เขียน: กวินทัต สวัสดิ์นพรัตน์

อาจารย์รัฐศาสตร์มธ. ชี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจใช้เวลาจัดทำอย่างต่ำ 2 ปี แม้มีการเลือกตั้งสสร.โดยตรง เหตุเพราะอาจติดขัดในขั้นตอนของการเห็นชอบหลักการจากสว. แนะคำถามประชามติสำคัญ หากตั้งไม่ดี คนส่วนใหญ่ไม่ออกมาใช้สิทธิ ประชามตินั้นอาจกลายเป็นโมฆะ
จากกรณีที่กลุ่ม ‘Con for All’ (กลุ่มประชาชนร่างรัฐธรรมนูญ) ได้จัดกิจกรรม ‘ทวงคืนอำนาจประชาชน ชวนประชาชนไปแสดงพลังยืนยัน อำนาจประชาชน’ ที่หน้าศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงจุดยืนในความต้องการให้ประชาชนมีอำนาจในการกำหนดกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านการใช้อำนาจในรัฐสภา และศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรก้าวก่ายหรือตีความเกินขอบเขตที่จำเป็น นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐสภาเดินหน้ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป โดยประชาชนควรมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ผ่านการเลือกผู้แทนมาทำหน้าที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรงนั้น
เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์สาขาวิชาเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ กล่าวว่า การทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 (รัฐธรรมนูญ 2560) หากไม่สามารถเลือกตั้งสสร.ได้โดยตรง อาจจะต้องออกแบบโดยใช้วิธีทางอ้อม เช่น การเลือกตั้งสสร.แบบรัฐธรรมนูญ 2540 ที่มีตัวแทนสสร.ทั้งจากกลุ่มจังหวัด และผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินงานร่างรัฐธรรมนูญ หรืออาจเป็นการแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อไม่ให้ขัดกับคำสั่งที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง
“ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยอ้างถึงหลักการของรัฐธรรมนูญที่ว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน ฉะนั้นหากจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการกลับไปถามประชาชนด้วยการทำประชามติ และเมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องทำประชามติขอความเห็นชอบจากประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นแล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียงของประชาชนจึงจำเป็นอย่างมาก” ปุรวิชญ์กล่าว
ปุรวิชญ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตามกรอบระยะเวลา MOA (บันทึกข้อตกลงระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน) ที่เขียนไว้ว่าจะยุบสภาภายในเวลา 4 เดือน หากต้องการที่จะทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกับการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีควรมีมติเห็นชอบว่าจะดำเนินการทำประชามติออกมาตั้งแต่มกราคมปี 2569 เพราะตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 2564 มาตรา 10 (การออกเสียงทำประชามติสำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องมีระยะเวลาไม่เร็วกว่า 90 วัน แต่ไม่เกิน 120 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภาว่าให้มีการออกเสียงทำประชามติ)
ปุรวิชญ์ กล่าวว่า ในกรณีของการยุบสภานั้นระยะเวลาจะต่างออกไป เพราะตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร 2566 ระบุว่าต้องมีการจัดการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ในกรอบเวลาไม่น้อยกว่า 45 วันและไม่เกิน 60 วัน หากยุบสภาในเดือนมกราคม และการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรจะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดคือเดือนเมษายน ฉะนั้นการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรที่จะเสร็จสิ้นในเดือนมกราคม จึงจะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ทันในกรอบเวลา 4 เดือนใน MOA ดังกล่าว
ปุรวิชญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่จะได้มาซึ่งสสร.เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นโจทย์ระยะยาวของฝ่ายบริหาร และทุกขั้นตอนของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความเสี่ยงเสมอ เริ่มตั้งแต่การหาจุดร่วมตรงกลางว่าจะใช้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคการเมืองใดเป็นหลัก และแม้ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบจากสส. แต่อาจไม่ผ่านเสียงจำนวนหนึ่งในสามของสว.ทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในมาตรา 256 (การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการสำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมีสว.เห็นชอบไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา) ของหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญ 2560
ปุรวิชญ์ กล่าวว่า การทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำได้โดยเร็ว ขึ้นอยู่กับฉันทามติและการร่วมแรงร่วมใจของสมาชิกในรัฐสภาทั้งสส. และสว. รวมทั้งพรรคการเมืองต้องคุยกันนอกรอบ เพื่อให้หลักการของเนื้อหาในรัฐธรรมนูญไม่ห่างกันมาก สามารถที่จะโหวตผ่านวาระที่หนึ่งคือการรับหลักการทั่วไป ว่าใครจะเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญและเนื้อหาภายในจะเป็นอย่างไร หลังจากนั้นจึงค่อยเข้าไปวัดกันในขั้นตอนการทำประชามติ ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าต้องการที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ปุรวิชญ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นกรอบเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในบางมาตราเป็นข้อกังวลสำคัญ เพราะพรรคส่วนมากยืนยันว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่แก้ไขหมวด 1 (หลักการพื้นฐานของรัฐไทย) และหมวด 2 (พระราชฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์) จึงควรหาจุดตรงกลางร่วมกันระหว่างแต่ละพรรคการเมือง และคำถามสำหรับการทำประชามติก็เป็นอีกหนึ่งตัวกำหนดการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากคนที่ออกมาใช้สิทธิตอบว่าไม่เห็นชอบที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในคำถามประชามติข้อแรก และผู้ใช้สิทธิออกเสียงประชามติไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้ที่มีสิทธิออกเสียง ก็จะทำให้การทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้กลายเป็นโมฆะ เสียทั้งเวลาและงบประมาณแผ่นดิน
“แม้ทุกขั้นตอนก่อนการทำประชามติจะไฟเขียวหมดทุกอย่าง มีการจัดตั้งสสร.ขึ้นมาจริงภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนด รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจใช้เวลาอย่างต่ำ 2 ปี อยู่ที่ว่ากรอบเวลาของการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จภายในกี่วัน เมื่อร่างเสร็จต้องมาให้รัฐสภาเห็นชอบ แล้วลงประชามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญอีกรอบ และคำถามประชามติทั้งสองข้อในเรื่องของความต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญของประชาชน รวมถึงเนื้อหาและวิธีการของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากประชาชนเลือกตอบไม่เห็นชอบกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็อาจมองว่าประชาชนไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง เราต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญ 2560 ไปอีกนาน” ปุรวิชญ์กล่าว
ด้านชำนาญ จันทร์เรือง รองประธานกรรมการคณะก้าวหน้า (กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รณรงค์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560) กล่าวว่า วิธีการได้มาซึ่งสสร. เพื่อทำการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าเลือกตั้งสสร.ผ่านวิธีการทางอ้อม ควรใช้วิธีโปร่งใส ไม่ใช่การคัดเลือกกันเองโดยผู้สมัครเหมือนครั้งที่เลือกสว.ชุดใหม่เข้ามาทำงานเมื่อปี 2567 โดยอาจใช้วิธีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบตอนร่างฉบับปี 2540 โดยให้ประชาชนคัดเลือกตัวแทนประชาชน และให้รัฐสภาเลือกตัวแทนจากประชาชนกลุ่มนั้นเข้าไปเป็นสสร. และหากสสร.ร่างรัฐธรรมนูญสมบูรณ์เรียบร้อย รัฐสภาก็มีหน้าที่พิจารณาว่าเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับเหมือนครั้งที่คัดเลือกสสร.
“โดยหลักการของรัฐธรรมนูญมีการระบุว่า อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน ฉะนั้นควรให้อำนาจกับสสร.ที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่ามาตราไหนที่สามารถแก้ได้หรือมาตราไหนแก้ไม่ได้ เหมือนเช่นในมาตรา 255 ของหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เขียนเอาไว้ (การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และรูปแบบของรัฐไม่สามารถทำได้) แม้ตามหลักจริงๆ ไม่ควรเขียนลงไปในรัฐธรรมนูญ เพราะบริบทของสังคมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากเขียนเอาไว้ ก็ทำให้หากต้องการแก้ไขยากลำบากเข้าไปอีก” ชำนาญกล่าว
ชำนาญ กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สสร.ควรที่จะเขียนด้วยว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมในครั้งถัดไป ควรให้มีการเลือกตั้งสสร.โดยตรง เพราะจะถือว่าไม่ขัดกับ‘คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 9/2568 ฉบับย่อ’ (คำวินิจฉัยเรื่องจำนวนครั้งสำหรับการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ) ที่ศาลวินิจฉัยว่าห้ามเลือกตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง เพราะสิ่งนี้ถูกแก้ไขในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว รวมทั้งการแก้ไขว่าประชาชนสามารถเลือกตั้งผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรงไม่ได้ขัดกับข้อห้ามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ของหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญ 2560 จึงสามารถที่จะทำได้
“รัฐธรรมนูญ 2560 ร่างขึ้นมาโดยให้อำนาจองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญมากจนเกินไป เพราะเขาไม่ไว้ใจจิตสำนึกของประชาชน ไม่ไว้ใจพรรคการเมือง เลยเอาอำนาจต่างๆ ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทั้งหมด โดยเชื่อว่าศาลเป็นผู้วิเศษและทรงคุณธรรมกว่าองค์กรอื่นๆ” ชำนาญกล่าว
ชำนาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหาร โดยอำนาจสูงสุดในการพิจารณาและอนุมัติกฎหมายดังกล่าวขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี ร่างกฎหมายของภาคประชาชนหรือพรรคการเมืองที่ผ่านเข้าไป อาจไม่ใช่ร่างเดียวที่ได้รับการพิจารณาในรัฐสภา เพราะคณะรัฐมนตรีอาจเสนอร่างกฎหมายฉบับของตัวเองเพื่อให้สมาชิกรัฐสภาร่วมพิจารณาด้วย และเมื่อผ่านการพิจารณาแก้ไขกฎหมายสมบูรณ์ เนื้อหาของกฎหมายอาจเหลือจากร่างของประชาชนเพียงแค่ร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 30 เหมือนดังกฎหมายที่พรรคประชาชนได้เคยเสนอไป เช่น พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ หรือ พ.ร.บ.ป่าชุมชน เป็นต้น