เรื่องและภาพ : กิตติธัช วนิชผล
‘เฟซล่ม’ คำ ๆ นี้เราคงจะได้ยินกันบ่อยจนอาจจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วว่าเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดให้เห็นได้เกือบจะตลอดที่สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังอย่าง ‘เฟซบุ๊ก’ (Facebook) และบริการใกล้เคียงอย่าง อินสตาแกรม (Instagram) หรือ วอตส์แอป (WhatsApp) เกิดใช้การไม่ได้ ซึ่งเมื่อเกิดกรณีนี้ก็จะเกิดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ (Twitter) ว่า #เฟสล่ม ตามมาทุกครั้งไป แต่ล่าสุด ประมาณอาทิตย์ก่อน (4 – 5 ตุลาคม) ได้มีหนึ่งในกรณีเฟซล่มที่รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง เมื่อเฟซบุ๊กล่มไปนานถึง 6 ชั่วโมง!
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวใหญ่โตกันเลยทีเดียว เพราะจากสถิติที่น่าจะล่มเพียงแค่ 1 – 2 ชั่วโมง กลับล่มยาวกว่า 6 ชั่วโมง แล้วล่มพร้อมกันทั่วโลกซะอย่างนั้น !? จากที่มีแค่ #เฟสล่ม กลายเป็น #facebookdown ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ทั่วโลก ดังนั้นคอลัมน์ ‘โลกไอที’ ในวันนี้จะพาทุกคนไปล้วงลึกถึงกรณีเฟซบุ๊กล่มครั้งล่าสุด ตั้งแต่สาเหตุ ผลที่ตามมา และเราได้อะไรจาก ‘เฟซล่ม’ ครั้งนี้
Facebook ล่มรอบนี้เกิดจากอะไร
การที่เฟซบุ๊กล่มทั่วโลกครั้งนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอน แต่มันเกิดจากอะไรกันล่ะ ? เรื่องนี้ ยูทูบเบอร์ (Youtuber) สายไอทีชื่อดัง ‘9arm’ ได้อธิบายเอาไว้ในคลิป “Facebook ล่มวันก่อนเกิดจากอะไร?” ว่าการที่เฟซบุ๊กล่มครั้งนี้มาจากการตั้งค่าที่ผิดพลาด ซึ่งในการเปลี่ยนการตั้งค่าจะต้องทำใน Data Center ที่หนึ่งก่อน แล้วค่อย ๆ กระจายการตั้งค่าใหม่ไปทีละสาขาที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยสามารถทำผ่านระบบออนไลน์ของเฟซบุ๊กเองได้เลย ส่วนคำสั่งที่ทำให้ล่มครั้งนี้เป็นคำสั่งที่ส่งไปทั่วโลกว่าให้ “ตัดตัวเองออกจาก Internet ซะ” ซึ่งทำให้โลกภายนอกไม่สามารถเชื่อมต่อเข้าไปดึงข้อมูลจาก Data Center มาแสดงผลทั้งบนเว็บไซต์และในแอปพลิเคชันทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเฟซบุ๊กได้
ให้ลองนึกภาพเหมือนเรากำลังจะขับรถจากบ้านไปยังบริษัทเฟซบุ๊กเพื่อนำเอกสารที่ทำงานกลับมาแก้ไขที่บ้าน แต่ทว่าเราไม่สามารถเข้าไปข้างในบริษัทเพื่อนำเอกสารออกมาได้เลย เนื่องจากประตูทางเข้าบริษัททุกบานถูกปิดทั้งหมด เปรียบให้เห็นว่าแม้กระทั่งวิศวกรของเฟซบุ๊กเองก็ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขระบบได้ ดังนั้นทางแก้ไขของเรื่องนี้ วิศวกรจึงจำเป็นต้องเดินทางไปที่ Data Center ในแต่ละพื้นที่ด้วยตัวเองเพื่อทำการแก้ไขการตั้งค่านี้ให้กลับมาเหมือนเดิม ไม่สามารถทำการแก้ไขผ่านการเชื่อมต่อออนไลน์ได้ ส่งผลให้อุปกรณ์หรือโปรแกรมทุกอย่างที่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ของเฟซบุ๊กไม่ว่าจะเป็นในระดับผู้ใช้บริการ และอุปกรณ์ของวิศวกรที่ใช้ในการ debug และประเมินสถานการณ์ ใช้การไม่ได้เลย ทำให้การล่มนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมากเพราะวิศวกรต้องเดาสุ่มไปเรื่อย ๆ กว่าจะรู้ว่าต้นตอของปัญหาคืออะไร
นอกจากนี้ ในการเข้าไปแก้ไขการตั้งค่าคำสั่งที่ Data Center แต่ละที่ก็จำเป็นต้องใช้พนักงงานที่ประจำอยู่ในแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทำให้คนที่อยู่ที่ Data Center แห่งนั้น ๆ มีอยู่น้อย และไม่ใช่คนที่มีความรู้มากพอที่จะแก้ไขทั้งระบบได้ ทำให้คนที่แก้ได้ต้องเดินทางไปแก้เอง ต้องผ่านระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น และต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอนุญาตอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้ Data Center นั้นโดนแฮกได้ง่าย ดังนั้น กว่าขั้นตอนทั้งหมดจะดำเนินการจนเสร็จสิ้น ตั้งแต่ทราบข่าวจนเดินทางไปแก้ไขและผ่านระบบรักษาความปลอดภัยภายในจนครบ จึงใช้เวลาไปทั้งหมดกว่า 6 ชั่วโมงนั่นเอง
ล่มแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อเซิร์ฟเวอร์ของเฟซบุ๊กใช้การไม่ได้ ทวิตเตอร์ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เฟซบุ๊กเลือกใช้เพื่อแจ้งให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและแจ้งว่าเฟซบุ๊กกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งเหตุผลที่เลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างทวิตเตอร์ ก็อาจจะเพราะจำนวนผู้ใช้งานของทวิตเตอร์ที่มีมาก และมีผู้ติดตามแอคเคานต์ @Facebook ในทวิตเตอร์มากถึง 13.4 ล้านแอคเคานต์ก็ได้
We’re aware that some people are having trouble accessing our apps and products. We’re working to get things back to normal as quickly as possible, and we apologize for any inconvenience.
— Facebook (@Facebook) October 4, 2021
หลังจากปัญหาคลี่คลายลง มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก ได้ออกมาโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กของเขาว่า “เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม, วอตส์แอป และ (เฟซบุ๊ก)เมสเซนเจอร์ กลับมาออนไลน์อีกครั้งแล้ว ขออภัยสำหรับความขัดข้องในวันนี้ – ผมทราบดีว่าคุณต้องพึ่งพาบริการของเรามากเพียงใดเพื่อติดต่อกับบุคคลที่คุณห่วงใย” โดยส่วนตัวของผู้เขียนมองว่า การออกมาสื่อสารในครั้งนี้เป็นหนึ่งในวิธีการสื่อสารแบรนด์ที่ดีและชัดเจนไปพร้อม ๆ กับการทดสอบระบบไปด้วย และยังชี้ให้เห็นว่าเฟซบุ๊กมีความสำคัญเพียงใดกับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะใช้งานเฟซบุ๊กเพื่อขายของหารายได้ ถ่ายทอดสด หรือการส่งความห่วงใยผ่านข้อความไปหาบุคคลสำคัญ ทั้งหมดนี้ก็เป็นอีกหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นความสำคัญของเฟซบุ๊กที่มีต่อสังคม
เนื่องจากเฟซบุ๊กไม่เคยล่มนานถึงขนาดนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ ความมั่งคั่งของนายมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ลดลงมากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เฟซบุ๊กล่ม เนื่องจากผู้ถือหุ้นของเฟซบุ๊กต่างพากันเทขายหุ้นเฟซบุ๊กออก ทำให้มูลค่าหุ้นเฟซบุ๊ก (FB) ลดลงกว่า 4.9% หรือกว่า 15% นับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนเป็นต้นมา และแนวโน้มราคาหุ้น FB ยังคงราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง จนราคาล่าสุด (8 ตุลาคม) ยังไม่กลับขึ้นมาเท่าเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมเลย
จะเห็นได้ว่าการล่มครั้งนี้ กลายเป็นหนึ่งในบทเรียนครั้งสำคัญของเฟซบุ๊ก ว่าเพราะอะไรระบบถึงอนุญาตให้มีการส่งคำสั่งปิดล็อคตัวเองออกจากเซิร์ฟเวอร์ได้ง่ายถึงเพียงนี้ และเฟซบุ๊กจำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาระบบต่อไปในอนาคตหรือไม่ เนื่องจากจากการรายงานของประชาชาติธุรกิจ กล่าวว่าการล่มครั้งนี้ส่งผลต่อผู้ใช้ถึงกว่า 3,500 ล้านคน เลยทีเดียว !
เนื่องจากว่าเซิร์ฟเวอร์ของเฟซบุ๊กไม่สามารถใช้การได้ ทำให้ทุกบริการที่ต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์ของเฟซบุ๊กนั้นจะใช้การไม่ได้เลย นั่นไม่ได้หมายถึงการที่ผู้ใช้บริการจะเข้าใช้งานแอปพลิเคชันในเครือเฟซบุ๊ก อย่างอินสตาแกรม, วอตส์แอป และ (เฟซบุ๊ก)เมสเซนเจอร์ ไม่ได้ และวิศวกรที่ไม่สามารถเข้าระบบเพื่อทำงานผ่านเซิร์ฟเวอร์ของเฟซบุ๊กได้เท่านั้น แต่มันรวมถึงทุกบริการออนไลน์ที่ต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์ของเฟซบุ๊กเลย นอกจากนี้ บริการออนไลน์ที่ต้องพึ่งพา Facebook API ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ซึ่งจะรุนแรงเป็นพิเศษกับบริการที่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องล็อคอินเข้าสู่ระบบโดยใช้บัญชีเฟซบุ๊กเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เกมออนไลน์ที่ผูกบัญชีภายในเกมกับเฟซบุ๊ก หรือเว็บไซต์หลาย ๆ เว็บไซต์ที่มีระบบสมัครสมาชิกด้วยการล็อคอินผ่านเฟซบุ๊ก การที่เฟซบุ๊กล่มจึงทำให้ไม่สามารถเดินทางเชื่อมต่อเข้าสู่บริการออนไลน์ผ่านตัวกลางอย่างเฟซบุ๊กได้ จนทำให้ล็อคอินเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในบริการนั้น ๆ ไม่ได้นั่นเอง
โดยส่วนตัวของผู้เขียนก็เป็นสมาชิกอยู่ภายในกลุ่มของคนที่เล่นเกมออนไลน์ชื่อดังอย่าง Genshin Impact ที่สามารถผูกบัญชีผู้ใช้งานเกมกับเฟซบุ๊กได้ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์เฟซบุ๊กล่มคลี่คลายลง ก็มีผู้ใช้จำนวนหนึ่งออกมาบ่นเรื่องที่เฟซบุ๊กล่มจนไม่สามารถล็อคอินเข้าสู่เกมได้เพราะผูกบัญชีเอาไว้กับเฟซบุ๊กเพียงที่เดียวเท่านั้น ไม่ได้ผูกบัญชีไว้กับบริการอื่นใดเลย
ลองนึกภาพว่า ถ้ามีบริการออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่ต้องเข้าสู่ระบบโดยการผูกบัญชีเอาไว้กับเฟซบุ๊กเท่านั้น ในเวลาที่เฟซบุ๊กล่ม เราจะไม่สามารถใช้งานบริการนั้นได้ เหมือนแพลตฟอร์มนั้นโดนล็อคไปพร้อม ๆ กับเฟซบุ๊กไปด้วยเลยนั่นเอง เมื่อนึกถึงกรณีนี้แล้ว ทำให้การที่เฟซบุ๊กล่มเป็นเวลานานนั้น กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเลยทีเดียว
แล้วเราได้อะไรจากเรื่องนี้
ในมุมมองของผู้เขียน ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านทุกท่านได้รู้ว่า กรณีที่เฟซบุ๊กล่มเป็นเวลานานแบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และไม่มีเหตุการณ์ใดเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงไม่สามารถพึ่งพาสื่อสังคมออนไลน์เพื่อติดตามข่าวสาร หรือแม้แต่ใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารเพียงช่องทางเดียวได้เลย เพราะหากช่องทางนี้ถูกปิดขึ้นมา เราอาจจะขาดการติดต่อ ‘กับคนที่เราห่วงใย’ แบบที่มาร์ก ซักเกอร์เบิร์กบอกไว้ก็เป็นได้
ขณะเดียวกัน หากเราทราบแล้วว่าเราใช้บัญชีเฟซบุ๊กเพียงบัญชีเดียวในการผูกบัญชีเพื่อเข้าใช้งานบริการอื่น ๆ ผู้เขียนก็ขอแนะนำให้เชื่อมต่อกับบัญชีสำรองที่ไม่ใช่บัญชีเฟซบุ๊กเผื่อเอาไว้ เพื่อให้เรายังสามารถเข้าใช้งานบริการเหล่านั้นได้หากเกิดเหตุการณ์เฟซบุ๊กล่มขึ้นอีกครั้ง
โดยสรุปแล้ว เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็ได้สร้างบทเรียนให้คนหลายฝ่ายเลยทีเดียว สำหรับวิศวกรของเฟซบุ๊กก็แทบจะต้องรื้อระบบรักษาความปลอดภัยกันใหม่ ว่าทำไมถึงปล่อยให้โค้ดที่ทำให้เกิดอันตรายทั้งระบบเริ่มทำงานได้ง่ายมากขนาดนี้ ในขณะเดียวกันผู้ใช้เองก็น่าจะได้ตั้งคำถามกับตัวเองไปด้วยว่า
“เราพึ่งพาเฟซบุ๊กมากเกินไปหรือเปล่า ?”
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/world-news/news-775242
https://finance.yahoo.com/quote/FB/chart