไม่ผิด
แบบที่สองคือ สร้างและส่งเสริมวิธีคิดที่จะทำให้เขาเป็นชายที่แกร่งกว่าเดิม เช่น การปลูกฝังความคิดให้เขาว่า ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ ฝึกให้เกิดการควบคุมความคิด สอนให้จัดการความคิดด้านลบแทนการหลีกเลี่ยง เช่น เมื่อเจอความล้มเหลวให้ตั้งคำถามว่า “ฉันสามารถเรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้ได้บ้าง” แทนการโทษตัวเอง
ที่สำคัญคือการฝึกให้สร้าง วินัยในตนเอง โดยเฉพาะกับการสร้างเป้าหมายในชีวิต เพราะวินัยสามารถสร้างความรู้สึกควบคุมได้ เช่น การมีวินัยในการตื่นนอนตรงเวลา มีวินัยในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการทำงานให้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ เพราะสิ่งนี้สามารถช่วยให้สมองรู้สึกว่าเรากำลังควบคุมชีวิตของตัวเองอยู่ และจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง ซึ่งอาจเป็นเกราะในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตได้
จากงานวิจัยของ อัลเบิร์ต บันดูร่า บิดาแห่งความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง พบว่า ความเชื่อว่าตัวเองสามารถทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้ มีอิทธิพลโดยตรงต่ออารมณ์ของบุคคล การตัดสินใจ และความสามารถในการรับมือกับความเครียด เพราะบันดูร่ามองว่า คนที่มีความเชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ มีแนวโน้มที่จะลองทำและทำสำเร็จมากกว่าคนที่เก่งแต่ไม่มีความเชื่อมั่น
ครั้งหนึ่ง ‘มูฮัมมัด อาลี’ นักมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลเคยกล่าวไว้ว่า…
“ชัยชนะของผู้ชาย…ไม่ได้เกิดจากสายตาของคนอื่น แต่มันเริ่มต้นในวันที่ไม่มีใครเห็น แต่คุณยังลุกขึ้นสู้อย่างเงียบ ๆ”
บรรณานุกรม
กรมสุขภาพจิต, รายงานสถานการณ์สุขภาพจิตไทย ปี 2565, สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, https://dmh.go.th/report/dmh/rpt_year/
กรมสุขภาพจิต, รายงานสถานการณ์สุขภาพจิตไทย ปี 2564, สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, https://dmh.go.th/report/dmh/rpt_year/view.asp?id=462
มหาวิทยาลัยมหิดล, ผู้ชายก็ซึมเศร้าได้, สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, https://psychology.mahidol.ac.th/2020/11/03/mendepression
สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์, การฆ่าตัวตายในวัยรุ่น, สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, https://www.camri.go.th/th/home/infographic/infographic-
บีคอมม่อน, พลังของ self-efficacy, สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2568, https://becommon.co/life/heart-self-efficacy/