เขียน: กวินทัต สวัสดิ์นพรัตน์

ร้านค้ามธ.ชี้คนละครึ่งช่วยเพิ่มยอดขายร้านค้า เหตุลูกค้ามีกำลังซื้อมากขึ้น เพราะรัฐบาลช่วยจ่ายให้ประชาชน แนะโครงการเหมาะสำหรับกระตุ้นระยะสั้น แต่ระยะยาวควรสร้างงานที่มั่นคงมากกว่าการแจกเงินประชาชน
จำเริญ จันทร์ประภา ผู้ขายผลไม้ในโรงอาหารกรีนแคนทีน มธ.กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัสที่เปิดให้ประชาชนใช้บริการเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม เป็นวันแรกทำให้ยอดขายของร้านค้าเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 30 จากปกติวันละ 1,000 บาท เพิ่มขึ้นเป็น 1,300 บาท สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าโครงการทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายสินค้าและบริการร่วมกับรัฐบาล
“พ่อค้าก็ต้องซื้อของเพิ่มขึ้น เพราะคนละครึ่งทำให้ลูกค้ามีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น อย่างเราเคยซื้อฝรั่งลังเดียว พอมีคนละครึ่ง เราก็ซื้อฝรั่งสองลัง ฉะนั้นไม่ใช่แค่พ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับประโยชน์ ชาวสวนต้นทางเขาก็จะได้ด้วยเช่นกัน เพราะโครงการมันทำให้คนสามารถซื้อได้เพิ่มมากขึ้น กระตุ้นเศรษฐกิจได้ในทุกๆ ภาคส่วน” จำเริญกล่าว
จำเริญกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการคนละครึ่งพลัสตอบโจทย์สำหรับการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในระยะสั้น แต่อาจไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว เพราะรัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณที่จัดสรรไว้เพื่อใช้บริหารมาร่วมจ่ายกับประชาชน ดังนั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว รัฐบาลควรมีแผนการรองรับที่ชัดเจนและทำได้จริงมากกว่า
“รัฐบาลแจกเงินแค่ 2,000 กว่าบาท แล้วมีคนลงทะเบียนเกือบ 20 ล้านคน เท่ากับว่าเงิน 2,000 บาท มีความสำคัญกับคนถึง 20 ล้านคนมากขนาดนี้ เราควรที่จะสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประชาชน มีความมั่นคง เพื่อให้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว” จำเริญกล่าว
ด้านสรินทิพย์ พุ่มขจร แม่ค้าขายเสื้อผ้าตลาดนัดบริเวณคลองสาม จังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัสเป็นโครงการที่ผู้ขายจำเป็นต้องลงทะเบียนในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เนื่องจากสินค้าบางอย่างอาจขายไม่ได้ แต่เมื่อมีคนละครึ่งเข้ามา ทำให้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น ยอดขายของร้านค้าก็จะเพิ่มขึ้น แต่ยังมีข้อกังวลในเรื่องผลกระทบย้อนหลังที่จะตามมา ซึ่งส่งผลให้ผู้ขายหลายคนเลือกที่จะไม่ลงทะเบียน
สรินทิพย์กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ขายกังวลคือการโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากรัฐบาล แม้ในรอบนี้จะมีการยืนยันจากรัฐบาลว่าจะไม่มีการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากร้านค้าที่ลงทะเบียน แต่ผู้ขายที่เคยโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังในโครงการคนละครึ่งรอบแรก เมื่อปี 2563 ก็เลือกที่จะไม่ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งพลัสครั้งนี้ เพราะหากมีรายรับเพิ่มขึ้นจนถึงเกณฑ์ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) และยื่นแบบจดทะเบียนภาษีรายเดือน แต่ร้านไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนภาษีในเดือนนั้น ก็จะโดนเก็บภาษีย้อนหลังในช่วงสิ้นปี
“เรามีเพื่อนที่เคยลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งในรอบก่อน แต่เลือกที่จะไม่ลงรอบนี้ เพราะร้านค้ามีรายรับในหนึ่งวันมากถึง 10,000 บาทในช่วงระหว่างโครงการ พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ไม่ตรวจสอบว่าตัวเองต้องเสียภาษีตามปริมาณรายรับที่เพิ่มขึ้น จึงละเลยการเสียภาษี ทำให้โดนเก็บภาษีย้อนหลัง 40,000 หรือ 50,000 บาท มากกว่ารายรับที่ตัวเองควรได้รับ” สรินทิพย์กล่าว
สรินทิพย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ขายที่เลือกไม่ลงทะเบียนโครงการ อาจเป็นเพราะขั้นตอนการลงทะเบียนของร้านค้าที่ยุ่งยาก เพราะร้านค้าที่เคยลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเมื่อปี 2563 กลับไม่ถูกบันทึกข้อมูลไว้ในการลงทะเบียนครั้งใหม่ ผู้ขายจำเป็นต้องนำเอกสารที่ผ่านการยืนยันการเป็นเจ้าของร้านค้าจากหน่วยงานราชการ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล ผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน ไปยืนยันการเข้าร่วมโครงการที่ธนาคารด้วยตัวเอง ไม่สามารถทำในระบบออนไลน์ได้ ซึ่งความซับซ้อนของขั้นตอนดังกล่าว ทำให้ร้านค้าเสียโอกาสสำหรับการค้าขายในแต่ละวัน ดังนั้นหากมีเฟสต่อไป ควรลดขั้นตอนการลงทะเบียน










