Art & CultureWritings

หนังอิสระไทยอยู่ไหน? : สำรวจเส้นทางของหนังอิสระบนขวากหนามแห่ง “อุตสาหกรรม”ภาพยนตร์ไทย

เรื่องและภาพ: ปานชีวา ถนอมวงศ์

คุณจะคิดถึงหนังอะไรเป็นอย่างแรกเวลาไปโรงหนัง?

แน่นอนว่าหนังฮอลลีวูดครองตลาดอุตสาหกรรมหนังในไทยมาเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่และมีความต้องการสูง อีกทั้งยังมีคุณภาพการผลิตสูงเพราะได้รับทุนสร้างจำนวนมาก จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ ถึงอย่างนั้นจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในปี 2023 โดยข้อมูลจาก Marketing Oops! ชี้ให้เห็นว่า หนังไทยเริ่มครองตลาด และทำรายได้ถึง 54% ซึ่งมากกว่าหนังฮอลลีวูดที่ทำรายได้อยู่ที่ 38% ของรายได้จากหนังทั้งหมด และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ปีนี้เองก็มีหนังไทยเข้าฉายในโรงเป็นจำนวนมาก ข้อมูลจาก Thailand Box Office and Entertainment ระบุว่าหนังไทยสามารถทำรายได้รวมกันมากกว่า 100 ล้านบาททั่วประเทศภายในครึ่งปีแรก ซึ่งเรื่องที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมและสามารถทำรายได้สูงล้วนมาจากค่ายหนังรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็น แฟลตเกิร์ล และ ซองแดงแต่งผี จากค่าย GDH, พนอ จากค่ายไฟว์สตาร์โปรดักชั่น หรือ คายอ้อ และ หลวงพี่แจ๊ส โคตรซิ่ง จากค่ายเอ็ม สตูดิโอ

ในขณะที่มีหนังไทยมากมายจากค่ายทุนสูงที่สามารถครองรอบฉายในโรงหนังได้นานและทำรายได้มหาศาล ก็มีหนังอิสระไทยเรื่องหนึ่งที่ผงาดขึ้นมาช่วงชิงความสนใจและได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม คือ ผีใช้ได้ค่ะ (A Useful Ghost) หนังยาวเรื่องแรกของ อุ้ย-รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ซึ่งเป็นหนังไทยเรื่องเดียวที่ได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2025 และคว้ารางวัล Grand Prize AMI Paris มาได้ โดยผีใช้ได้ค่ะเป็นหนังจาก 185 Films ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์อิสระสัญชาติไทย ได้รับทุนสนับสนุนในการสร้างจากทั่วโลก รวมถึงทุน Post-Production จาก THACCA หรือสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ และเข้าฉายในไทยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา

เป็นที่น่าเสียดายเพราะถึงแม้จะยังไม่ครบเดือนดี ผีใช้ได้ค่ะ ก็ถูกถอดรอบฉายออกและเหลือให้ดูได้เพียงที่โรงหนังเครือใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะเมื่อเทียบกับหนังจากค่ายดังหลายเรื่องแล้วยังสามารถทำรายได้ได้น้อยและมีคนดูไม่มากนัก และแม้ว่า ผีใช้ได้ค่ะ จะยังมีรอบฉายอยู่ที่โรงหนังทางเลือกอย่าง เฮ้าส์ สามย่าน ไปจนถึงเดือนตุลาคม ก็ไม่ได้แปลว่าคนไทยทั่วประเทศจะสามารถเข้าถึงหนังได้มากขึ้น ดังนั้นแล้วคำถามสำคัญคือ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มุ่งเน้นการทำรายได้จากหนังและมองหนังเป็นสินค้าเองหรือไม่ ที่กำลังกัดกินหนังในฐานะงานศิลปะ และลดทอนความสามารถของคนทำหนังตัวเล็กๆ ให้ต้องดิ้นรนอย่างไม่รู้จบ

หากจะไขคำตอบให้ได้คงต้องทราบถึงที่มาที่ไปของหนังอิสระเสียก่อน ครั้งนี้เราได้พูดคุยกับ เก่ง-จักรวาล นิลธำรงค์ อาจารย์ประจำสาขาภาพยนตร์และภาพถ่าย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคนสร้างหนัง (Filmmaker) คนสำคัญในวงการหนังอิสระไทย ผู้กำกับและเขียนบท วานิชชิ่ง พอยท์ (Vanishing Point) และ เวลา (Anatomy of Time)

อะไรที่ทำให้หนังอิสระต่างจากหนังกระแสหลัก จำนวนเงิน คนดู หรือโรงฉาย?

จักรวาลเล่าให้ฟังว่าความแตกต่างหลักๆ ระหว่างหนังในกระแสกับหนังอิสระคือที่มาของเงินทุน ซึ่งก็จะทำให้เป้าหมายของหนังต่างกัน หนังกระแสหลักจะได้ทุนสร้างจากค่าย และเจาะกลุ่มคนดูไปที่มวลชน (Mass Audience) เพราะมีจุดประสงค์หลักคือการสร้างกำไรจากการฉายหนัง ในขณะที่หนังอิสระจะได้ทุนสร้างจากกองทุนและหน่วยงานต่างๆ ที่สนับสนุนงานศิลปะโดยไม่แสวงหาผลกำไร ดังนั้นแล้วหนังอิสระจึงไม่ได้มีหน้าที่สร้างเงินเป็นหลัก แต่เป็นการสร้างสรรค์ผลงานของคนที่มีใจรักโดยไม่จำเป็นต้องมีค่าตอบแทนคืนให้กับองค์กรใดๆ ถึงกระนั้น ด้วยเงินทุนจากองค์กรเหล่านี้ที่มีอย่างจำกัด และไม่สามารถมอบให้กับคนสร้างหนังได้ทุกคน คนสร้างหนังจึงต้องอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นข้อพิสูจน์ว่าตนคู่ควรกับเงินทุนดังกล่าว

ส่วนเรื่องของการจัดฉายหนังที่หลายคนคิดว่าหนังอิสระมักถูกถอดรอบฉายออก จักรวาลอธิบายว่า ไม่ว่าจะหนังประเภทใดก็ใช้เกณฑ์เดียวกันคือ หากคนดูน้อย ทำเงินได้ไม่มาก สุดท้ายก็จะถูกถอดออกตามกลไกธุรกิจ แต่อย่างที่ได้กล่าวไปว่า หนังอิสระไม่ได้มีเป้าหมายหลักที่การสร้างเงิน สิ่งที่สำคัญกว่ารอบฉายจึงเป็นการสร้างการรับรู้และเพิ่มคุณค่าให้กับหนัง ดังนั้นคนสร้างหนังอิสระจึงมักจะส่งหนังไปฉายรอบปฐมทัศน์โลก กล่าวคือ การเดินสายประกวดเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศต่างๆ โดยเทศกาลที่จะถูกจับตามองเป็นอย่างแรกคือ เทศกาลภาพยนตร์ A-List อย่าง คานส์ เวนิส เบอร์ลิน ซันแดนซ์ โตรอนโต ฯลฯ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้หนังและเกิดการโปรโมทในประเทศต่อไป

ถ้าอย่างนั้น การฉายหนังอิสระให้คนดูในโรงหนังก็ไม่จำเป็นน่ะสิ?

จักรวาลบอกว่าถึงแม้การครองรอบฉายในโรงและทำรายได้เป็นจำนวนมากจะไม่ใช่หัวใจหลักของการสร้างหนังอิสระ แต่ถึงอย่างนั้นคนดูก็ยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างหนัง เพราะในขั้นตอนการเขียนข้อเสนอ (Proposal) เพื่อขอทุน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการกำหนดกลุ่มคนดู ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละเรื่อง นอกจากนี้ กลุ่มคนดูและเสียงตอบรับที่ดียังเป็นสิ่งที่ช่วยรับประกันว่าคนทำหนังมีความสามารถ ซึ่งก็จะนับเป็นประสบการณ์ทำงานที่ถูกบันทึกไว้และทำให้โอกาสในการขอทุนสร้างหนังเรื่องต่อไปมีมากขึ้น

กลยุทธ์ที่คนสร้างหนังอิสระมักจะใช้ในการส่งหนังไปจัดฉายในโรงต่างๆ คือ กำหนดโรงหนังที่ต้องการนำหนังเข้าฉาย ซึ่งอาจมีจำนวนมากหรือน้อยต่างกันไปตามจำนวนเงินที่คนสร้างหนังมี เนื่องจากในการฉายหนัง ผู้สร้างหนังจะต้องจ่ายค่า VPF (Virtual Print Fee หรือ ค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนเครื่องฉายจากระบบฟิล์มมาสู่ระบบดิจิทัล) ให้กับโรงหนังอยู่ที่เรื่องละประมาณ 20,000 บาท และเพื่อไม่ให้เสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวในจำนวนที่มากเกินความสามารถ จึงอาศัยกระแสตอบรับจากคนดู เพื่อให้เกิดการบอกต่อกัน กระทั่งคนมาดูหนังในที่สุด แทนการหว่านฉายในโรงหนังหลายแห่งโดยไม่มีอะไรมารับประกันว่าจะได้ผลตอบรับที่ดี

หนังอิสระมีคนดูน้อยเพราะเข้าถึงคนดูได้ยากจริงไหม นี่เป็นอีกอุปสรรคที่หนังอิสระมีพื้นที่น้อยลงหรือเปล่า?

อีกกระบวนการที่หลายคนมักคิดว่าเป็นอุปสรรคต่อการส่งหนังอิสระเข้าฉายในโรงหนังคือ ระบบเซนเชอร์ (Censor) ซึ่งจักรวาลบอกว่า ทุกวันนี้ระบบนั้นไม่มีแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นระบบการจัดเรต (Rating) แทน หรือคือการตรวจพิจารณาโดยกำหนดประเภทหนังให้เหมาะสมกับอายุของผู้ชม ซึ่งจะส่งผลถึงรอบฉายแทน เนื่องจากหนังที่ได้การจัดเรตสูง ก็จะมีช่วงเวลาฉายจำกัดไว้เฉพาะรอบดึก ซึ่งก็จะส่งผลให้ขอบเขตคนดูแคบลงเป็นธรรมดา แต่ไม่ถือเป็นการปิดกั้นหนังเท่าสมัยก่อน

ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า หนังอิสระไม่ได้มีจุดประสงค์หลักในการกลายเป็นหนังกระแสหลักที่ต้องการเจาะกลุ่มคนดูจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างเงิน ส่วนตัวจักรวาลจึงมองว่าหนังอิสระไม่จำเป็นจะต้องมีคนดูเยอะหรือครองรอบฉายในโรงหนังเครือใหญ่ได้นาน อีกทั้งยังมองว่า แม้หนังอิสระจะเข้าถึงคนดูได้น้อยและไม่ได้รับความสนใจเป็นวงกว้าง แต่เมื่อใดก็ตามที่หนังอยู่ถูกที่ถูกทาง คนสร้างหนังก็ไม่จำเป็นต้องประนีประนอมกับคนดู และยังเปิดประสบการณ์ให้กับคนดูได้อย่างเต็มที่

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงพื้นที่ที่เรามักจะพบเจอหนังอิสระได้บ่อยๆ หลายคนอาจนึกถึง Micro Cinema หรือพื้นที่ฉายหนังทางเลือกและหนังอิสระขนาดเล็ก ซึ่งเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ช่วยผลักดันหนังอิสระ เนื่องจากพื้นที่นี้ช่วยให้คนสร้างหนังสามารถจัดแสดงผลงานได้ อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้พวกเขาก่อร่างสร้างตัวและมีที่ทางในการสร้างหนังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จักรวาลบอกว่า Micro Cinema ขอซื้อลิขสิทธิ์ฉายหนังในราคาที่ถูก และคนสร้างหนังบางคนมองว่าไม่เป็นผลดีต่อวงการหนังอิสระนัก เพราะอาจไม่ได้เป็นการสนับสนุนคนสร้างหนังเท่าที่ควร แต่ถึงอย่างนั้น การที่มีตัวเลือกในการฉายหนังเพิ่มขึ้นย่อมเป็นเรื่องดี ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการสนับสนุนและส่งเสริมคนทำหนัง ตลอดจนวัฒนธรรมการดูหนังควบคู่กันไป

ฉะนั้นแล้ว การจะส่งเสริมให้หนังอิสระไทยเติบโตได้ต่อไป ต้องเริ่มที่อะไร?

แม้จำนวนคนดูและรอบฉายในโรงจะมีส่วนช่วยให้หนังอิสระถูกรับรู้มากขึ้น แต่อุปสรรคที่คนสร้างหนังอิสระต้องเผชิญเป็นด่านแรกคือการตระเวนหาเงินทุน ซึ่งผู้ที่ได้รับก็จำเป็นจะต้องสร้างตัวและสั่งสมประสบการณ์ให้กองทุนสามารถไว้ใจได้ ซึ่งหมายความว่าคนสร้างหนังที่เพิ่งเริ่มเส้นทางนี้ก็ยิ่งมีโอกาสน้อยลง ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องปรับทั้งเชิงโครงสร้างและวิสัยทัศน์ กล่าวคือ ในการสนับสนุนและส่งเสริมต้องมีนโยบายจากภาครัฐที่ทำอย่างต่อเนื่อง โดยอาจต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อภาพยนตร์จากเพียงสินค้าในอุตสาหกรรมให้เป็นได้มากกว่านั้น เช่น วัตถุทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าของประเทศ และควรเน้นที่การสร้างคนและหาที่ทางให้คนสร้างหนังได้มีโอกาสมากขึ้นด้วย แล้วจึงจัดสรรงบประมาณต่อไป

จักรวาลยกตัวอย่างด้วยโมเดลต่างประเทศอย่างประเทศในยุโรปซึ่งมีแนวคิดว่า หนังคือมรดกทางวัฒนธรรม คนสร้างหนังจึงควรได้รับเงินสนับสนุนในการสร้างโดยภาครัฐแบ่งสรรมาจากภาษีของประเทศ หรือหน่วยงานในไทยอย่าง THACCA ที่ช่วยสร้างคนด้วยการจัดเวิร์คช็อปคนสร้างหนัง ให้เงินสนับสนุนการทำหนังสั้นและพัฒนาโปรเจกต์หนังใหม่ๆ ตลอดจนช่วยสนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบินและค่าใช้จ่ายต่างๆ เมื่อส่งหนังไปประกวดต่างประเทศ

อีกทั้งการสร้างการรับรู้ให้กับหนังอิสระก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นแล้วการสร้างโรงหนังหรือแม้แต่ตัวหนังเองเท่านั้นจึงไม่เพียงพอ แต่ต้องทำให้คนเห็นความสำคัญของหนังให้ได้ จึงต้องมีการสร้างคนดู เช่น การจัดโปรแกรมการเรียนรู้เกี่ยวกับหนัง การเสวนาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหนัง ตลอดจนการเสริมสร้างวัฒนธรรมการดูหนังที่เปิดโอกาสให้คนดูได้แลกเปลี่ยนความคิดกันมากขึ้น นอกเหนือจากการสร้างความบันเทิงจากการดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วจบไป

เพราะหนังคือศิลปะและศิลปะคือชีวิต เราจึงไม่ควรมองข้ามการต่อชีวิตให้กับศิลปะ


รายการอ้างอิง

Thailand Boxoffice Team. (26 พฤษภาคม 2568). อันดับหนังทำเงินทั่วประทศไทย ข้อมูลวันที่ 25 พฤษภาคม 2568. Thailand Box Office and Entertainment.https://thailandboxoffice.com/2025/05/26/25-5-68/

Thailand Boxoffice Team. (1 กรกฎาคม 2568). อันดับหนังทำเงินทั่วประทศไทย ข้อมูลวันที่ 29 มิถุนายน 2568. Thailand Box Office and Entertainment. https://thailandboxoffice.com/2025/07/01/29-6-68/

WP. (17 มกราคม 2568). สำรวจ “อุตสาหกรรมหนังไทย” ปี 2024 รายได้แซงหนังฮอลลีวู้ด กับ 5 ปัจจัยดันหนังไทย สู่ตลาดโลก. Marketing Oops!. https://www.marketingoops.com/reports/thailand-movie-industry/

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
0
Love รักเลย
0
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0
Writings

ผู้หญิงเหนือเงา ‘ชาย’

เรื่องและภาพ: ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร ในอุตสาหกรรมบันเทิงไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดซีรีส์วายคือหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และสร้างรายได้มหาศาลทั้งจากในและนอกประเทศ แต่ท่ามกลางความรุ่งเรืองนั้น หากลองมองลึกเข้าไปในโครงสร้างของการเล่าเรื่องจะพบว่า ผู้หญิง มักจะถูกลดบทบาทให้เหลือเพียงตัวประกอบในศูนย์กลางของเรื่องราวความรักชาย-ชาย หากมองย้อนกลับไปในยุคแรกๆ บทบาทของผู้หญิงคือ ตัวร้าย หรือ ...

Writings

Like a popsicle on the 4th of July (ให้ชีวิตร้อน ๆ ได้พักกินไอศกรีมบ้าง)

เรื่อง : ปิยะวรรณ นาคะสิงห์ ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา หากถามถึงฤดูร้อนของประเทศไทยว่าเริ่มต้นเมื่อไหร่ อิงตามข้อมูลคงเป็นช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์จนถึงกลางเดือนพฤษภาคม แต่ความเป็นจริงประเทศไทยก็ร้อนทั้งปีตามประสาของประเทศใกล้เส้นศูนย์สูตร ขณะเดียวกันในสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน โดยจะร้อนมากที่สุดในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้เอง ...

Writings

อิสรภาพที่โลกจริงไม่อาจมอบให้ : สำรวจชีวิตในฝันของคนยุคใหม่ผ่านอนิเมะแนวต่างโลก(Isekai) “สกิลสุดพิสดารกับมื้ออาหารในต่างโลก”

เรื่อง : ชลธิชา บุญเรือง ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา ในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความกดดันจากทุกทิศทาง ทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ ทุกย่างก้าวของชีวิตเต็มไปด้วยเสียงกดดันจากสังคมที่คอยบอกให้เราต้องวิ่งตามให้ทันตลอดเวลา “ต้องเรียนให้เก่ง ” “ต้องได้เข้ามหาลัยดัง ๆ” ...

Writings

Le Pupille : คำถามต่อสิ่งที่ ‘เห็น’ และสิ่งที่ ‘เป็น’

เรื่อง : สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ  ความคิดแบบเด็กไร้เดียงสากลายเป็นความขบถอันแสบสัน ที่ทำให้โรงเรียนคาทอลิกวุ่นวายตลอดวันคริสมาสต์ เมื่อเทศกาลแห่งการแบ่งปันและภาวนาถึงพระเยซูคริสต์ กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอย่างการเห็นแก่ตัวในโรงเรียนเคร่งศาสนา ‘Le Pupille’ ภาพยนตร์ขนาดสั้นสัญชาติอิตาลี ถูกฉายครั้งแรกในดิสนีย์พลัส (Disney+) เมื่อปีพ.ศ.2565 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ...

Writings

ภาษารุนแรงในเพลงร็อก: ศิลปะ การต่อต้าน หรือแค่คำหยาบ

เรื่อง: ณฐนนท์ สายรัศมี ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ หากดนตรีคือกระจกสะท้อนสังคม เพลงร็อกก็คงเป็นกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ บาดคม ท้าทาย และไม่เคยเลือกแสดงเพียงด้านที่งดงาม  ภายใต้เสียงกีตาร์อันกระหึ่ม เสียงกลองที่ดุดัน และน้ำเสียงของนักร้องที่มักเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ เกลียด หรือผิดหวัง ...

Writings

มากกว่าแค่ลวดลาย รอยสักที่บอกเล่าเรื่องราว อัตลักษณ์ และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป

เรื่อง : ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร ภาพประกอบ : สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ จากภาพลักษณ์ที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงสัญลักษณ์ของกลุ่มคนบางกลุ่ม ปัจจุบัน ‘รอยสัก’ ได้กลายปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบนร่างกายของนักแสดงชื่อดัง นักกีฬา ศิลปิน ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save