เรื่องและภาพ : กัญญาภัค วุฒิรักขจร
Dream Hunter ปฏิบัติการล่าเงินแสน ต่อยอดฝัน วัยรุ่นเจน Z
“สวัสดีค่ะ ชื่อตันหยง เสาชัย ตอนนี้อยู่ปี 4 เรียนเอกฟิล์ม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ค่ะ ไปเวิร์คแอนด์ทราเวลที่เมืองเฟรสโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา”
หลังจากห่าฝนซัดสาดในช่วงเที่ยงของวันพฤหัส เราเดินเอื่อย ๆ มายังร้านกาแฟใกล้คณะตามที่นัดไว้กับเพื่อนคนหนึ่ง
“ตันหยง” กำลังนั่งอยู่กลางร้านกาแฟที่มีเสียงดนตรีคลอเคล้ารื่นหู พร้อมกับโกโก้ที่พร่องไปกว่าครึ่งแก้ว
ช่วงพฤษภาคม ปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของมหาวิทยาลัย เธอได้มีโอกาสไปเวิร์คแอนด์ทราเวล ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
มีเรื่องราวน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นมากมายระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาเกือบ 4 เดือน วันนี้วารสารเพรส จึงชวนเธอมาคุยถึงประสบการณ์การออกเดินทางล่าเงินหลักแสนเพื่อต่อยอดความฝันของเธอ
แต่ก่อนจะเริ่มบทสนทนา พวกเราตัดสินใจย้ายไปนั่งคุยกันบริเวณโซนเอาท์ดอร์เพื่อไม่ให้บทสนทนาไปรบกวนลูกค้าคนอื่นในร้าน ซึ่งพวกเขาดูจริงจังกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบเป็นอย่างยิ่ง
ก็แน่ล่ะ อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ของการสอบกลางภาค ถ้าไม่จริงจังตอนนี้ก็ไม่รู้จะจริงจังตอนไหนแล้ว
หลังจากเราเลือกที่นั่งเหมาะ ๆ ได้ โปรแกรมบันทึกเสียงก็ถูกกดอัด เพื่อบันทึกบทสนทนากว่า 1 ชั่วโมงเอาไว้
อะไรทำให้ตัดสินใจไปเวิร์คแอนด์ทราเวล
ย้อนกลับไปตอนปีหนึ่งจะขึ้นไปสอง อยู่ดี ๆ ก็นึกขึ้นมาว่าตอนปี 4 เราจะทำหนังธีสิส (โปรเจคการสร้างภาพยนตร์เพื่อจบการศึกษาด้านภาพยนตร์) แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่าย ถ้าทำคนเดียวมันประมาณหนึ่งแสน จะทำยังไงให้หาเงินหนึ่งแสนได้ แล้วก็ปิ๊ง! “เวิร์คแอนด์ทราเวลเว้ย ไปเพื่อทำงานชัวร์ ๆ”
เรื่องของเรื่องคือได้ยินเรื่องเวิร์คแอนด์ทราเวลมานานแล้ว แต่ก็คิดว่าเราคงไม่มีโอกาสได้ไปหรอก เพราะว่าค่าไปมันแพงมาก ค่าใช้จ่ายโดยรวมประมาณแสนห้า พ่อแม่เราไม่มีทางมีเงินแน่นอน ไม่-มี-ทาง-เลย! (ย้ำ)
แต่อยู่ดี ๆ วันหนึ่งออกไปวิ่ง แล้วรู้สึกว่า “เอาวะเดี๋ยวลองไปถามอาดู” ซึ่งอาเรามีแฟนแต่ไม่มีลูก แล้วเขาก็มีงานที่มั่นคง คิดว่าเขาคงช่วยได้ เลยตัดสินใจลองโทรไปถามดูว่า จะเอาเงินมาทำธีสิส เขาก็คุยกับเราแปปหนึ่งแล้วบอกว่า เออ ไปสิ
(ตาลุกวาว เป็นประกาย)
จริง ๆ เรามีความฝันอยากไปต่างประเทศมาตลอด สอบชิงทุน AFS มาแต่ไหนแต่ไร สอบมาสองรอบปีแรกเลือกไปอเมริกา ปีที่สองเลือกไปเยอรมัน สอบผ่านจนติดรอบสัมภาษณ์ทั้งสองรอบแล้วก็ตก ไม่ได้ไป เพราะสอบสัมภาษณ์มันยากนั่นแหละ แล้วพอเป็นทุนฟรีอะไร ๆ มันก็ยาก (ลากเสียงยาว) พอรู้ว่าจะได้เวิร์คจริง ๆ ก็เลยรู้สึกดีใจมาก
ขอย้อนกลับมาถามเรื่องธีสิส ได้หาข้อมูลก่อนหน้านี้ว่าปกติเขาทำธีสิสกัน เขาจ่ายกันประมาณเท่าไหร่
เคย แต่ไม่ได้เจาะจงรายบุคคล มีถามเพื่อนว่า “เออมึง ๆ รู้ป่ะว่ากองนั้น (กองถ่ายหนังธีสิส) เขาใช้เงินประมาณเท่าไหร่” “อ๋อ ประมาณห้าหมื่น แปดหมื่น แสนนึง” ประมาณนี้ แล้วเราเคยทำช่วย 2 (ผู้ช่วยผู้กำกับ 2) ที่กองธีสิส ก็พอรู้มาบ้างว่า เงินตั้งต้นอาจจะห้าหมื่น แต่เกิดกรณีฉุกเฉิน บัดเจทก็แตกไปหกหมื่น เจ็ดหมื่น แปดหมื่น หนึ่งแสนก็ได้
ตันหยงตอนทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับ
เราเลยตั้งงบเอาให้คล่องตัว คิดไปกลม ๆ ว่าหนึ่งแสน ซึ่งหนึ่งแสนนี้ก็รวมสำรองในกรณีฉุกเฉินไว้แล้ว ตอนที่คุยกับอา เขาถามด้วยนะว่าให้เลือก 2 อย่าง ระหว่างหนึ่ง ไปเวิร์คแอนด์ทราเวล ไปเก็บเงินมาทำธีสิส หรือสอง ไม่ต้องไปแล้ว อยู่นี่แหละ แล้วเดี๋ยวธีสิสจะเอาเท่าไหร่ก็บอกมา
เราก็อยากทำงานให้ได้เงินมาเองน่ะนะ แล้วตอนนั้นก็คิดด้วยว่าถ้าได้มาแล้วก็จะคืน(ค่าโครงการ)ทั้งหมด แล้วที่เหลือเราค่อยเอาไปทำธีสิส
อย่างนี้แสดงว่าเงินที่ได้ก็มากพอที่จะคืนคุณอาและจ่ายค่าทำธีสิสใช่ไหม?
ได้กลับมาประมาณสองแสนกว่าบาท แล้วตอนนี้ไม่ต้องทำธีสิสคนเดียวแล้ว เพราะมีเพื่อนทำด้วยกันอีก 2 คน รวมเป็น 3 คน ช่วยกันออกเงินคนละสามหมื่นห้า แต่งบตั้งต้นอยู่ที่เจ็ดหมื่นห้า ส่วนที่เหลือเอาไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน
ส่วนที่บอกว่าจะคืนอาก็ไม่ได้คืน เพราะเขาไม่เอาคืน เราบอกเขาแล้วว่า “เดี๋ยวโอนคืนให้นะคะ หนึ่งแสน” เขาก็บอกว่า “ไม่ต้องหรอก เก็บไว้เถอะ”
แล้วฝั่งพ่อแม่โอเคไหมตอนที่บอกว่าจะไป
พ่อแม่ say yes ถึงเขาไม่ say yes เราก็รู้สึกว่าเขาไม่มีสิทธิ (ไม่ให้ไป) อยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้จ่าย และเราก็อายุ 20 บรรลุนิติภาวะแล้ว
แล้วเลือกเอเจนซีเวิร์คแอนด์ทราเวลยังไง
เราทำการบ้านประมาณไม่ถึงอาทิตย์ก็สมัครเลย เร็วมาก ทุกอย่างมันปุบปับ
อย่างแรกคือดูแต่ละเอเจนซี่ว่าที่ไหนเป็นยังไง ซึ่งเราจะเลือกแต่เอเจนซีที่มีชื่อ แล้วต้องไม่มีชื่อเสีย เท่านั้น (ย้ำคำโต) คือจะเทียบกันทันทีว่าถ้ามีชื่อเสียปุ๊บไม่เลือกละ เพราะว่ามันน่ากลัวมาก ถ้าเราไปถึง เอาเท้าเหยียบอเมริกาปุ๊บ เขา (เอเจนซี) เทเราขึ้นมา ทำอะไรไม่ได้นะ เราก็เลยเลือกแต่เอเจนซีมีชื่อ เพราะอย่างน้อย ถ้าเขาเทเรา เราก็จะได้ด่าให้สมใจอย่างแรกคือดูแต่ละเอเจนซีที่ไหนเป็นยังไง ซึ่งตอนนั้นเอเจนซีเราเลือกไว้ก็มีประมาณ 2 ที่ แล้วเราก็ตัดสินใจเลือกไปกับเอเจนซีหนึ่ง (สงวนนาม) ก็รีบสมัครไปภายในไม่กี่วัน เพราะว่ามันรีบ มันตื่นเต้นตอนนั้น มันมีไฟมาก อยากไปล่าฝัน
เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย จ่ายเงินค่าโครงการยังไง
ระบบการจ่ายเงินของเอเจนซีนี้ จะแบ่งเป็นงวด ๆ หลายงวด ตอนแรกเสียค่าสมัครก่อนประมาณสามพันห้า แล้วถ้าสมัครเสร็จ ภายใน 10 วันก็จ่ายเงินงวดที่หนึ่ง แล้วหลังจากจ่ายงวดที่หนึ่งแล้ว ถ้าได้สิทธิ์สัมภาษณ์งานก็จ่ายงวดที่สอง แล้วถ้าสัมภาษณ์งานเสร็จ ไปสัมภาษณ์วีซ่าผ่านก็จ่ายงวดที่สาม
เล่าประสบการณ์การบินไปล่าขุมทรัพย์ให้ฟังหน่อย
เราไปทำงานที่เฟรสโน ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ตอนบนของแคลิฟอร์เนีย ถ้าเป็นตัวเมืองจะร้อนเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าที่ทำงานเนี่ย (เฟรสโน) อยู่บนเขา มันหนาว
นี่คือการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต ครั้งแรกก็ออกต่างประเทศเลย ตอนนั้นช่วงที่จะบินเป็นช่วงสอบ เราสอบช้ามาก สอบเสร็จวันที่ 23 (พฤษภาคม) เก็บกระเป๋าบินวันที่ 25 นั่งเครื่องจากกรุงเทพ-สุวรรณภูมิไปต่อเครื่องที่นาริตะ ประเทศญี่ปุ่น แล้วจากนาริตะ ไปลงที่ซานดิเอโก (เมืองในรัฐแคลิฟอร์เนียใต้) จากนั้นก็นั่งจากซานดิเอโกไปลงที่เฟรสโน ซึ่งระหว่างซานดิเอโกไปเฟรสโนเนี่ย ก็มีพักเครื่องที่ฟีนิกซ์ (เมืองในรัฐแอริโซนา)
ความสนุกของเรามันมาตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินเลยแหละ ตอนต่อไฟลท์จากซานดิเอโกไปต่อไฟลท์ในประเทศ มันมีเวลาเปลี่ยนเครื่องประมาณหนึ่งชั่วโมง ซึ่งน้อยมาก เพราะว่าเราต้องรอกระเป๋า เข้าตม.อีก เวลามันน้อยมาก แต่เราทำมันสำเร็จ
แต่ความซวยคือ ตอนโหลดกระเป๋าหน้าเคาน์เตอร์เนี่ย เหมือนทุกคนรีบ (เจ้าหน้าที่) เขาช่วยเราก็รีบมาก แล้วเราไม่ได้เช็ค ไม่ได้ดูอะไร เราไม่ได้รับใบเสร็จโหลดกระเป๋า นี่คือหนึ่ง สองคือจากซานดิเอโกบินไปฟีนิกซ์ มันต้องนั่งเครื่องในประเทศต่อเพราะไม่มีบินตรง (ไปเมืองเฟรสโน) ซึ่งจากฟีนิกซ์ไปเฟรสโนเนี่ย มันมีเวลาต่อเครื่อง 4 ชั่วโมง
“เหนื่อยมากเลยว่ะ เดินทางมา 20 กว่าชั่วโมง อ่ะหลับหน้าเกตละกัน”
ในหัวคิดแบบนั้นแล้วก็นอน ซึ่งนอนแบบไม่ตั้งนาฬิกาปลุกด้วย!!
อ้าว
กลัวว่าเสียงนาฬิกาปลุกมันจะดังรบกวนคนอื่นไง
แล้วยังไงต่อ
เรานอนอยู่ ก็เหมือนมีอะไรดลใจให้ตื่นขึ้นมา สมมุติว่าเครื่องออกสัก 16.00 น. เราตื่นมา 16.02 น. แล้วก็เดินไปหาเจ้าหน้าที่ ถามว่า “เครื่องออกไปรึยังคะ” แล้วเครื่องบินที่อยู่ข้างหน้าคือเหมือน ฟิ้ววว (ทำท่าเครื่องบินบินออกไป) เหมือนคุณนั่งก้มหน้ารอรถเมล์อยู่แล้ว แล้วคุณเงยหน้าขึ้นมา รถเมล์ที่คุณจะขึ้นมันขับออกไปอ่ะ เออ คือมันทำอะไรไม่ได้แล้ว
(ช็อก)
ตอนนั้นใจหายมาก เพราะขึ้นเครื่องบินครั้งแรก เราไม่รู้ระบบอะไรเลย แล้วตกเครื่อง “ตกเครื่องแล้วยังไงต่อ? ต้องทำยังไง?” ก็ไปหาพนักงานบริการลูกค้าซึ่งเขาก็น่าจะรู้ว่าเราเป็นเด็ก ภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้แข็งแรงมาก ดูน่าสงสาร เขาก็บอกให้ไปรอไฟลท์นี้นะ มันเป็นตั๋วที่นั่งสำรอง คือถ้าไม่มีใครนั่งเราจะได้นั่ง
แต่นั่นแหละ เราก็ไม่ได้นั่งเพราะว่ามันเต็ม ก็เลยกลับมาใหม่ พนักงานเขาก็เปลี่ยนไฟลท์ให้เป็นพรุ่งนี้ตอนเช้า ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่ม ทั้งที่ปกติการเปลี่ยนไฟลท์มันจะต้องเสียเงินเพิ่ม
แล้วกระเป๋าเดินทางล่ะ?
ตอนนั้นก็คิดแล้วว่าการที่เราเปลี่ยนไฟลท์แต่กระเป๋าเราไปกับไฟลท์เดิมมันจะเกิดอะไรขึ้นไหม
พอมาถึงเฟรสโน เราก็มีลางสังหรณ์ว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับกระเป๋าแน่ ๆ เลยเดินไปถามตรงแผนกบริการลูกค้าว่าเห็นกระเป๋าใบนี้ไหม เพราะเรามาผิดวันจากไฟลท์ของเรา แล้วเขาก็ให้ดู
มัน ไม่ มี กระเป๋า เรา!
โอเค เราก็ทำเรื่องว่ากระเป๋าหาย แล้วเขาก็ถามมาว่าเรามีใบเสร็จโหลดกระเป๋ามั้ย? เขาจะได้ตามจากเลขแท็กได้ ซึ่งเราไม่มี เขา (เจ้าหน้าที่สายการบิน) ไม่ได้ให้มา แล้วเราไม่รู้ว่ามันต้องมี
แล้วทำยังไง
รอสายการบินหากระเป๋าอยู่หลายวัน อีเมลด่ากันเป็นอาทิตย์ เราก็คิดว่าคงไม่ได้กระเป๋าแล้ว ของ 3 เดือนของเราอยู่ในกระเป๋านั้นหมดเลย พอดีตอนนั้นเรายังไม่ได้เริ่มงาน ยังมีเวลาว่างอยู่ แล้วช่วงสัปดาห์แรกมีเงินประมาณ 1000$ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 37,000 บาท
“งั้นเดี๋ยวเรานั่งรถเข้าเมืองไปร้านขายของ ซื้อของทุกอย่างใหม่”
พวกเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ถุงเท้า กางเกงในที่สากมาก ๆ แต่ก็ต้องซื้อ เสียเงินไปประมาณ 200$ กว่า ๆ ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็เกือบหมื่น
แล้วประมาณ 2 วันต่อมา กระเป๋าก็มาอยู่หน้าห้องเรา
โชคดีมากจริง ๆ ที่สายการบินตามหากระเป๋าให้จนเจอ
ใช่ คิดว่าโชคดีมากจริง ๆ
กลับมาที่การทำงานตันหยงไปทำงานอะไรที่นั่น
เราทำที่โรงแรม อยู่ในแผนก House Keeping แต่ตำแหน่งของเราชื่อ PA : Public Attendances มีหน้าที่ดูแลความสะอาดพื้นที่ส่วนรวมทั้งหมด เช่น บริเวณ Hallway, เคาน์เตอร์ตรงแผนกต้อนรับ, ห้องน้ำลูกค้า หรือห้องน้ำตรงแผนกต้อนรับ ซึ่งในแผนกจะมี PA แค่ 2 คน กะเช้ากับกะเย็น ซึ่งกะเช้าจะเข้างานเวลาหกโมงเช้าถึงบ่ายสองครึ่ง จะมีเวลาพักให้ประมาณ 30 นาที
ตันหยงขณะอยู่ในยูนิฟอร์ม
งานของเราจะสบายมาก เพราะเราจะมีลิสต์งานของตัวเองว่าจะต้องทำอะไร ซึ่งถ้าทำงานเสร็จก็สบายแล้ว เหลือแค่เดิน ๆ จับ ๆ เช็ด ๆ (ทำท่าจับ ๆ เช็ด ๆ ของ)
โดยปกติถ้าเข้ากะเช้าเราก็จะเริ่มด้วยการทำความสะอาดห้องน้ำตรงแผนกต้อนรับ จะเข็นรถเข็นที่ใส่อุปกรณ์ทำความสะอาดไปด้วย เพราะมันเป็นสถานที่ที่ลูกค้ามาใช้บ่อย เปลี่ยนทิชชู ล้างส้วมทั้งห้องน้ำหญิง ห้องน้ำชาย เปลี่ยนถุงขยะ ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงโดยประมาณ พอเสร็จแล้วก็ไปทำความสะอาดที่ห้องน้ำฝั่งตะวันตกกับฝั่งตะวันออก เช็ดลิฟท์ แล้วปิดท้ายด้วยการทำความสะอาดที่ห้องน้ำพนักงาน ซึ่งจะอยู่ชั้นใต้ดิน พอทำตรงนั้นเสร็จก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อย
ตันหยงกับรถเข็นใส่อุปกรณ์ทำความสะอาด เพื่อนคู่ใจเวลาปฏิบัติหน้าที่
แต่บางทีก็จะมีคนกริ๊ง ๆ เข้ามา (ทำท่าโทรศัพท์) เช่นว่ากระดาษทิชชู่ที่ห้องน้ำแผนกต้อนรับหมด เราก็ต้องเอาทิชชู่ไปเปลี่ยนให้
ค่าแรงเป็นยังไง
ช่วงแรกที่ทำจะได้ 16$ ต่อชั่วโมง (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 592 บาท) ทำงาน 8 ชั่วโมงก็จะได้ 128$ ต่อวัน (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,736 บาท) แต่ว่าพอหลังจากนั้นก็มีปรับค่าแรงเป็น 17$ ต่อชั่วโมง (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 629 บาท) บริษัทจ่ายค่าแรงเป็นสัปดาห์ ก็ได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 400$ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 14,800 บาท) ซึ่งที่รัฐแคลิฟอร์เนียมีกำหนดถ้าทำงานเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะต้องได้ค่าโอทีเพิ่ม
แต่ต้องบอกก่อนว่าที่แคลิฟอร์เนียค่าแรง 15$-18$ ถือเป็นค่าแรงเฉลี่ยปกติของที่นั่น
ระบบการเข้างานออกงานเป็นยังไง
ระบบการเข้า-ออกงานค่อนข้างจริงจังนะ สมมติมาก่อนเวลาเข้างาน จะแสกนนิ้วเข้าก่อนไม่ได้ หกโมงก็คือหกโมง หกโมงแล้วค่อยแสกน อีกอย่างคือการพักเบรกที่นี่จริงจังมาก เวลาเบรกต้องมาสแกนนิ้วเบรกเอาท์ แล้วพอหมดเวลาพักถึงค่อยไปแสกนนิ้วเบรกอินเข้าไปใหม่อีกที ถ้าแสกนนิ้วเบรกอินก่อนเวลา ระบบแสกนนิ้วมันจะขึ้นแจ้งเตือนว่ายังพักไม่ครบเวลาทีวางไว้
แจ้งเตือนการพักไม่ครบตามที่กำหนดเอาไว้ ต้องกลับมาสแกนนิ้วใหม่หลังเวลา 11:41 น.
มันมีกำหนดว่าการทำงาน 1 กะ จะต้องทำไม่เกิน 4 ชั่วโมง แล้วเบรก แล้วถึงค่อยเข้าไปทำใหม่ ถ้าสมมติเบรกเอาท์เกินเวลาไปก็จะได้เงินเพิ่มเป็น Premium Fee ซึ่งเขาก็จะขอร้องให้เราเข้าออกงานตรงเวลาที่กำหนดไว้
เคยได้ยินจากเพื่อนที่ทำงานแผนกห้องครัวบ่อยมากว่าถ้าสแกนนิ้วออกช้ากว่าที่กำหนดไว้แค่ 1 นาที เมเนเจอร์ที่ดูแลแผนกก็จะเรียกคุย ไม่ให้ทำอีก เพราะว่ามันคิดเป็นโอที บริษัทต้องจ่ายเงินเพิ่ม อะไรแบบนี้ อีกอย่างที่ดีมากของที่นี่คือ เวลาพักคือพัก จะไม่มีการเรียกไปใช้งานเด็ดขาด ต่อให้มัน (ภาระงานที่อยู่ในความรับผิดชอบของเรา) อยู่ข้าง ๆ เรา พักก็คือพัก
พนักงานมีสัญชาติอะไรบ้าง
ส่วนใหญ่ถ้าเป็นพนักงานประจำจะเป็นละติน เพราะแคลิฟอร์เนียติดกับเม็กซิโก ส่วนคนดำจะมีน้อยมาก 1-2 คน นอกจากนั้นก็จะเป็นคนอเมริกาหมด ส่วนพนักงานที่เป็นพวกเวิร์คก็จะมีคนไทยเป็นชนกลุ่มใหญ่ มีคนไต้หวัน 4-5 คน คนฟิลิปปินส์อีก 2 คน แล้วก็มีคนโคลัมเบียอีก 1 คน
แล้วด้วยความที่คนไทยคนฟิลิปปินส์วัฒนธรรมใกล้เคียงกัน เวลาคุยกันมันจะสนุกมาก ถึงแม้จะคุยกันเป็นภาษาอังกฤษก็ยังสนุกสุด ๆ คนไต้หวันเคยมาถามว่าพวกยูสนิทกันมาตั้งแต่ที่ไทยแล้วรึเปล่า เรียนโรงเรียนเดียวกันเหรอดูสนิทกันจัง
ก็ตอบเขาว่า “หึ! เปล่า ก็พึ่งรู้จักอาทิตย์ที่แล้วเนี่ย”
เจอคนเหยียดมั้ย?
ไม่ค่อยมีนะ ไม่ว่าจะเป็นจากลูกค้าหรือพนักงาน อย่างฝั่งพนักงานจะมีแค่คนเดียวที่เป็นเมเนเจอร์แผนกห้องครัว เป็นผู้หญิงอเมริกันผิวขาว เขาจะไม่ค่อยสุงสิงกับพวกละตินหรือเอเชียน เคยทักทายเขาไปว่า “Good Morning” ตามภาษาคนอารมณ์ดี เขาก็หน้านิ่ง ๆ ไม่ตอบอะไร จนมีป้าแม่บ้านละตินบอกว่า เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เขาก็ดูเหยียด ๆ นะ
ส่วนฝั่งลูกค้าก็ไม่เคยเจอ อาจจะเพราะเป็นโรงแรม 3 ดาว มันก็คัดเกรดลูกค้าที่มาใช้บริการประมาณหนึ่งแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ค่าที่พักคืนละประมาณ 500$ ก็แพงมาก คนที่มาเขาก็มีการศึกษาพอสมควร เขาก็ไม่ค่อยพูดอะไรแบบนั้นกัน ทุกคนไนซ์
ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนไหม?
ช่วงแรก ๆ ไม่ได้ออกไปไหนเพราะว่าเหนื่อย อยากพัก เราเดินทั้งวันเลยอยากนอนเฉย ๆ บ้าง ตื่นเช้ามาก็ซักผ้า ตากผ้า เสร็จแล้วก็นอนดูหนัง พอตกเย็นก็ปาร์ตี้ ปาร์ตี้กับคนที่ไปเวิร์คด้วยกัน
แต่พอหลัง ๆ เราเริ่มรู้เยอะแล้ว ก็จะไปเที่ยว ขึ้นไปเที่ยวที่ Yosemite เป็นอุทยานแห่งชาติของอเมริกา หรือไม่ก็ลงไปเที่ยวที่ Bass Lake ซึ่งเราก็ต้องขอให้ HR ขับรถพาไป
Yosemite National Park ถ่ายโดนตันหยง
ตันหยงที่ Yosemite
หรือบางทีเราไปในเมืองเพื่อซื้อของที่ร้านขายของ แต่ก็ไม่ค่อยได้เข้าไปบ่อย เพราะรอบรถบัสมีน้อย รอนาน ตารางเวลาก็ไม่แน่นอน
แล้วอาหารการกินล่ะ
ที่ทำงานจะมีโรงอาหารพนักงาน มีอาหารตั้งแต่เช้าจนถึงประมาณห้าโมงเย็น หรือถ้าไม่อยากกินอาหารที่โรงอาหารก็จะมีร้านพิซซ่าของโรงแรม ซึ่งต้องเสียเงินซื้อ ไม่อย่างนั้นก็ตุนมาม่าเอาไว้ สิ่งที่เราทำคือหลังเลิกงานก็เอาอาหารใส่กล่องกลับมากินที่ห้องพัก เพราะถ้าให้กินมาม่าบ่อย ๆ ก็ไม่ไหว
สรุปสิ่งที่ได้จากการไป นอกจากเงินหน่อย
นิสัยหนึ่งอย่างที่ติดมาจากการไปอยู่ที่อเมริกาคือ ติดการเช็กกล่องอีเมล ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ เพราะเหมือนว่าอยู่ที่นั่นเขาสื่อสารกันผ่านอีเมล อะไรแบบนี้
อีกอย่างคือเรื่องการแต่งตัว เมื่อก่อนจะแต่งตัวแบบที่คนอื่นมองแล้วรู้สึกโอเค เรียบร้อยหน่อย แต่พอไปอเมริกาไม่ว่าจะแต่งตัวแบบไหนก็จะมีแต่คนชม พอกลับมาก็รู้สึกมั่นใจ กล้าแต่งตัวมากขึ้น
การแต่งตัวของตันหยงหลังกลับมาจากอเมริกา