SocietyWritings

Toxic Society : วัฒนธรรมที่เป็นพิษของลัทธิบูชาตัวบุคคล

เรื่องและภาพประกอบ: อชิรญา ปินะสา

คุณเคยตั้งคำถามกับใครแล้วโดนทัวร์ลงไหม?

ในห้วงเวลาที่สังคมเต็มไปด้วยเสียงของความแตกต่างและหลากหลาย เรากลับพบความจริงอันน่าประหลาด ในสังคมที่เหมือนเดิมเสมอมาจากหน้าประวัติศาสตร์ สังคมที่ผู้คนแสวงหาผู้กอบกู้หรือผู้นำทาง สังคมที่ผู้คนเชิดชูและบูชาใครสักคนให้กลายเป็นความจริงแท้ โดยไม่ต้องผ่านบทพิสูจน์ใดๆ นอกจากความศรัทธาและความเชื่อของฝูงชน 

นี่คือปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีให้เห็นในทุกยุคทุกสมัย การสร้างวีรบุรุษในสนามรบ หรือแม้แต่การสร้างเทวดาในทางการเมือง และเมื่อใดก็ตามที่การตั้งคำถามคือความทรยศ เสียงกู่ร้องสรรเสริญดังจนกลบความเป็นจริง จนทำให้ ‘การบูชาตัวบุคคล’ (Cult of Personality) กลายเป็นระบบความเชื่อที่ครอบงำความคิดผู้คน จนก่อรูปเป็นความศรัทธาที่บิดเบี้ยว และขยายตัวเป็นอำนาจที่ไม่อาจแตะต้องได้

Cult of Personality หรือ Personality Cult การบูชาตัวบุคคล หรือที่บางคนรู้จักในนามของ ‘ลัทธิบูชาตัวบุคคล’ คือการที่สังคมมักยกย่อง เชิดชู รวมถึงศรัทธาในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จนเกินขอบเขตของความสมเหตุสมผล และเหล่านี้มักไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่เป็นกลาง จนทำให้สังคมละเลยข้อผิดพลาดของบุคคลที่ตัวเองศรัทธา ตัวบุคคลที่ถูกยกย่องจึงไม่ใช่เพียงผู้นำเพียงอย่างเดียว แต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ต้องได้รับการปกป้องจากผู้ที่ศรัทธา ความคิดเห็นที่ต่างจากพวกเขาเหล่านี้จึงถูกมองว่าเป็นภัย การตั้งคำถามถูกตีความเป็นการลบหลู่ เพราะในลัทธิบูชาตัวบุคคล สิ่งสำคัญไม่ใช่ความถูกต้อง หากแต่คือการคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ของผู้นำที่เขาศรัทธา 

แล้วอะไรกันที่ทำให้คนบางกลุ่ม พร้อมใจกันยกสถานะของใครบางคนสูงขึ้นกว่าตัวเอง?

ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เมื่อประเทศเยอรมนีเป็นผู้ปราชัยในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ควบรวมกับความกลัวต่อกระแสคอมมิวนิสต์ หลังจากที่รัสเซียถูกสถาปนาเป็นประเทศสังคมนิยมโดยพรรคบอลเชวิค (Bolshevik) รวมถึงความโกรธแค้นและสิ้นหวังกับการบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลผสม

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ชาวเยอรมันส่วนใหญ่ฝากความหวังไว้ที่ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ (Adolf Hitler) จากพรรคสังคมชาตินิยมของคนงานเยอรมัน (National Socialist German Workers’ Party – NSDAP) หรือที่หลายคนรู้จักในนามพรรคนาซี (Nazi)  ผู้ที่มีวาทกรรมทางการเมืองเป็นเลิศ พรรคนาซีเริ่มใช้เวทีปราศรัย หนังสือพิมพ์ และโปสเตอร์ เพื่อสร้างภาพผู้นำผู้กล้าหาญ ผู้เสียสละของฮิตเลอร์ และพยายามสร้างภาพว่าฮิตเลอร์คือผู้ทรงคุณธรรมและผู้กอบกู้ประเทศ โดยใช้ความโกรธแค้น ความสิ้นหวังของประชาชนเยอรมันเป็นเครื่องมือการประกอบสร้างอำนาจของตัวเองขึ้นมา

ฮิตเลอร์ได้ยกระดับความเป็นวีรบุรุษอย่างเด่นชัด หลังจากเขาพยายามทำรัฐประหารรัฐบาลสาธารณรัฐไวมาร์ (Weimar Republic) จนนำไปสู่เหตุการณ์กบฏโรงเบียร์ปี ค.ศ. 1923  และแม้จะล้มเหลวจนถูกสั่งจำคุก แต่เหตุการณ์นั้นเป็นการถูกตีความใหม่ว่าเป็นการยืนหยัดต่อสู้เพื่อชาติ เพราะในช่วงเวลาที่ฮิตเลอร์ถูกจำคุก เขาได้เขียนหนังสือชื่อ Mein Kampf เพื่อเผยแพร่และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการปั้นภาพผู้นำผู้มีวิสัยทัศน์และอุดมการณ์แน่วแน่ พร้อมทั้งวางรากฐานความคิดต่อต้านยิวและแนวคิด ‘ศัตรูของชาติ’ ที่ภายหลังถูกใช้โฆษณาชวนเชื่ออย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อฮิตเลอร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี (Chancellor) ในปี ค.ศ. 1933 จากประธานาธิบดี พอล ฟอน ฮินเดนบูร์ก (Paul von Hindenburg) เนื่องจากนาซีเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐสภา (Reichstag) เพราะพรรคอื่นไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1934 หลังจากฮินเดนบูร์กเสียชีวิต ฮิตเลอร์ได้ควบรวมอำนาจตำแหน่งประธานาธิบดีเข้ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาก็ประกาศตนเป็นผู้นำสูงสุด (Führer) ในปี ค.ศ. 1934  พร้อมตั้ง โยเซฟ เกิบเบลส์ (Joseph Goebbels) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาชวนเชื่อ เข้าควบคุมสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ ภาพยนตร์ รวมถึงโปสเตอร์ เพื่อให้ประชาชนเยอรมันได้รับสารที่เขาสามารถควบคุมได้ทั้งหมด ทำให้ชาวเยอรมันยังคงศรัทธาในตัวเขา ทั้งยังมีการกำหนดว่าหากผู้ใดกล่าวถึงเขาแบบเสื่อมเสียในที่สาธารณะ จะถือเป็นความผิดขั้นรุนแรง 

ขณะเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1933 ที่ฮิตเลอร์เรืองอำนาจขึ้นมา เขาได้เริ่มออกนโยบายต่อต้านชาวยิว เช่น การกำหนดกฎหมายห้ามคนยิวทำงานราชการ ไปจนถึงเพิกถอนสัญชาติเยอรมันของคนยิว นับว่าเป็นการกดดันคนยิวที่อาศัยในเยอรมนีอย่างรุนแรง

เข้าสู่ปี ค.ศ. 1939 กองทัพนาซีที่อยู่ใต้บัญชาการของฮิตเลอร์ ได้บุกเข้าไปที่ประเทศโปแลนด์ ควบคุมชาวยิวกว่า 2 ล้านคน และบังคับให้คนยิวเหล่านี้เข้าไปอยู่ใน เก็ตโต (Ghetto) ที่ถูกปิดล้อมด้วยกำแพง ก่อให้เกิดความอดอยากอาหาร และโรคระบาด จนทำให้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

จนมาถึงปี ค.ศ. 1941 ถึง ค.ศ. 1945 ฮิตเลอร์ได้ใช้อำนาจที่ล้นมือของเขา ก่ออาชญากรรมที่ถือว่าโหดร้ายที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โลก จนกลายเป็นแผลเป็นในความทรงจำของมนุษยชาติโดยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว กลุ่มรักเพศเดียวกัน คนพิการ นักโทษการเมือง รวมถึงชนกลุ่มน้อยอื่นๆ อย่างเป็นระบบภายในค่ายกักกัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนความเงียบงันของสังคมที่ถูกปิดปาก และความคลั่งไคล้ในผู้นำที่บดบังความเป็นจริง

อำนาจของฮิตเลอร์กลายเป็นตัวอย่างร้ายแรงที่สุดของ ‘ลัทธิบูชาตัวบุคคล’ ที่พาสังคมเข้าสู่หายนะ เมื่อผู้นำถูกยกย่องจนเกินมนุษย์ และคำสั่งของเขากลายเป็นสิ่งสูงสุดเหนือเหตุผล ผู้คนจำนวนมากก็กลายเป็นเพียงฟันเฟืองของความโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเป็นคนที่ไม่ยอมรับความผิดพลาดของบุคคลที่ตัวเองบูชามากเท่าใดระบอบก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น

อาจกล่าวได้ว่าลัทธิบูชาตัวบุคคลจากเหตุการณ์นี้คือผลพวงของการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ที่ทำให้คนเยอรมันพร้อมใจยกยอและศรัทธาในฮิตเลอร์ เหมือนดังที่ ทิโมธี เดวิด ชไนเดอร์ (Timothy David Snyder) นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ได้บอกไว้ว่า

“อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กลายเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ มันจะกลายเป็นอาชีพหลักของเขาไปตลอดชีวิต เมื่อปราศจากโฆษณาชวนเชื่อแล้ว เขาคงไม่อาจกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงได้”

การโฆษณาชวนเชื่อ หรือ Propaganda คืออะไร?

การโฆษณาชวนเชื่อ คือกระบวนการทางวาทศิลป์ และ ยุทธศาสตร์ที่สร้างความจริงผ่านสื่อ เพื่อโน้มน้าวมวลชนให้คล้อยตามอุดมการณ์ของตัวเอง หรือนำเสนอชุดความคิดบางอย่าง โดยใช้กลยุทธ์เชิงอำนาจและการจัดการข้อมูลซึ่งอาจบิดเบือนความจริง และลดทอนความสามารถของประชาชนในการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์

จากการโฆษณาชวนเชื่อ สู่ วัฒนธรรมที่เป็นพิษของลัทธิบูชาตัวบุคคลในสังคมไทย

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการบูชาตัวบุคคลนั้นได้กลืนเข้าไปในวัฒนธรรมของสังคม โดยการใช้โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การสร้างภาพลักษณ์ผ่านสื่อ ภาพยนตร์ หรือแม้แต่การตลาดส่วนบุคคล ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากยกย่องและศรัทธาผู้นำหรือบุคคลสาธารณะบางคนเกินความเป็นจริง ขอบเขตระหว่างการชื่นชมกับการบูชาเริ่มเลือนราง และหลายครั้งความศรัทธาและความคลั่งไคล้นั้นกลายเป็นตัวการสำคัญ ที่หล่อเลี้ยงอิทธิพลของบุคคลที่ได้ประโยชน์จากระบบความเชื่อนี้ในสังคม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบันการไล่ทำร้ายผู้ที่เห็นต่างจะเห็นได้ยาก แต่ก็ยังคงมีอยู่และสิ่งที่ยังคงปรากฏและฝังลึกในสังคมการเมืองไทยคือวัฒนธรรมการ ‘ล่าแม่มด’ (Witch Hunt) ซึ่งหมายถึงการโจมตี ทำให้เสียชื่อเสียง หรือประณามผู้ที่มีความเห็นต่างจากกลุ่มตัวเอง ทั้งทางสังคมออนไลน์และในชีวิตจริง ผู้ที่กล้าตั้งคำถามที่ตรงข้ามกับความเชื่อ หรือกล้าตั้งคำถามกับผู้นำหรือบุคคลที่เป็นที่บูชาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มักจะตกเป็นเป้า และถูกตีตราว่าเป็นศัตรูหรือคนทรยศต่ออุดมการณ์ หรือในบางครั้งรุนแรงถึงขั้นข่มขู่คุกคาม 

ดังเช่นกรณีที่เกิดเหตุการณ์การแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษาธรรมศาสตร์ด้วยการแขวนป้ายแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไว้ที่รูปปั้นอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ บริเวณหน้าอาคารเรียนรวมสังคมศาสตร์ 1 (SC1) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากคนเห็นต่างทางการเมือง จนนำไปสู่การขู่ทำร้ายนักศึกษา ในกลุ่มไลน์โอเพนแชต (Line OpenChat) รวมถึงการขู่วางระเบิดอาคารเรียนของคณะรัฐศาสตร์และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงผลกระทบของการบูชาตัวบุคคลต่อสังคม เมื่อบุคคลหรือสัญลักษณ์ใดถูกยกขึ้นสูงจนกลายเป็นตัวแทนของคุณค่า ความเชื่อ ความสัตย์จริง หรือความถูกต้อง การแสดงออกที่แตกต่างจากความเชื่อเหล่านั้นมักถูกมองว่าเป็นภัยหรือการลบหลู่ การตอบสนองจึงไม่เพียงแค่ถกเถียงเชิงเหตุผล แต่กลายเป็นการใช้ความรุนแรงทางวาจา ข่มขู่ หรือแม้กระทั่งคุกคามทางกายภาพ ทำให้ผู้ที่เห็นต่างบางส่วนถูกดึงเข้าสู่กรอบความคิดที่ว่าถ้าใครลบหลู่หรือวิจารณ์สัญลักษณ์นี้ นั่นคือการโจมตีความเชื่อและตัวตนของกลุ่มจนนำไปสู่การล่าแม่มดในท้ายที่สุด

ดังเช่นเหตุการณ์ที่มีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพในกลุ่มเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นภาพผู้หญิงวัยรุ่นที่นั่งโดยสารรถไฟฟ้าขบวนเดียวกับผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนั้น โดยผู้หญิงในภาพได้สวมเสื้อสีแดง ในช่วงการถวายความอาลัย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การโพสต์ดังกล่าวคล้ายกับการ ‘แขวน’ ให้คนที่มีอุดมการณ์เดียวกันมาวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งสะท้อนถึงการทำงานของวัฒนธรรมที่เป็นพิษในชีวิตประจำวัน ในขณะที่ผู้ที่มีความเห็นหรือการกระทำรวมไปถึงการปฏิบัติตัวที่แตกต่างออกไป แม้แต่การปรากฏตัวในบริบทที่สอดคล้องกับฝ่ายตรงข้าม ก็อาจถูกนำมาโจมตีทางสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็ว 

นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่าการบูชาตัวบุคคล และการศรัทธาเกินความพอดี สามารถเปลี่ยนให้ผู้คนกลายเป็นผู้พิพากษาในสังคม หรือที่เรียกว่า ‘ศาลเตี้ย’ เพียงเพราะความศรัทธาที่มีไม่เท่ากัน ความรุนแรงทางสังคมจึงไม่ได้มาในรูปแบบของการคลั่งไคล้จนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายเหมือนในอดีต แต่เป็นการบีบคั้นทางจิตใจ การคุกคาม และการลดทอนความเป็นมนุษย์ ความศรัทธาเกินจริงต่อบุคคลจึงไม่ได้ทำลายเพียงพื้นที่ของเหตุผล แต่ยังทำลายความปลอดภัยในการแสดงออก และกัดกร่อนเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนคนอื่นเช่นกัน

เพราะเราไม่สามารถบังคับให้ใครเศร้าเสียใจได้ เหมือนกับที่ไม่สามารถบังคับให้ใครคลั่งไคล้และบูชาได้ เมื่อการที่มีกลุ่มคนที่เลือกแล้วว่าอุดมการณ์ต้องแตกต่างออกไป จึงควรเคารพในความเชื่อและอุดมการณ์ของกันและกัน

อาจสรุปได้ว่า ‘ลัทธิบูชาตัวบุคคล’ นั้น แท้จริงแล้วคือผลพวงของการโฆษณาชวนเชื่อ จากบุคคลที่ต้องการใช้ประโยชน์ทางสังคม หรือจากกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ทางสังคมจากเรื่องเหล่านี้ ซึ่งจะอาศัยการสร้างภาพลักษณ์จนนำไปสู่การเป็นผู้ไร้ที่ติ ในสายตาสาธารณชน กระบวนการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ต้องอาศัยกลไกทางสังคม และแรงสนับสนุนจากผู้ศรัทธา ดังเช่นที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กระทำในอดีต

ในท้ายที่สุด ‘ลัทธิบูชาตัวบุคคล’ จึงไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางการเมือง แต่คือโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่กำกับความคิดของสาธารณชนอย่างแนบเนียน มันทำให้ผู้คนยอมรับความจริงเพียงแบบเดียวที่ผู้นำหรือผู้มีอำนาจต้องการให้เชื่อ ขณะเดียวกันก็ปิดกั้นความหลากหลายของความคิดเห็น อันเป็นรากฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย เมื่อเสียงที่แตกต่างถูกตีตราว่าเป็นภัย เมื่อการตั้งคำถามถูกมองว่าเป็นการลบหลู่ และเมื่อการวิจารณ์ถูกลดทอนให้กลายเป็นการโจมตีส่วนบุคคล สังคมก็จะค่อยๆ ถอยห่างจากเหตุผลและเสรีภาพอย่างเงียบเชียบ

ดังนั้น ‘การตระหนักรู้’ ‘การตั้งคำถาม’ และ ‘การกล้ารับฟังเสียงที่ต่างออกไป’ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของสังคม เพราะมันอาจไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มหรือทำลายศรัทธาของใคร แต่เพื่อให้สังคมยังคงขับเคลื่อนด้วยเหตุผลและการไตร่ตรองร่วมกันได้อยู่

เพราะสุดท้ายแล้ว สังคมที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ใช่สังคมที่ไม่มีความเห็นต่าง แต่คือสังคมที่ ‘อนุญาต’ ให้ความเห็นต่างดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว และไม่ปล่อยให้ใครยิ่งใหญ่จนเกินกว่าหลักเหตุผลจะเอื้อมถึง

แน่นอนว่าสังคมที่มีผู้นำยิ่งใหญ่ไม่ใช่สังคมที่อันตรายที่สุด แต่เป็นสังคมที่ยอมให้คนใดคนหนึ่งยิ่งใหญ่โดยตั้งคำถามไม่ได้สักข้อเดียวต่างหาก ที่อันตรายยิ่งกว่า


รายการอ้างอิง

https://www.newworldencyclopedia.org/entry/Cult_of_personality
https://hmong.in.th/wiki/Adolf_Hitler%27s_cult_of_personality
https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/507
https://so01.tci-thaijo.org/index.php/e-jodil/article/view/218033

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
0
Love รักเลย
0
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0

More in:Society

Writings

จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ในวันที่กาลเวลาเปลี่ยน

เรื่องและภาพ: ภัชราพรรณ ภูเงิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่แต่เดิมคือ ‘มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง’ มีหนึ่งในผู้ก่อตั้ง คือ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้เชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยจะหยั่งรากลึกในสังคมไทยได้ก็ต่อเมื่อประชาชนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องกฎหมาย การปกครอง และสังคม เขาจึงก่อตั้งสถาบันแห่งนี้ขึ้นในปี 2477 เพื่อเป็น ‘มหาวิทยาลัยของประชาชน’ มหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับความหวังว่าจะเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเริ่มเบ่งบานในสังคมไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ...

Writings

โดนมิจฉาชีพหลอกเพราะไม่ระวัง หรือเพราะข้อมูลรั่วจากระบบที่ไม่รัดกุม

เขียน: เปรมชนก พฤกษ์พัฒนรักษ์ ภาพประกอบ: จิระกานต์ วรรณธะสุข เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาสั่งอาหารผ่านแอปถึงต้องเลือกเพศ ทำไมร้านกาแฟถึงถามวันเกิดตอนสมัครสมาชิก ที่น่าคิดกว่านั้นคือ ข้อมูลเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหน และทุกวันนี้ ที่เรากดปุ่มยอมรับ ‘ข้อกำหนดและนโยบายความเป็นส่วนตัว’ โดยไม่เคยเปิดอ่าน หรือแม้แต่ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์กดปุ่ม ‘ไม่ยอมรับ’ ...

Writings

49 ปี รำลึก 6 ตุลาฯ 

เขียน: อชิรญา ปินะสา ภาพประกอบ: อชิรญา ปินะสา และ เปรมชนก พฤกษ์พัฒนรักษ์ เมื่อ 49 ปีที่แล้ว เมื่อ 49 ปีที่แล้ว ...

Writings

สมาร์ทโฟน จาก ‘นวัตกรรม’ สู่ Fast Fashion ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความทันสมัย

เขียน:  ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ คุณกำลังตามเทรนด์หรือเปล่านะ การเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทุกปีกลายเป็นปรากฏการณ์น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยไปกว่าเทรนด์แฟชั่น เมื่อไหร่ก็ตามที่มีของรุ่นใหม่เปิดตัวออกมา ก็จะเหมือนมีแรงดึงดูดให้ผู้คนรู้สึกว่าต้องซื้อ มิเช่นนั้นจะตกเทรนด์ ไปได้ทันที  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าคิด คือ ...

Writings

Run2Free: Run for Rights

เรื่องและภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ ปล่อยเพื่อนเรา “ปล่อยเพื่อนเรา” เสียงร้องกึกก้องของพี่น้องประชาชนอาจจะดังจนผ่านหูคุณมาบ้าง แต่ดูเหมือนยังดังไม่มากพอที่จะไปไกลจนเข้าหูของคนมีอำนาจ เพราะ ‘เพื่อน’ กว่า 57 ชีวิต ยังคงถูกจองจำ เพียงเพราะเลือกที่จะแสดงออกทางความคิดและใช้สิทธิเสรีภาพของพวกเขาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างชอบธรรม ทว่าไม่ถูกใจใครบางคน ...

Writings

Work & Travel: ประสบการณ์ที่ได้… ความปลอดภัยที่หาย?

เรื่อง: แพรพิไล เนตรงาม ภาพประกอบ: ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร เอิร์น นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ Work & Travel 2025 ประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปทำงานจนถึงแก่ชีวิตระหว่างเข้าร่วมโครงการ ณ ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save