เขียน: ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร

อาจารย์คณะวิทย์ฯ มธ. ชี้กรีนซีเกมส์เป็นไปได้แต่ยาก เหตุการจัดแข่งกีฬาใช้พื้นที่หลายจังหวัดทำให้ควบคุมการจัดการยาก แนะหากต้องการลดค่าคาร์บอนควรกำหนดการวัดผลร่วมกัน 4 มิติ ทั้งด้านพลังงาน การเดินทาง การจัดการของเสีย และการชดเชยคาร์บอน
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม วนิดา ชูอักษร ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 โดยมีพันธกิจหลักคือการส่งเสริมการจัดงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมว่า การวัดผลการลดค่าคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) ในงานขนาดใหญ่ที่มีผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติเข้าร่วมงาน และมีการจัดงานในหลายพื้นที่ โดยมีกรุงเทพมหานคร ชลบุรี สงขลา เป็นจังหวัดหลักในการจัดการแข่งขัน และจังหวัดอื่นๆ เป็นไปได้แต่ยาก อีกทั้งช่วงเวลานี้ยังอยู่ในช่วงการโปรโมทงาน ยังไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะถึงมาตรการต่างๆ ในการลดค่าคาร์บอนจึงยังไม่เห็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
“การพิจารณาเรื่องนี้ต้องดูในทุกขั้นตอนตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน ระหว่างการจัดงานจนถึงช่วงสุดท้ายหลังจบงาน ว่ามีการจัดการหรือดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งทั้งหมดจะต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ มาตรการ หรือมาตรฐานที่กำหนดไว้แล้วโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ซึ่งก็คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกหรือ TGO ที่เป็นหน่วยงานกลางดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ” วนิดากล่าวและว่า การประเมินนี้ควรคำนึงถึงประเด็นหลักใน 4 มิติสำคัญ ได้แก่ พลังงาน การเดินทาง การจัดการของเสีย และการชดเชยคาร์บอน
วนิดากล่าวว่า มิติที่สำคัญคือมิติพลังงานและการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสในการลดสัดส่วนคาร์บอนได้มากที่สุด โดยด้านพลังงาน ผู้จัดงานควรใช้พลังงานสะอาดทดแทนพลังงานไฟฟ้าเดิม เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือปรับเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED เพื่อประหยัดพลังงาน พร้อมทั้งประเมินข้อมูลปริมาณการใช้ไฟฟ้ารวมถึงชั่วโมงการเปิดเครื่องปรับอากาศในระหว่างการจัดงาน ขณะที่มิติด้านการเดินทาง ควรให้ความสำคัญกับวิธีการขนส่งนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้เข้าชม โดยพิจารณาการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) นำส่งระหว่างสถานที่แข่งขันพร้อมจัดให้มีจุดชาร์จไฟฟ้าในพื้นที่รองรับ
วนิดากล่าวเพิ่มเติมว่าการประเมินผลกระทบทางอ้อมจากพฤติกรรมผู้เข้าชมเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมส่วนตัวของบุคคลในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลถึงการตัดสินใจเดินทาง จึงต้องอาศัยเครื่องมือในการเก็บข้อมูล เช่น แบบสอบถามหรือ แอปพลิเคชันสำหรับบันทึกข้อมูลการเดินทางและการบริโภคพลังงานของผู้ชม แนวทางดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้การประเมินผลมีความครอบคลุมมากขึ้น แต่ยังสร้างการมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอนในช่วงระหว่างการจัดการแข่งขัน โดยข้อมูลที่บันทึกจากผู้เข้าชมจะถูกนำมาคำนวณเป็นปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลังจบการแข่งขัน
อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. กล่าวว่า สำหรับมิติด้านการจัดการของเสียนั้น ของเสียหลักคือขยะพลาสติกกับขยะอาหาร (Food Waste) โดยการจัดการขยะพลาสติกควรมีมาตรการกำกับชัดเจนว่า ห้ามใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastic) และมีจุดเติมน้ำพร้อมจุดวางถังขยะสำหรับคัดแยกขยะอย่างชัดเจน
ขณะที่การจัดการขยะอาหารนั้น วนิดากล่าวเพิ่มเติมว่าจะยากกว่า เนื่องจากวัตถุดิบสำหรับทำอาหารของผู้เข้าแข่งขันแต่ละชาติมีความแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องมีการประเมินหรือคำนวณปริมาณวัตถุดิบให้พอดีและมีวิธีการรองรับหากมีอาหารเหลือ เช่น นำไปทำปุ๋ยหมัก หรือนำไปย่อยสลายกลายเป็นก๊าซชีวภาพ (Biogas) และการส่งต่ออาหารส่วนเกินผ่านระบบธนาคารอาหาร (Food Bank) โดยทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการควบคู่กับมาตรการด้านความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) เพื่อป้องกันการเน่าเสียก่อนส่งถึงผู้รับปลายทาง
วนิดากล่าวว่ามิติสุดท้ายคือการชดเชยคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อรักษาสถานะความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยสามารถทำได้ผ่านการซื้อคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิตที่ซื้อต้องมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และผ่านการรับรองจากองค์กร TGO นอกจากนี้การปลูกต้นไม้ก็เป็นอีกแนวทางสำคัญในการชดเชยคาร์บอน โดยต้นไม้ที่ปลูกควรได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีการประเมินปริมาณคาร์บอนที่ต้นไม้สามารถดูดซับได้ตลอดช่วงอายุการเติบโต
“เราต้องทำเป็นรายงานนำเสนอให้ชัดเจนแทนที่จะบอกว่ารักโลก คือบอกเป็นตัวเลขไปเลย เช่น ลดขยะได้กี่ตัน ลดการใช้ไฟฟ้าไปกี่กิโลวัตต์ ไม่ต้องพูดว่ารักโลก เพราะพอพูดว่ารักโลกมันดูแบบครอบคลุมทุกมิติ ทั้งที่จริงเราอาจเน้นเฉพาะมาตรการที่ทำได้จริงก่อน” วนิดากล่าว










