ArticlesReady-to-readSocietyWhat if?Writings

ผม (ไม่) เคย เฉยชากับความตาย

เรื่องและภาพประภาพ: Amphea

Warning : บทความชิ้นนี้มีการพูดถึงเนื้อหาของการพยายามอัตวินิบาตกรรมและการสูญเสียของคนใกล้ตัว โปรดอ่านอย่างระวัง

‘อาม่า’ ของผมเสียไปตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ในวัยประถม แม้ช่วงบั้นปลายชีวิต เธอจะเริ่มหลงลืมลูกหลานและอารมณ์รุนแรงไปบ้าง แต่สำหรับลูกทั้ง 8 คนแล้ว เธอยังคงเป็นคนที่ทุกคนในครอบครัวรักมากที่สุดคนหนึ่ง ส่วนผมนั้นไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับอาม่ามากนัก แต่ก็มากพอที่จะจำแนกได้ว่าความทรงจำแบบไหนเป็นความทรงจำที่ดี และแบบไหนที่เรียกว่าไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังเสียด้วยสิ

เช่นนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลาที่อาม่าจากพวกเราไป ครอบครัวคนจีนขนาดใหญ่ของผมจึงปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความเสียใจ ทั้งเสียงร้องไห้ หยดน้ำตาและความเหนื่อยล้าสะสม มันส่งผ่านเข้ามาสู่สายตาของเด็กประถม จนผมไม่สามารถแบกรับได้ไหว แม้จะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับพวกเขาเลยก็ตาม

‘ก็ผมไม่ได้รู้จักอาม่าขนาดนั้นนี่นา’ ผมคิดแบบนั้น แต่คงพูดมันออกไปให้ครอบครัวรับรู้ตอนนี้ไม่ได้แน่ ทำได้เพียงใช้ชีวิตของตัวเองเงียบๆ ต่อไป 

จนกระทั่งวันที่สองของการจัดงานศพ คำพูดแทงใจของพี่สาวก็พุ่งเข้ามาแทงใจผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว…

เช้าวันนั้น หลังจากที่ตื่น ผมเปิดประตูเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเองด้วยสติที่ไม่ต่างอะไรกับการละเมอ และบังเอิญได้ยินคำปลอบใจเบาๆ ของป้าส่งไปถึงพี่สาวในยามเช้า

“อย่าร้องเลยน่า เห็นไหม ขนาดน้องยังไม่ร้องเลย” 

แต่ใครเล่าจะรู้ว่า ถ้อยคำแสนดีเหล่านั้นย้อนกลับมาทำร้ายผมอย่างจัง

  “น้องมันจะไปรู้เรื่องอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าม่าตายไปแล้ว” พี่สาวของผมกล่าว

หลังจากสิ้นสุดประโยค ทั้งคู่ก็หันมาเจอผม พวกเธอนิ่งไปสักพักก่อนที่จะเดินลงบันไดไป ตั้งแต่วันนั้นมา คำพูดของพี่สาวยังคงหลอกหลอนตัวผมอยู่ตลอดเวลา จนถึงขั้นต้องตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

“เราต้องรู้สึกเศร้าไปกับพวกเขาด้วยไหมนะ?”

“แล้วทำไมเราถึงไม่รู้สึกแบบเดียวกับคนอื่นในบ้านนะ?” 

“เราไม่ได้มองว่าเขาสำคัญเหรอ?”

“เพราะเราไม่ได้สนิทกับเขามากพอหรือเปล่า?”

“หรือเพราะเราแค่ไม่รู้สึกอะไรเลยกันแน่?”

จากคำถามมากมายภายในหัว นำไปสู่การเสแสร้งว่าตัวเองก็รู้สึกเหมือนกัน ซึ่งมันได้ผลในช่วงเวลาหนึ่ง เพราะอย่างน้อยเราได้รับการยอมรับจาก ‘ครอบครัว’ ของตัวเองว่าเป็นพวกเดียวกัน แต่สุดท้ายการเสแสร้งนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากความเหนื่อยล้าของการที่ต้องแกล้งแสดงออก ทำให้แปรเปลี่ยนไปเป็นความเฉยชาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนผมคิดไปว่า ตัวเองคงเฉยชากับความตายทุกรูปแบบในชีวิตไปเสียแล้ว

จนกระทั่งจุดเปลี่ยนทางความคิดได้ผุดขึ้นมาในเส้นทางชีวิตของผมอีกครั้ง และครั้งนี้มันเกิดกับคนใกล้ตัวมากที่สุด ซึ่งก็คือคนที่ผมเคยเรียกว่า ‘แม่’ และผู้หญิงที่ผมเป็นห่วงที่สุดในชีวิตอย่าง ‘น้องสาว’

ไม่ต้องห่วง… ทั้งสองยังไม่ตาย พวกเธอแค่เฉียดๆ เท่านั้น

ในห้วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยน ด้วยเหตุการณ์ความขัดแย้งในครอบครัว ทำให้ผมต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านของลุงกับป้าชั่วคราว ส่วนน้องสาวยังคงอยู่กับแม่และพ่อเหมือนอย่างเคย

เช้าวันหยุดของปลายเดือนเดือนหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่เหล่าคนไทยเชื้อสายจีนจะมารวมญาติกัน และครอบครัวผมก็ไม่พลาดที่จะต้องไปร่วมด้วย ผมได้รับสารแปลกๆ มาจากลุง ที่ดูอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับกิจกรรมที่กำลังจะทำแน่นอน “เดี๋ยวพอไปถึงบ้านแล้ว ไปดูน้องหน่อยนะ”

ผมไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น จึงทำได้เพียงตอบรับส่งๆ พร้อมกับเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัว ก่อนที่จะมารับรู้เรื่องราวทั้งหมดในตอนที่เห็นสภาพร่างกายของน้องสาวตัวเอง ซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งตัว และแม้ผมจะยังเป็นเพียงเด็กประถม แต่ผมก็รู้ว่ารอยแผลเหล่านี้เกิดจากอุบัติเหตุทางถนนแน่นอน

น้องสาวของผมเล่าเรื่องราวให้ฟังด้วยน้ำเสียงที่สั่นกลัวและคล้ายจะร้องไห้ว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา จู่ๆ แม่ก็มาปลุกน้องให้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยกันกับเธอ ซึ่งน้องก็ไม่ได้เอะใจกับความผิดปกติอะไร 

กระทั่งแม่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปหยุดรอไฟแดงที่สี่แยกแห่งหนึ่ง ก่อนจะเร่งความเร็วของรถจนฝ่าไฟแดงออกมาจากเส้นกั้น มอเตอร์ไซค์จึงตัดหน้ารถสองแถวที่กำลังขับมาด้วยความเร็วตามปกติ โชคดีที่คนขับสองแถวไหวตัวทันและหักหลบได้สำเร็จ ทำให้ทั้งคู่ล้มลงเพียงเท่านั้นโดยน้องเล่าให้ผมฟังว่า แม่เอาแต่นั่งพึมพำอยู่ตลอดเวลาว่า “ทำไมไม่ชนวะ” 

หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมด น้องสาวของผมก็ปล่อยโฮออกมา

ผมเข้าใจได้ทันทีว่า นั่นคือการพยายามฆ่าตัวตายของแม่ที่ต้องการจะพาน้องสาวของผมไปด้วย ซึ่งมันทำให้ผมโกรธมาก มากเสียจนอยากตะโกนด่าแม่ตรงนั้น (แต่ผมก็ไม่ได้ทำ) และผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าตัวเองจะเศร้าโศกขนาดไหน ถ้าน้องสาวต้องตายด้วยเรื่องแบบนี้

สุดท้ายเรื่องราวก็ผ่านไปด้วยการพูดคุยของผู้ใหญ่ โดยตกลงกันว่าผมจะย้ายมาอยู่กับลุงและป้าแบบถาวร เพราะผมทนความรู้สึกภายในใจของตัวเองเวลามองหน้า ‘เธอ’ คนที่ผมเคยเรียกว่าแม่มาตลอดไม่ไหว ส่วนน้องสาวย้ายไปอยู่กับป้าอีกคนที่อีกจังหวัดแทน

จนถึงปัจจุบันผมก็ยังติดต่อกับพ่อและน้องสาวตามปกติ ยกเว้นเธอที่ผมยังคงไม่พร้อมสู้หน้าอยู่ แม้เรื่องราวจะผ่านมาเกือบ 15 ปี แล้วก็ตาม…

เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมได้ทำความเข้าใจตัวเองอีกครั้ง

ความตายยังคงสร้างความรู้สึกบางอย่างในจิตใจผมได้อยู่เสมอ ผมไม่เคยชินชากับมันได้จริงเลย แค่ความรู้สึกนั้นแตกต่างกันออกไปโดยขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนที่จากไปเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นบางครั้งมันเลยเล็กน้อยเสียจนไม่แสดงออกมาให้ใครรับรู้ แต่บางครั้งมันก็หนักหนามากเสียจนคนอื่นไม่อาจเข้าใจได้

บางคนเลยอาจไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องโกรธเธอมากขนาดนั้น เหมือนกับที่ผมเคยไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สาวผมถึงเศร้ามากขนาดนั้น เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่อาจไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจ

เรารู้สึกอย่างไร ก็แค่แสดงออกไปแบบนั้น ไม่ต้องฝืนจิตใจของตัวเอง ไม่ต้องพยายามรู้สึกแบบเดียวกับใคร เพราะสุดท้าย ทุกคนจะได้เจอความรู้สึกเหล่านั้นเข้าสักวันหนึ่งอยู่ดี

โดยที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่…

หรือเกิดขึ้นกับใครในชีวิต

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
1
Love รักเลย
0
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
2
Angry โกรธ
0

More in:Articles

Articles

สารภาพบาปนักชอปกระเป๋าแฟบ กับคู่มือไม่ให้ตัวเองต้องกินมาม่าในสิ้นเดือนนี้

เรื่องและภาพประกอบ: จุฑาภัทร ทิวทอง นักช็อปสายบิวตี้อาจเคยสังเกตหลายแบรนด์ที่ออกเครื่องสำอางคอลเลกชันใหม่กันแทบทุกเดือน พร้อมเหล่าอินฟลูมากมายที่โฆษณากันเกรียวกราวว่า ‘ของมันต้องมี’ พ่วงกับโปรโมชันลดราคาที่ดูเหมือนจะจำกัด แบบที่นานๆ ครั้งจะมาที ทั้งที่ในความเป็นจริงก็วนมาอยู่ทุกเดือน หลายคนก็อาจเป็นเหมือนฉัน ที่ตื่นเต้นทุกคราเมื่อได้เห็น ได้ดู และได้ยินปรากฏการณ์ข้างต้น สุดท้ายก็เผลอใจกดสินค้าลงตระกร้าในแอปสั่งของออนไลน์แทบทุกครั้งไป ...

Articles

คุณเข้าร้านโชห่วยครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ?

เขียน : พรวิภา หิรัญพฤกษ์ ภาพประกอบ : ศิรประภา จารุจิตร คุณเข้าร้านโชห่วยครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ? ร้านค้าท้องถิ่นที่หายไปพร้อมกับ ‘ความมั่นคงทางอาหาร’ คุณซื้อของจากร้านโชห่วยล่าสุดเมื่อไหร่ ? ฉันหมายถึง ...

Articles

Rick and Morty: ชีวิตไร้ความหมายในจักรวาลไร้จุดหมายของริกและมอร์ตี้

เขียน : ศิรประภา จารุจิตร ภาพประกอบ : ศิรประภา จารุจิตร ขอบคุณภาพจาก https://wall.alphacoders.com/big.php?i=1335145 คำเตือน: บทความชิ้นนี้มีการสปอยล์เนื้อหาบางส่วน โปรดอ่านอย่างระมัดระวัง “Nobody exists ...

Articles

Indie but not independent: การเติบโตของเพลงอินดี้ในไทย จากอัลเทอร์เนทีฟร็อกจุดประกายสู่ทางเลือกที่หลากหลาย

เขียน: ณัฐธิดา นิติเกษตรสุนทร ภาพประกอบ: ศิรประภา จารุจิตร “รออยู่ตรงนี้แล้วเธออยู่ไหน เธอจะยังคิดถึงฉันบ้างไหม หรือไม่ใช่ กลับมากอดฉันสักทีได้ไหม ขอแค่ครั้งเดียว แม้แค่ครั้งเดียว ก่อนเธอลบฉันไป” เสียงที่เย็นแต่นุ่มของนักร้องพร้อมเมโลดี้ดรีมป๊อป ดนตรีฟังง่าย ให้ความเพลิดเพลิน ผสมกับเสียงกีตาร์และเสียงซินธิไซเซอร์ ...

Articles

ลอยกระทงถึงไม่ได้อะไร แต่ฉันก็ยังอยากลอยอยู่ดี

เรื่องและภาพประกอบ : จุฑาภัทร ทิวทอง “วันเพ็ญเดือน 12 น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง ลอย ลอยกระทง…” เพลงคุ้นหูที่เราได้ยินกันมาตั้งแต่จำความได้ จะทีวีหรือวิทยุทำนองก็เล่นซ้ำวนไปไม่อาจหลีกหนี ฉันจำได้เสมอเมื่อวันนี้เวียนมาถึง แม่ของฉันจะมีกิจวัตรที่เธอทำอยู่ทุกปี ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save