เขียน: ศิวะ พุ่มอรุณ

อาจารย์จิตวิทยาชี้การตัดจบช่วงการไว้อาลัยที่เร็วเกินไปมีโอกาสสร้างความรู้สึกผิดในใจให้ประชาชนบางกลุ่ม เพราะหากเหตุการณ์ไว้อาลัยผ่านไปสักระยะโดยที่ไม่ได้ทำอะไร อาจก่อให้เกิดภาวะความค้างคาทางอารมณ์ เสี่ยงนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต ชัชสรัญ อจลญา เต็งพงศธร ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาวิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มธ. กล่าวว่า การไว้ทุกข์หลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไม่ใช่การทำให้คนเศร้าโศกและซึมเศร้ามากขึ้น แต่เป็นการบรรเทาสิ่งที่อยู่ในใจมากกว่า ดังนั้นหากมีการตัดจบช่วงเวลาการไว้อาลัยที่รวดเร็วเกินไป ก็จะมีโอกาสสร้างความรู้สึกผิดในใจให้ประชาชนบางกลุ่มได้ และอาจทำให้บางคนเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า Unfinished Business หรือความค้างคาทางอารมณ์ เกิดเป็นความคิดที่ว่าทำไมตอนนั้นมีโอกาสไว้อาลัยได้แต่กลับไม่ทำ เพราะฉะนั้นหากมีอะไรที่ทำได้ ณ ขณะนั้นก็ควรจะทำ เพื่อป้องกันการเกิดความรู้สึกผิดในอนาคต
ชัชสรัญกล่าวต่อว่า ตามทฤษฎีแล้ว หลังเกิดการสูญเสียในระดับใหญ่เช่นนี้ ประชาชนจะรู้สึกตกใจอย่างรุนแรงก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ที่สำนักพระราชวังออกประกาศเมื่อสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงเสด็จสวรรคต โดยก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องมาก่อน ทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกตกใจอย่างรุนแรง บางรายอาจมีอาการปฏิเสธความจริงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นความจริง
ชัชสรัญกล่าวเพิ่มเติมว่า การประกาศข่าวการสวรรคตอย่างเป็นทางการออกมาทีเดียวส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่มีความผูกพันกับสถาบันมากกว่าการเผยแพร่ข่าวการประชวรแบบเป็นระยะๆ เนื่องจากทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสทำใจล่วงหน้า และบางรายอาจมีความรู้สึกผิดเกิดขึ้นด้วย เพราะอาจรู้สึกว่าตนเองไม่ได้สนใจตามข่าว หรืออาจรู้สึกว่าพระองค์ท่านนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานแล้ว แต่ทำไมไม่เคยคิดถึงหรือทำอะไรเพื่อพระองค์ท่าน เช่น การสวดบทโพชฌังคปริตรเหมือนในสมัยรัชกาลที่ 9 หรือส่งกำลังใจให้ท่านในวิธีการอื่นๆ นำมาสู่ความเศร้าโศกเสียใจในระดับที่มีโอกาสนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อาจเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่านในอดีต ทำให้มีความผูกพันกับพระองค์มากและมีความเสียใจมากกว่าคนกลุ่มอื่น
“ความรู้สึกผิด เป็นสิ่งที่สามารถติดตัวเราไปจนตายได้ และสามารถนำไปสู่โรคซึมเศร้า โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สภาพจิตใจของคนไทยมีความอ่อนแอ จึงควรหาทางป้องกันการเกิดความรู้สึกผิดผ่านการทำปัจจุบันและวันนี้ให้ดีที่สุด หากมีปัญหาหรือความขัดแย้งจึงควรรีบแก้ไข ไม่ใช่เก็บหรือกดมันเอาไว้ การให้อภัยตัวเองจึงเป็นหนทางในการเยียวยาความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจของเรา เพราะถ้าเราไม่ให้อภัยตัวเอง ความรู้สึกผิดก็จะติดตัวเราไปเรื่อยๆ เราสามารถให้อภัยตัวเองได้โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นมาให้อภัย เพราะทุกคนสามารถทำผิดพลาดได้” ชัชสรัญกล่าว
ชัชสรัญกล่าวว่า ข้อดีของประเทศไทยคือการมีพิธีการ ที่จะช่วยให้ประชาชนมีพื้นที่ในการแสดงความรักและความอาลัย เช่น การไปรดน้ำ ไปลงนาม หรือแม้แต่ไปชมการแสดงโขนพระราชทาน ซึ่งมีส่วนช่วยให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความเศร้าในหลากหลายรูปแบบ และช่วยเยียวยาจิตใจคนที่รู้สึกเศร้าจากการสูญเสียในครั้งนี้ได้ อีกทั้งในกรณีของคนที่รักและอาลัยต่อสถาบันมาก การได้มีโอกาสไปร่วมพิธีจะมีส่วนช่วยให้พวกเขาเกิดความสบายใจ ที่อย่างน้อยตัวเองก็ได้มีส่วนทำอะไรเพื่อพระองค์ท่าน
ชัชสรัญกล่าวต่อว่า การที่สื่อสมัยนี้ไม่ได้มีการเผยแพร่ภาพพระราชกรณียกิจแบบซ้ำๆ หรือยังเปิดโอกาสให้มีการจัดกิจกรรมบันเทิงได้อยู่ตามความเหมาะสม มีส่วนช่วยในการเยียวยาความรู้สึกของประชาชน เพราะหากเปรียบเทียบกับในอดีต ที่สื่อมีการฉายพระราชกรณียกิจหรือสารคดีวนทั้งวัน อาจเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของประชาชนได้ ดังนั้นการที่สื่อช่วยปรับรูปแบบการนำเสนอก็ช่วยบรรเทาความเศร้าของประชาชน และทำให้ประชาชนไม่จมอยู่กับความรู้สึกเศร้ามากจนเกินไป
“การกินไม่ได้นอนไม่หลับ หรือแม้แต่กินหรือนอนมากเกินไป เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าความเศร้าจากการสูญเสียที่เกิดขึ้นเริ่มเข้าสู่สภาวะน่ากังวล เพราะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการกำลังจะเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า วิธีการแก้ไขคือการกลับมาใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งโชคดีที่การสวรรคตของพระพันปีหลวงในครั้งนี้ไม่ได้มีการบังคับให้ไว้อาลัยแบบเข้มงวดมาก ทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น อย่างไรก็ตามในรายของผู้ที่รู้สึกอาลัยอาวรณ์ การไว้ทุกข์ให้พระองค์ท่านบ้างก็มีส่วนช่วยในการเยียวยาความรู้สึกเช่นกัน เพราะการไว้ทุกข์คือโอกาสที่จะทำให้คนได้มีโอกาสแสดงความรักของตัวเองออกมา” ชัชสรัญกล่าว










