เขียน: กวินทัต สวัสดิ์นพรัตน์

อ.ชลิดาภรณ์ชี้เรื่องเพศในพื้นที่ส่วนตัวที่มักส่งผลต่อสิทธิอำนาจของผู้หญิงถูกมองข้าม เหตุคนส่วนใหญ่สนใจเรื่องเพศในพื้นที่สาธารณะเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศมากกว่า แนะควรทำความเข้าใจองค์ประกอบเรื่องเพศที่หลากหลายร่วมกันเพื่อลดการตีตราทางเพศ
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ในการบรรยายสาธารณะหัวข้อ “ความแตกต่างหลากหลายในทางการเมือง: มิติของเพศสภาพ/เพศวิถี” ที่อาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต โดย ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ ศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มธ. กล่าวว่า Gender (เพศสภาพ) และSexuality (เพศวิถี) เป็นเรื่องที่มีความเป็นการเมืองสูงมาก เพราะเกี่ยวข้องกับการกำหนดกติการวมทั้งกลไกในการบังคับใช้กติกาที่เข้มงวด ดังนั้นเพศสภาพและเพศวิถีจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักสนใจเรื่องเพศสภาพและเพศวิถีแค่ในพื้นที่สาธารณะเกี่ยวข้องกับความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย เช่น เรื่องการศึกษา รายได้ หรือ ตำแหน่งของผู้หญิงในองค์กรภาครัฐ แต่กลับมองข้ามปัจจัยเรื่องเพศในพื้นที่ส่วนตัวของบุคคล ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
“เรามักจะมองข้ามปัจจัยที่อยู่ในอาณาบริเวณส่วนตัวอย่างมาตรฐานต่างระดับในเรื่องเพศ การละเมิดกติกาในเรื่องเพศถูกมองว่ามีผลกระทบกับคนเพศสภาพหญิงมากกว่า เพราะถูกประณามเวลาละเมิดกติกาเรื่องเพศ แต่เมื่อเพศชายกระทำแบบเดียวกันถูกกลับประเมินไม่เท่ากัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตทางสังคมของพวกเราอย่างมาก” ชลิดาภรณ์กล่าว
ชลิดาภรณ์กล่าวว่า สังคมมองหน้าที่ของผู้หญิงว่าเป็นเพศแม่ ดังนั้นผู้หญิงจึงต้องมีหน้าที่เป็นคนทำงานบ้าน แต่เรื่องที่เกี่ยวกับการมีอำนาจกลับเป็นเรื่องของผู้ชายมากกว่า ซึ่งปัจจุบันมีสถิติชี้ให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้หญิงในสถาบันการเมืองภาครัฐและในระบบการเมือง เพศหญิงมีส่วนร่วมทางการเมืองประมาณร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับเพศชาย ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ โดยคนส่วนใหญ่มักมองการมีส่วนร่วมทางการเมืองของเพศหญิงเพียงการมีผู้นำของประเทศเป็นเพศหญิง ซึ่งไม่สามารถประเมินได้ทั้งหมด เพราะการมีส่วนร่วมทางการเมืองควรสนใจปัญหาของผู้หญิงว่าสามารถเข้าสู่กระบวนการทางการเมืองที่เกี่ยวกับกลไกการใช้อำนาจกำหนดกฎหมายได้มากน้อยเพียงใด
ชลิดาภรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่รัฐเข้ามามีบทบาทในการกำหนดกฎเกณฑ์บนพื้นฐานของเพศสภาพ เช่น การเลือกร่วมเพศกับบุคคล หรือการเลือกเจริญพันธุ์ เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะปัจจุบันหลายประเทศให้อำนาจในการกำหนดสิทธิ์ยุติการตั้งครรภ์กับรัฐ ซึ่งเมื่อรัฐเห็นว่าขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศ ก็จะกำหนดเป็นกฎหมายทำให้ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ต่อต้าน จึงนำไปสู่การเลือกยุติการตั้งครรภ์ด้วยวิธีที่ไม่ปลอดภัย ส่งผลต่อสุขภาพของผู้หญิงในระยะยาว
“การบังคับร่วมเพศไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนที่มีเพศสภาพหญิง คนเพศสภาพชายจำนวนมากก็เจอกับการบังคับร่วมเพศ อีกทั้งความรุนแรงบนฐานของเพศสภาพกลายเป็นความซ้ำซาก เหมือนกับว่าเด็กหญิงโดนกระทำซ้ำๆ แต่เรากลับมองข้ามไป” ชลิดาภรณ์กล่าว
ชลิดาภรณ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันเรื่องของ Gender และ Sexuality มีองค์ประกอบที่หลากหลาย และคนเลือกจะนำองค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ไปทำร้ายกัน เช่น การ Sexual Harrassment (การคุกคามทางเพศ) การดูหมิ่นคนอื่นบนฐานเพศสภาพของบุคคล การBody Shaming (การวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างของบุคคลอื่น) หรือการพูดจาดูหมิ่นผู้หญิงในฐานะเครื่องมือสำหรับการตอบสนองทางเพศ ทั้งหมดคือการแสดงถึงการใช้อำนาจของบุคคลเพื่อกดขี่คนที่มีความแตกต่างทางเพศสภาพและเพศวิถี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เข้าใจผลกระทบของผู้คนในเรื่องเหล่านี้
“การตีตราคนอื่นในเรื่องของรูปร่าง หรือ พฤติกรรมทางเพศ มีความแพร่หลายมากขึ้น เพราะมี Space ของออนไลน์ เรื่อง Gender และ Sexuality จึงเป็นเรื่องสำคัญ เราควรที่จะเห็นว่าเราได้ใช้องค์ประกอบของเรื่องเพศสภาพกดคนอื่นให้ต่ำลง ทำร้ายคนอื่นหรือไม่อย่างไร” ชลิดาภรณ์กล่าว










