เรื่อง : วีรนันท์ กมลแมน
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
มองวรรณกรรมเพื่อชีวิตไทยและการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยผ่านแนวคิดอัตถิภาวนิยม
ศรีบูรพาแต่งเรื่องสั้น “จนกว่าเราจะพบกันอีก” ขึ้นราว ๆ ปี พ.ศ. 2490 โดยถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างโกเมศหนุ่มชนชั้นสูงชาวไทยที่ถูกพ่อส่งไปดัดนิสัยที่ประเทศออสเตรเลีย กับโดโรทีหญิงสาวชาวออสเตรเลียผู้สนใจในความคิดของมิตรต่างบ้านต่างเมืองผู้นี้ ทั้งคู่พบกันระหว่างออกไปท่องเที่ยวนอกเมืองช่วงวันหยุด ความสัมพันธ์ของทั้งสองดำเนินไปผ่านการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แนวคิดของโกเมศสะท้อนการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศไทยผ่านมุมมองความต้องการเรียกร้องความยุติธรรม ประชาธิปไตย และเสรีภาพให้เกิดขึ้นภายในประเทศของเขา โดยโดโรทีและผู้อ่านจะได้เข้าไปเป็นพยานในกระบวนการค้นหาตัวตนและความหมายในชีวิตของโกเมศ ซึ่งสอดแทรกแนวคิดของสำนักทางวรรณกรรมอันพึ่งเริ่มก่อร่างสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยอย่างเต็มเปี่ยม กระทั่ง “จนกว่าเราจะพบกันอีก” ได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นสายของกระแสนิยาย ‘เพื่อชีวิตไทย’ ที่ไหลเชี่ยวมาจนถึงปัจจุบัน
นิยายเพื่อชีวิตไทย
หนังสือ “สายธารวรรณกรรมเพื่อชีวิตของไทย” โดย เสถียร จันทิมาธร ที่เผยแพร่ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2525 กล่าวไว้ว่า วรรณกรรมและศิลปะในประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2493 ได้รับอิทธิพลจากสำนักวัฒนธรรมทางวรรณกรรม ซึ่งพวกเขายกย่องงานวรรณกรรมประเภทนวนิยายชีวิตครอบครัวที่แฝงความเทิดทูนยกย่องระบบศักดินา และความฝันว่าจะต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับชีวิตสุขสบายแบบวิถีชีวิตชนชั้นสูง วรรณกรรมส่วนใหญ่ถูกผูกขาดไว้กับเหล่าชนชั้นบน
ทว่าศรีบูรพาและนักหนังสือพิมพ์อีกหลายท่านในยุคสมัยนั้นกลับเสนอความคิดที่ต่างออกไปจากรูปแบบวรรณกรรมที่ถูกยกย่องมาแต่เดิม โดยเริ่มตั้งคำถามถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ และจุดประสงค์ของการทำงานศิลปะขึ้น
ตอนนี้เองที่สังคมไทยเกิดการต่อสู้กันทางศิลปะและวรรณคดีในประเด็นการตั้งคำถามว่า ศิลปะนั้นมีขึ้นเพื่อ “ศิลปเพื่อศิลป” หรือ “ศิลปเพื่อชีวิต” นำไปสู่การแตกขั้วทางความคิดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและถูกนับว่าว่าเป็นยุคแห่งความปั่นป่วนในวงการวรรณกรรมและสังคมไทย
“ศิลปเพื่อศิลป” เป็นแนวคิดที่ยกให้ศิลปะเป็นสิ่งสูงส่ง เกิดขึ้นมาจากจินตนาการและอารมณ์ที่บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง ขณะที่ “ศิลปเพื่อชีวิต” ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าวโดยเสนอว่า ศิลปะเกิดมาจากชีวิตของมนุษย์ มีความสัมพันธ์กับสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และดำรงอยู่โดยมีชีวิตมนุษย์เป็นพื้นฐานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นบริบทโดยรอบของงานเขียน “จนกว่าเราจะพบกันอีก” และตัวผู้เขียนศรีบูรพา จึงเป็นช่วงเวลาที่เกิดการปะทะกันระหว่างแนวคิดแบบดั้งเดิมและแนวคิดแบบใหม่ที่พยายามเข้ามาหักล้างสิ่งเดิมเพื่อให้เกิดความเปิดกว้างในการแสวงหาและสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะและวรรณกรรม ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนถึงความต้องการการเปิดกว้างทางเสรีภาพในชีวิตของผู้คนในสังคม และความต้องการปฏิเสธคุณค่าเดิมอย่างระบอบศักดินาอีกด้วย
ทั้งนี้ “จนกว่าเราจะพบกันอีก” ได้รับการยกย่องว่าเป็นสายธารแห่งวรรณกรรมเพื่อชีวิตก็เพราะเนื้อหามีการสะท้อนความคิดและวิถีชีวิตที่สอดแทรกบริบทสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างแยกไม่ขาด รวมถึงเป็นการทำลายลงของความคิดความเชื่อแบบเก่า ๆ เพื่อแสวงหาความหมายใหม่ในการมีชีวิตอยู่ของตัวละครหลักอย่างโกเมศ
มองผ่านแว่นอัตถิภาวนิยม
แม้วิธีการนำเสนอของนักเขียนอาจแสดงให้เห็นว่ามีความคล้ายคลึงกับวิธีเขียนในยุคศวรรษที่ 19 อยู่มาก ที่ส่วนใหญ่จะเป็นงานเขียนแนวเขียนสะท้อนชีวิตของคนยากไร้ในเชิงการสั่งสอนให้ข้อคิดถึงความยุติธรรม
ทว่า “จนกว่าเราจะพบกันอีก” มีองค์ประกอบที่สะท้อนแนวคิดจากยุคโมเดิร์นอย่างแนวคิด “อัตถิภาวนิยม” (Existentialism) หรือแนวคิดที่ว่าชีวิตนั้นไม่ได้มีความหมายดั้งเดิม แต่ตัวเราเองคือผู้สร้างความหมายให้กับชีวิต ซึ่งถูกสอดแทรกไว้เป็นสาระสำคัญของเรื่อง
เนื่องจากบริบททางสังคมที่แวดล้อมนิยายเรื่องนี้ เป็นช่วงเวลาของสงครามและการปฏิวัติในไทยที่คุณค่าเดิมเริ่มเสื่อมสลายและผู้คนค้นหาความหมายใหม่ในชีวิตของตนเอง อย่างการออกมาพูดถึงจุดประสงค์ใหม่ของศิลปะ และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรมนอกเหนือจากรูปแบบ “เจ้าว่างามก็ว่างามตามเจ้า”
ดังนั้นทางเลือกของนักเขียนอย่างศรีบูรพาที่เล่าเรื่องตัวละครที่พยายามสลัดคุณค่าเก่าทิ้งและค้นหาความหมายของชีวิตใหม่ด้วยตัวเองในสถานที่แปลกหูแปลกตา จึงสะท้อนลักษณะสภาพสังคมที่กำลังพยายามก้าวข้ามค่านิยมเก่า ๆ เช่นเดียวกับยุคโมเดิร์นอันเป็นยุคที่คุณค่าเดิมพังทลายลงจากผลกระทบของสงครามครั้งใหญ่อย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนนำไปสู่แนวคิด “อัตถิภาวนิยม”
ดังที่ศิลปะเพื่อชีวิตไทยก่อกำเนิดขึ้นมาปฏิเสธและวิพากษ์แนวคิด “ศิลปเพื่อศิลป” ที่มีมาแต่เดิม เพื่อนำเสนอความเชื่อของตน
โกเมศ: ชาวต่างชาติ คนแปลกหน้า คนนอก สู่การค้นพบความหมายในชีวิตอันสอดคล้องกับพลวัตของสังคมไทยในยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
โกเมศผู้เคยมีชีวิตสุขสบายในฐานะชนชั้นสูงในสังคมไทยปะทะเข้ากับภาวะความโดดเดี่ยวแปลกแย กเมื่อต้องไปอยู่ประเทศออสเตรเลีย การเป็นชาวต่างชาติทำให้โกเมศเข้ากันไม่ได้กับวัฒนธรรมและสังคมใหม่ที่ขัดแย้งกับวิถีชีวิตเดิมของเขา คนส่วนใหญ่ที่ออสเตรเลียไม่มีใครได้ใช้ชีวิตสุขสบายโดยไม่ต้องทำงานอย่างชนชั้นสูงในประเทศไทย สิ่งนี้ทำให้โกเมศกลายเป็นคนแปลกหน้ากับทุกคนที่เจอเพราะไม่อาจสร้างความสัมพันธ์แบบที่เคยทำในไทยกับคนที่นี่ได้ ซึ่งสภาวะนี้มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของเมอโซ จากนวนิยายชื่อดังเรื่อง “คนนอก” ของ อัลแบร์ การ์มูร์ นักเขียนชื่อดังในยุคโมเดิร์น
ทั้งโกเมศและเมอโซเป็นสองตัวละครที่ถูกยัดเยียดคุณค่าที่สังคมคิดว่าควรจะเป็นให้กับพวกเขา ทั้งที่ตัวตนที่แท้จริงของเขาเองยังไม่ได้ค้นพบคุณค่าหรือความหมายที่ต้องการจะยึดถือด้วยตัวเองจริง ๆ เมอโซไม่ได้มีชุดความคิดที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานทางศีลธรรมใต้กรอบของศาสนาคริสต์ ที่คาดหวังให้เขาต้องแสดงความเสียใจที่แม่เสียชีวิต หรือรู้สึกผิดบาปที่ฆ่าคน ในทางเดียวกันโกเมศก็ถูกปลูกฝังโดยการเลี้ยงดูว่าเขาควรจะใช้ชีวิตตามวิถีของสังคมชนชั้นสูง ต้องเที่ยวเล่นอยู่ในหมู่คนชนชั้นเดียวกัน แล้วถึงจุดหนึ่งก็ขึ้นรับช่วงต่ออำนาจของพ่อตัวเอง โดยไม่ได้มีโอกาสค้นหาคุณค่าในการมีชีวิตอยู่ของเขาด้วยตัวเอง
ในตอนที่โกเมศต้องไปอยู่ในสังคมใหม่ที่ไม่ได้มีค่านิยมแบบเดิม ความโดดเดี่ยวที่ความเชื่อแบบเดิมถูกพังทลายลงทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามว่าคุณค่าของชีวิตคืออะไร และชีวิตที่ผ่านมามีคุณค่าอะไรสำหรับเขา ซึ่งนำไปสู่ปัญหาที่ว่า “อะไรเล่าที่ประกอบเป็นคุณค่าของชีวิต” และเพราะเขาไม่อาจค้นหาความหมายในการใช้ชีวิตแบบเดิมได้ โกเมศจึงพบกับการดิ้นรนอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ทุกคน (Man’s perpetual struggle) ที่ปรารถนาอยากรู้จะความหมายและคุณค่าของการมีชีวิต
ท้ายที่สุดจากการค้นพบและชี้นำของผู้คนใหม่ ๆ โกเมศเลือกจะอุทิศชีวิตของเขาให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มคนชนชั้นล่างในประเทศบ้านเกิดให้ได้รับความเท่าเทียมในการมีชีวิต แม้ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะดูขัดแย้งกับแนวคิดยุคโมเดิร์นที่คิดว่าการเสียสละเพื่อชาตินั้นไม่มีความหมาย รวมถึงไม่ได้เป็นการคิดว่าชีวิตไม่ได้มีความหมายอะไรตั้งแต่แรกตามแนวคิดของอัตถิภาวนิยม
ทว่าการปฏิเสธคุณค่าเก่าที่กำลังเสื่อมลงด้วยเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงในสังคม และหันไปยึดมั่นใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ตามสิ่งที่ตัวเองเลือก รวมถึงแบกรับผลกระทบของมัน ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดอัตถิภาวนิยมที่แฝงอยู่ในตัวละครและผู้เขียนอย่างชัดเจน
ท้ายที่สุดโกเมศเลือกปฏิเสธมรดกและต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมภายใต้บริบทของสังคมไทยในสมัยนั้น ที่ถึงแม้จะเริ่มมีการวิพากษ์ชนชั้นสูงที่เอารัดเอาเปรียบชนชั้นล่าง แต่อำนาจศักดินาก็ยังเข้มข้น แม้จะลำบากโกเมศก็ยังเลือกจะทำเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นตามที่เขาตั้งมั่นไว้ให้เป็นความหมายของชีวิตเขา ซึ่งเป็นภาระที่ต้องแบกรับเมื่อต้องการแสวงหาอิสระภาพในการตามหาความหมายด้วยตนเอง
ดำรงอยู่ในทุกการเปลี่ยนผ่านของมนุษย์
“จนกว่าเราจะพบกันอีก” ได้รับการยกย่องและถูกหยิบมาใช้เป็นสารในการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในไทยเสมอมา และยังเป็นสิ่งสะท้อนอัตถิภาวนิยมที่แฝงอยู่ในการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงคุณค่าแบบศักดินาที่ครองอำนาจในสังคมไทยมายาวนานตั้งแต่ยุคบุกเบิก ด้วยเนื้อหาที่วิพากษ์ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายของชนชั้นสูง ปลุกกำลังใจให้ผู้คนเห็นว่าสิ่งที่กดทับพวกเขาอยู่นั้นไม่ใช่คุณค่าอันเป็นข้อเท็จจริงที่ขัดขืนไม่ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความพยายามที่จะแสวงหาความหมายเพื่อการดำรงอยู่ด้วยความตั้งใจของตนเอง หรืออัตถิภาวะนิยมเป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในทุกการล่มสลายและก่อกำเนิดขึ้นใหม่ของทุกคุณค่าในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์