เรื่อง ปาณัสม์ จันทร์กลาง
ภาพ เก็จมณี ทุมมา
ในคืนของวันที่ 10 เมษายน ผมกลับห้องมาด้วยความเหนื่อยล้าสะสม ตลอดทั้ง 3 วันที่ต้องเป็นสตาฟฟ์จัดงานกีฬาของมหาวิทยาลัย แม้งานจะจบไปได้ด้วยดีทำเอาชื่นใจ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยความอยากนอนของผมได้
กว่าจะเก็บของ เคลียร์งานหลังบ้าน อาบน้ำล้างตัวเสร็จ เวลาก็ปาไปตี 3 ของอีกวัน น้ำจากฝักบัวเย็นๆ ไม่ช่วยให้ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่าแม้แต่นิดเดียว
ในใจขอแค่หมอน จะให้นอนหน้าห้องน้ำก็ยังได้
อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้น เช้าแรกของหยุดยาวสงกรานต์ของใครหลายคนกำลังจะมาถึง แต่ผม เพิ่งจะได้เริ่มค่ำคืนแห่งห้วงนิทรา
‘เจอกันตอนบ่ายนะจ๊ะ’ ผมพูดปนสะใจกับตัวเองก่อนนอน เพราะความสุขของผมกำลังจะเริ่มต้น
แต่แล้วความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน ผมถูกปลุกขึ้นมาจากที่นอนตอน 9 โมงเช้าด้วยเพลงจังหวะสามช่า แม้งัวเงียตาจะปิดแต่ก็หลับไม่ลง ถึงห้องของผมจะมืดสนิทเพราะปิดผ้าม่านไว้ แต่ก็ใช่ผ้าม่านจะกันเสียงได้เสียเมื่อไร
ผมรู้สึกหงุดหงิดที่นอนไม่พอ แต่ก็จำนนต่อเพลงสามช่า ยอมเปิดผ้าม่านรับวิตามินดียามเช้าเพื่อหาต้นตอของเสียง และพบว่าเสียงมาจากแคมป์คนงานก่อสร้างข้างๆ นี้เอง
แม้ไม่ได้อยู่ติดกันขนาดนั้นเพราะมีอีกหอคั่นระหว่างกลางอยู่ ทว่าเสียงจ้อกแจ้กเจี๊ยวจ๊าวก็ดังพอทำให้ผมรู้ว่ามีหลายสิบคนกำลังฉลองอยู่ ณ ตรงนั้น
ผมเดินลงจากหอไปหาอะไรกิน เหตุผลจริงๆ คืออยากหนีเสียงเพลงที่ดังปวดหู ทว่าบรรยากาศกลับเงียบเหงาว่างเปล่าตรงกันข้ามกับแคมป์คนงานเมื่อกี้ ร้านอาหารทุกร้านปิดกันหมดเพราะหยุดสงกรานต์
ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ เพราะกว่าจะเจอร้านที่ฝากท้องได้ก็ต้องเดินมาไกลพอสมควร
หลังจากนั้นผมก็เดินกลับ ฝ่าแดดร้อนๆ กลางเดือนเมษาฯ กว่าจะถึงห้องเล่นเอาเหงื่อโชก การอาบน้ำอีกสักรอบเป็นความคิดที่ดี ถ้าไม่ติดว่าน้ำร้อนเพราะเป็นเวลาเที่ยงวัน สู้นั่งผึ่งพัดลมเฉยๆ ยังจะเย็นเสียกว่า
ผมมองไปที่ระเบียง ข้างนอกไม่ได้มีแค่แดดที่ร้อนแรง เสียงเพลงจากแคมป์คนงานข้างๆ ก็เช่นกัน
‘เปิดเพลงดังขนาดนี้ คนอยู่หอข้างๆ หูไม่แตกแล้วเหรอน่ะ’ ผมถามในใจ
‘จะมีคนอยู่ได้ไง สงกรานต์เค้ากลับบ้านกันหมดแล้ว’ ผมตอบตัวเองทันควัน
‘แล้วคนงานเค้าไม่กลับบ้านกันเหรอวะ’ ผมถามสวนกลับไป
‘…เออว่ะ ทำไมวะ’ ผมตอบกลับด้วยคำถาม
ระหว่างคิดคำตอบหาเหตุผล โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น เป็นแม่ของผมที่โทรมาหา ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบทั่วไปตามประสาคนเป็นแม่ กับเพราะผมที่เป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในเมืองด้วย ก่อนจะถามว่า
สงกรานต์นี้ไม่ได้กลับบ้านเหรอลูก’
ผมนิ่งไปชั่วขณะ
‘…เออว่ะ เราก็ไม่ได้กลับบ้านนี่หว่า’ คำนี้ผุดขึ้นมาในหัว เลยทำให้ผมตัดสินใจใช้เวลาคุยกับท่านพอสมควร เพราะต้องการจะชดเชยส่วนที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงสงกรานต์นี้ซึ่งเป็นวันครอบครัว
ปีนี้ผมมีภาระหน้าที่ที่ต้องจัดการ มันยุ่งเสียจนทำให้ผมลืมเรื่องกลับบ้านไปเลย ปกติแล้วช่วงสงกรานต์ผมจะกลับบ้านทุกปี เพื่อไปเจอกับญาติผู้ใหญ่ รดน้ำดำหัว กินข้าว เล่นน้ำสงกรานต์ด้วยกัน แต่พอปีนี้ไม่ได้กลับไป ทำเอาผมรู้สึกกังวล จะให้จองตั๋วกลับบ้านตอนนี้ก็คงไม่ทัน ทำได้แค่คุยกับที่บ้านผ่านโทรศัพท์มือถือ
ในระหว่างที่ผมคิดกังวล เสียงเพลงสามช่าและเสียงเฮฮาจากแคมป์ก่อสร้างก็ยังไม่เงียบลง เสียงจากหลายสิบชีวิตยังคงสนุกสนาน ผู้คนในแคมป์คนงานคงไม่ได้กลับบ้านไปพักผ่อนในช่วงวันหยุด
วันหยุดยาวนี้ไม่ว่าใครก็อยากหยุดพักผ่อน แต่ว่าการพักผ่อนของใครหลายคนคงไม่เหมือนกัน บางคนอยากกลับบ้านไปเจอครอบครัว บางคนอยากไปเที่ยวไกลๆ บางคนอยากสังสรรค์กับเพื่อนๆ หรือบางคนแค่อยากนอนอยู่ในห้องเฉยๆ ก็พอ
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนเป็นการพักเติมพลังกาย พลังใจ เพื่อเตรียมตัวสู้ต่อในเร็วๆ นี้
และแล้วความหงุดหงิดที่มีต่อเพลงและเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผมก็เปลี่ยนไป เป็นความเข้าใจว่าพวกเขาก็อยากมีช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่ คนทำงานก่อสร้างส่วนใหญ่แล้วเป็นงานหาเช้ากินค่ำ อาจเป็นคนต่างจังหวัดเหมือนกับผม หรือไม่ก็เป็นแรงงานข้ามชาติ
ค่าแรงที่พวกเขาได้อาจไม่เพียงพอต่อการเดินทางกลับบ้าน ยิ่งเป็นแรงงานข้ามชาติ กว่าจะถึงบ้านคงหมดสงกรานต์พอดี
การสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนร่วมงานอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ทางเลือกของพวกเขา
เพลงสามช่ายังคงเปิดทุกเช้าและยังคงครึกครื้นตลอดทั้ง 5 วัน ซึ่งตัวผมเองก็นอนเล่นเกม อ่านหนังสืออยู่ในห้องไปพร้อมกับจังหวะเพลงเหล่านั้น
จนในวันที่ 6 เสียงเพลงจากแคมป์คนงานก็เงียบไป กลายเป็นเสียงเครื่องยนต์รถบรรทุกและเครื่องมือก่อสร้าง เป็นสัญญาณบอกว่าวันหยุดใกล้จะหมดลงแล้ว
แม้บางคนจะไม่ได้กลับบ้านในหยุดวันสงกรานต์ แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญหน้ากับวันต่อๆ ไป
ที่กำลังจะมาถึง…