เรื่อง: สายธาร สุวรรณเรือง
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
‘เราไม่มีทางเลือก’
ประโยคข้างต้นคงเป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะบอกกับผู้อ่านทุกคนในช่วงวิกฤตโรคระบาดเช่นนี้ แน่นอนว่าตอนนี้กระแสความลังเลในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยยังคงพบเห็นและได้ยินกันอย่างหนาหู คนไทยจำนวนไม่น้อยไม่ไว้ใจวัคซีนที่รัฐบาลนำเข้ามา ซึ่งก็คือวัคซีน Sinovac และ AstraZeneca
สำหรับ AstraZeneca คงไม่มีกระแสในแง่ลบมากนัก ถึงแม้ว่าจะพบผลข้างเคียงที่เกิดลิ่มเลือดอุดตันในกลุ่มคนอายุน้อย แต่อย่างกรณีศึกษาในประเทศอังกฤษที่ฉีดยี่ห้อนี้เป็นหลัก ก็พบว่าสามารถลดความรุนแรงของโรคและลดการแพร่ระบาดได้จริง ส่วน Sinovac คนก็พากันสงสัยในเชิงประสิทธิภาพ
คำถามคือ แล้วทำไมผู้เขียนจึงบอกว่าเราไม่มีทางเลือก? แล้วเราคนไทยไม่มีทางเลือกจริงๆ หรือ
ในภาวะโรคระบาดเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) โดยหากประเทศหนึ่งมีจำนวนประชากรซึ่งมีภูมิคุ้มกันคิดเป็นร้อยละ 60-70 ของประชากรทั้งหมด จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ จนทำให้เชื้อมีโอกาสน้อยลงในการไปติดผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนดังนั้นการจะทำให้แต่ละคนเกิดภูมิได้ จึงต้องใช้วัคซีนเข้ามาเป็นตัวช่วย และในเมื่อวัคซีนที่มีอยู่ในตอนนี้ยังมีเพียงสองยี่ห้อ ก็คงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ เพราะการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ เป็นเรื่องของพฤติกรรมของมนุษย์ ที่ย่อมมีการการ์ดตกกันได้บ้าง
ความเห็นของคนจำนวนหนึ่งมองว่า รัฐบาลสามารถเลือกวัคซีนยี่ห้อไหนนำเข้ามาก็ได้ แต่ทำไมจึงต้องเป็น Sinovac แน่นอนว่าเราคงไม่อาจย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์เพื่อให้รัฐบาลจองซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่นๆ เพิ่ม จากแผนการนำเข้าวัคซีนเดิมของไทยจะมีวัคซีนสองยี่ห้อดังกล่าว ที่นำเข้ามาและถูกฉีดให้ประชาชนมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์จนถึงตอนนี้ และล็อตที่จะนำเข้าได้แน่นอนและรวดเร็วที่สุดตั้งแต่พฤษภาคมเป็นต้นไป ก็ยังคงมีเพียงสองยี่ห้อนี้เช่นกัน
แม้ว่าวัคซีนจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จนทำให้ทุเลาการระบาดจนโรคสงบลงได้ แต่กลุ่มคนที่ลังเลจะฉีดวัคซีนอาจจะไม่ได้รู้จักคำว่าภูมิคุ้มกันหมู่ บางส่วนมองว่าตัวเองอยู่บ้านเฉยๆ อย่างไรก็คงไม่ติดโรค การเอาตัวเข้าไปฉีดวัคซีนจะ ‘ยิ่งเสี่ยง’ ตายมากกว่า
แต่นั่นไม่เป็นความจริง
องค์การอนามัยโลก (WHO) เผยงานวิจัยเกี่ยวกับ Sinovac พบว่าค่าเฉลี่ยประสิทธิภาพวัคซีนอยู่ที่ร้อยละ 67 คือเมื่อฉีดครบ 2 โดสแล้วจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้แน่นอน รวมถึงช่วยลดความรุนแรงของโรค และกรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างในชิลี คนฉีด Sinovac จะได้รับผลข้างเคียงรุนแรงในอัตราส่วน 2.67 คน ต่อ 100,000 คน ซึ่งต่ำกว่าวัคซีนอีกบริษัทหนึ่งที่ทดลองในชิลี ในขณะที่การระบาดระลอกเมษายน 2564 ในไทยทำสถิติมีผู้เสียชีวิตสะสมสูงกว่าสองระลอกก่อนหน้า และจำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้ยังคงอยู่ในช่วง 2,000-3,000 คนต่อวัน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ประเทศฝรั่งเศสที่มัวแต่กังวลเรื่องอาการข้างเคียง และการได้รับวัคซีนน้อยกว่าประเทศอังกฤษมากกว่าครึ่ง ทำให้ขณะนี้ยังมีผู้ป่วยเป็นหลักหมื่น และมีการเสียชีวิตเป็นหลักหลายร้อยคนต่อวัน ทั้งที่วัคซีนในประเทศก็ไม่ได้ขาดแคลนแบบบ้านเรา จะเห็นได้ว่าการเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจากวัคซีนย่อมดีกว่าติดโควิด อย่างน้อยการมีวัคซีนให้ฉีดเพื่อลดความรุนแรงของโรค ก็ยังดีกว่าไม่ฉีดเลย
ก่อนหน้านี้การอยู่แต่บ้าน ไม่ออกไปไหน อาจมั่นใจได้ว่าคงไม่ได้ติดเชื้อ แต่ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเผยว่า สาเหตุการเสียชีวิตร้อยละ 58 ติดจากคนในครอบครัว หรือญาติมาเยี่ยม (ข้อมูลวันที่ 11 พฤษภาคม) ดังนั้นการอยู่แต่บ้านก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ อีกทั้งการฉีดวัคซีน เมื่อติดเชื้อแล้วจะลดความรุนแรงลง ผู้ป่วยไอซียูน้อยลง จะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ บุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงเตียงสนามด้วย
เหตุผลสำคัญอีกประการที่บุคลากรทางการแพทย์สนับสนุนให้คนฉีดวัคซีน นอกจากจะเป็นเรื่องของโควิด-19 แล้ว ยังมีอีกมุมมองหนึ่งที่สื่อไม่ค่อยพูดถึง คือสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงเช่นปัจจุบัน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์จำเป็นต้องถ่ายเทไปช่วยวอร์ดคนไข้โควิดมากขึ้น ทำให้วอร์ดอื่นถูกดูแลลดลง ทั้งบุคลากรและทรัพยากรเริ่มเกิดการขาดแคลน ดังนั้นอย่างน้อยการฉีดวัคซีน ก็คงส่งผลต่อประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคอื่นๆ ได้เช่นกัน
หากเราหันมาพิจารณาการสื่อสารของรัฐเกี่ยวกับกับวัคซีน เราจะพบว่า อาจไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนนัก เพราะรัฐสื่อสารกลับไปกลับมา เช่น ทีแรกจะไม่ให้ภาคเอกชนนำเข้าวัคซีน แต่ตอนหลังก็บอกว่าให้เอกชนมีส่วนร่วมกับรัฐในการนำเข้าได้ หรือการแจ้งประชาชนว่าจะเปิดให้วอล์คอินรับวัคซีนได้ แต่วันถัดมาก็บอกว่าวอล์คอินไม่ได้ ฯลฯ อีกทั้งคีย์เวิร์ดที่ได้ยินกันเป็นประจำคือ ‘ฉีดวัคซีนช่วยชาติ’ ซึ่งคำว่าวัคซีนช่วยชาติก็คงไม่ได้ช่วยอะไร เพราะวินาทีเช่นนี้ประชาชนน่าจะห่วงตัวเองก่อนห่วงชาติ ยิ่งไปกว่านั้นการอ้างถึงความรักชาติมากกว่าข้อเท็จจริงจะเป็นการลดความเชื่อมั่นของประชาชน จนเกิดความลังเลที่จะฉีดวัคซีนมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้ วัคซีนที่ดีที่สุดคือการใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง แต่สุดท้ายทุกคนก็คงไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า วัคซีนที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือวัคซีน แม้ว่าเราจะไม่มีทางเลือกสำหรับการเลือกวัคซีนที่มั่นใจที่สุดให้กับตัวเองได้ แต่หากการควบคุมโรคระบาดคืองานกลุ่มครั้งใหญ่ที่ต้องทำกันทั้งโลก ในเมื่อเรามีผู้นำที่ไม่ค่อยรู้จักการสื่อสารในภาวะวิกฤต สิ่งที่ทำได้ก็คงจะเป็นการทำเท่าที่ทำได้
และเลือกทางที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะเลือกได้