เขียน: ภัชราพรรณ ภูเงิน

กมธ. ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ อัปเดตร่างกฎหมายอากาศสะอาด ปัจจุบันผ่านการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการแล้ว และเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระที่ 2 ต่อไป เพราะอากาศสะอาดคือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และคือหน้าที่ร่วมกันของรัฐและประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้
จากกรณีที่วันที่ 16 กันยายน ของทุกปี เป็นวันโอโซนโลก (World Ozone day) เพื่อให้คนทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของก๊าซโอโซนที่อยู่อากาศนั้น เมื่อวันที่ 7 กันยายน ที่ ห้อง 211 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ศูนย์กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และศูนย์วิจัยกฎหมายและบริการวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดงานเสวนาวิชาการ ‘วันอากาศสะอาดโลก มาหายใจให้เต็มปอด: Breathe Hope’ เนื่องในวันอากาศสะอาดโลก
ธนาชัย สุนทรอนันตชัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ในฐานะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ กล่าวว่า พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ ได้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2567 และได้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง ใช้เวลาไป 1 ปี 7 เดือน ปัจจุบันผ่านการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการแล้ว และเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระที่ 2 ต่อไป ร่างนี้เป็นการรวบรวมและแก้ไขจาก 7 ร่างเดิม ที่มาจากภาคประชาชน คณะรัฐมนตรี และพรรคการเมือง ให้เป็นร่างเดียว
ดนัยภัทร โภควณิช สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ ในฐานะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ กล่าวว่า หมวดที่ 1 เป็นหัวใจสำคัญของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะเกี่ยวข้องกับสิทธิในอากาศสะอาดและหน้าที่ของรัฐและประชาชน แนวคิดหลักมาจากการนำหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี มาแปลงให้อยู่ในรูปแบบการปฏิบัติและบรรจุลงในพ.ร.บ. โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนที่ 1 ว่าด้วยเรื่องสิทธิในอากาศสะอาด กล่าวคือ กฎหมายกำหนดให้บุคคล ชุมชน และประชาชนมีสิทธิในการดำรงชีวิตด้วยอากาศสะอาด ที่ไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และไม่ส่งผลเสียต่อการประกอบอาชีพ โดยครอบคลุมทุกมิติ นอกจากนี้ ยังคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางสุขภาพเป็นพิเศษ และส่วนที่ 2 ว่าด้วยเรื่องสิทธิอากาศสะอาดก่อให้เกิดหน้าที่ของรัฐ โดยรัฐมีหน้าที่ต้องเคารพ คุ้มครอง และทำให้สิทธิในส่วนที่ 1 เป็นจริง
ดนัยภัทรกล่าวเพิ่มเติมว่า สิทธิในอากาศสะอาด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงสิทธิในเชิงเนื้อหา การจะคุ้มครองให้เราได้รับสิทธิในอากาศสะอาดได้จะต้องตามมาด้วยสิทธิเชิงกระบวนการ 3 สิทธิด้วยกัน ได้แก่ 1. สิทธิที่จะรู้และเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับอากาศสะอาด 2. สิทธิในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการตัดสินใจเกี่ยวกับอากาศสะอาด และ 3. สิทธิในการเข้าถึงและได้รับความยุติธรรมในทางสิ่งแวดล้อม
ดนัยภัทรยังกล่าวอีกว่า ตามหลักการสำคัญ สิทธิของประชาชนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หน้าที่ของรัฐจะเกิดขึ้นตามมาทันที และรัฐต้องทำให้สิทธิดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริงตามหลักเคารพ-คุ้มครอง-ทำให้เกิดขึ้นจริง (Respect-Protect-Fulfill) และนอกจากหน้าที่ของรัฐแล้ว ประชาชนก็มีหน้าที่เช่นกัน คือไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นและคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมถึงต้องมีหน้าที่สนับสนุนการดำเนินการต่างๆ ร่วมกับรัฐด้วย
“เมื่อเรารู้แล้วว่ารัฐและประชาชนมีสิทธิ์และหน้าที่อะไรบ้างจากหมวดที่ 1 ก็จะนำไปสู่หมวดที่ 2 ที่ว่าด้วยเรื่องระบบ กลไก และโครงสร้างของหน่วยงาน รวมไปถึงตัวละครสำคัญที่จะมีบทบาทในการขับเคลื่อนร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้” ดนัยภัทรกล่าวและว่า หมวดที่ 2 เกี่ยวข้องกับการสร้างกลไกและโครงสร้างของหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อน พ.ร.บ. ฉบับนี้ โดยโครงสร้างคณะกรรมการ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ 1. ระดับผู้กำหนดนโยบาย: ทำหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายและเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 2. ระดับผู้กำกับดูแล: ทำหน้าที่กำกับ ติดตาม ตรวจสอบ เร่งรัด และสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานต่างๆ 3. ระดับพื้นที่: มีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นประธาน เพื่อสะท้อนหลักการกระจายอำนาจและจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่
อชิชญา อ๊อตวงษ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในฐานะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ กล่าวว่า หมวดที่ 3 เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ กลไกการบริหารจัดการ และเขตเฝ้าระวังมลพิษทางอากาศ หมวดนี้มุ่งจัดการทั้งแหล่งกำเนิดมลพิษ สิ่งแวดล้อมที่รองรับมลพิษ และสิ่งมีชีวิตที่สัมผัสกับมลพิษ โดยใช้แนวคิดเรื่องสิทธิเป็นหลัก
กัญญารัตน์ โคตรภูเขียว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางกฎหมาย และการบริการวิชาการ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดฯ กล่าวว่า หมวดที่ 4 เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดมลพิษ เพราะมลพิษทางอากาศเกิดมาจากหลายแหล่ง และแต่ละภูมิภาคมีแหล่งกำเนิดมลพิษที่แตกต่างกัน หมวดนี้จึงให้ความสำคัญกับความแตกต่างของแหล่งกำเนิดมลพิษในแต่ละภูมิภาค และกำหนดมาตรการแยกตามประเภทแหล่งกำเนิด โดยแบ่งออกเป็น 7 ได้แก่ 1. ภาคอุตสาหกรรม 2. ภาคคมนาคม 3. ภาคป่าไม้ 4. ภาคเกษตรกรรม 5. ภาคเมือง 6. มลพิษข้ามแดน 7. ภาคอื่นๆ โดยมีเผื่อไว้สำหรับการจัดการมลพิษทางอากาศที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต
สุรศักดิ์ บุญเรือง ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเทศไทยควรจะมีกฎหมายว่าด้วยเรื่องการบริหารจัดการอากาศสะอาด เพราะเราเห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่แต่ละหน่วยงานต่างฝ่ายต่างทำงาน แต่ไม่มีนโยบายกลางที่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย เขามีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำมาตรการต่างๆ ไปใช้ได้จริง เนื่องจากระบบราชการไทยประสบปัญหา Silo Syndrome (ภาวะที่ทีมงานไม่ยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือองค์ความรู้ระหว่างกัน) ที่แต่ละหน่วยงานทำงานตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนเอง มาตรการใหม่ภายใต้ พ.ร.บ. นี้อาจถูกตีความว่าเป็นภารกิจเสริม ทำให้การขับเคลื่อนงานช้าลง จึงอยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องพิจารณาดูใหม่ว่ามันจะมีการบริหารจัดการยังไงได้บ้าง ให้สามารถนำมาตรการไปใช้จริงได้