เขียนโดย จิรัชญา นุชมี
ภาพโดย จิรัชญา นุชมี
ใกล้เข้ามามากแล้วสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี 2566 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะได้เห็นป้ายหาเสียงติดตามเสาไฟ กำแพง ตามท้องถนน โดยแต่ละพรรคการเมืองก็เลือกใช้สีที่โดดเด่นและเขียนชูนโยบายของพรรคอย่างชัดเจน
พรรคพลังธรรมใหม่ ภายใต้การนำของนายแพทย์ระวี มาศฉมาดล ที่ชูนโยบายเรื่องการทำให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธของโลกก็เช่นกัน
การเห็นป้ายหาเสียงซึ่งชูนโยบายเด่นเรื่องศาสนาพุทธขึ้นมาแบบนี้ ตั้งคำถามให้กับผู้เขียนที่เป็นคนต่างศาสนาว่า ทำไมพรรคดังกล่าวจึงเลือก ชูนโนบายนี้ขึ้นมา ทั้งที่ไทยเป็นประเทศที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรม มีความหลากหลายทั้งในด้านวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา เรามีประชากรที่นับถือทั้ง ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู ศาสนาซิกข์ รวมไปถึงศาสนาอื่น ๆ และคนไม่นับถือศาสนาอีกมาก
อีกทั้งในฐานะผู้นับถือศาสนาอิสลามที่ อาศัยอยู่ในละแวกชุมชนที่มีความหลากหลายทั้งชาวพุทธ ชาวมุสลิม และชาวคริสต์ และเห็นป้ายหาเสียงดังกล่าวรอบ ๆ บริเวณชุมชนจนชินตา ก็สงสัยว่า ทำไมเขาถึงกล้าเอาป้ายที่มีความชัดเจนในกับนโยบายด้านศาสนาพุทธมาแปะในชุมชนที่มีความหลากหลาย กระทั่งไปถามไถ่คนในชุมชน จึงได้ความว่าคนติดป้ายก็มาติดตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รู้เพียงจะติดให้คนผ่านไปผ่านมาเห็นมากที่สุด อาจไม่ได้รู้หรือนึกคิดไปถึงความเหมาะสม
ผู้เขียนจึงมองว่าการชูนโยบายอยากให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก็คงมีผลต่อความรู้สึกของผู้ที่มีความเชื่อที่ต่างออกไปไม่มากก็น้อย อีกทั้งยังตั้งคำถามต่อว่าในโลกยุคปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้ามากพอสมควร และผู้คนก็ก้าวผ่านเรื่องศาสนาและความมั่นคงของประเทศไปแล้ว ทำไมยังมีการชูนโยบายนี้อยู่ ทั้งที่เป็นการแสดงภาพลักษณ์และวิสัยทัศน์ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความล้าหลัง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ตั้งคำถามกับพรรคได้
ทว่าเมื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ พบว่า พรรคพลังธรรมใหม่ ไม่ใช่พรรคเดียวที่มีการชูนโยบายเรื่องพุทธศาสนา แต่ยังมี พรรคประชาภิวัฒน์ พรรคแผ่นดินธรรม พรรคเสมอภาค พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล พรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน พรรคเพื่อฟ้าดิน ที่ชูนโยบายพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมาเป็นนโยบายเด่นของพรรคตนเอง
จากกรณีนี้ทำให้ผู้เขียนต้องการความเห็นและความรู้เพิ่มเติมจากนักวิชาการ ว่าคิดเห็นอย่างไรกับ นโยบายพุทธศาสนานี้ โดยได้ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาอิสลาม ผศ.ดร.อดิศักดิ์ นุชมี อาจารย์ประจำภาควิชามนุษยศาสตร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการอิสลามและอาหรับศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต มาให้ข้อมูลที่น่าสนใจ
อาจารย์เห็นป้ายหาเสียงแล้วรู้สึกอย่างไรคะ
ไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นความพยายามที่จะชูนโยบายให้เกิดความน่าสนใจเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
คิดเห็นอย่างไรกับการนำมาติดในบริเวณชุมชนมุสลิม
– คิดว่าคนที่เอามาติดเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้มีข้อมูลว่าบริเวณนี้เป็นชุมชนที่มีความหลากหลาย และเชื่อว่าพรรคดังกล่าวคงไม่มีเจตนาเอาป้ายมาติดในชุมชนที่มีความหลากหลายเสียทีเดียวหรอก ผมมองว่าพรรคอาจจะได้คะแนนจากคนที่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ก็ได้ อาจเป็นส่วนน้อย แต่ก็อาจมี แต่มองในแง่ลบคือจะไม่ได้คะแนนจากคนมุสลิมเลยไม่ว่าในแง่ไหนก็ตาม ไม่ใช่แค่ชาวมุสลิมในโซนนี้ แต่หลายพื้นที่ เพราะคนมุสลิมเป็นความสัมพันธ์แบบเครือญาติ เป็นสังคมกว้าง
ป้ายหาเสียงแบบนี้ส่งผลกระทบต่อความคิดของคนในประเทศหรือไม่คะ
ไม่ส่งผลกระทบแน่นอน พรรคเหล่านี้ไม่ได้ต้องการชนะ แค่ต้องการคะแนนนิยมจากคนที่มี mindset เดียวกัน จึงชูนโยบายนี้ขึ้นมา อีกทั้งตามหลักกฎหมายก็บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า คนไทยมีสิทธิที่จะนับถือศาสนาอะไรก็ได้
อาจารย์รู้สึกอย่างไรกับนโยบายที่ ต้องการให้ พุทธศาสนา ในไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลกคะ
ในฐานะวิชาการมุสลิม การตั้งประเทศไทยเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธไม่ได้เป็นเรื่องผิดอะไร เพราะเป็นเรื่องของชาติ หากไม่ได้กระทบต่อความเป็นอยู่ของความเป็นอยู่ของศาสนาอื่น เรื่องของการดูแลศาสนา ก็เป็นศาสนาพุทธที่ได้รับการดูแลมากที่สุดอยู่แล้ว แค่ไม่ได้เป็นรูปธรรม แต่หากเป็นรูปธรรมมากเกินไป อาจเกิดความรู้สึกกับคนในศาสนาอื่นมากกว่า ตามรัฐธรรมนูญแล้วประเทศไทยให้อิสระในการนับถือศาสนา อีกทั้งกษัตริย์ยังเป็นองค์พระอุปถัมภ์ของศาสนาต่าง ๆ และมีกรมศาสนาที่คอยสนับสนุนทุกศาสนาอีกด้วย
หากเทียบกับประเทศอื่นที่มีการบัญญัติศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ประเทศมุสลิมบางประเทศยังดูเอาเปรียบคนศาสนาอื่นมากกว่าด้วยซ้ำ
ถ้าไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาโลกจะเป็นอย่างไรคะ
อาจเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ เพราะศาสนาพุทธที่ไทยตอนนี้ไม่มีความแข็งแรงเท่าที่ควร บางคนแค่มีศาสนาพุทธไว้ในบัตรประชาชน ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎ ตามคำสอนอะไรเลย หากคนไทยพุทธได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนอย่างแท้จริง อย่างน้อยแค่ศีล 5 คงทำให้ประเทศไทยสงบและพัฒนาบุคลากรมากกว่านี้ก็ได้ ดีเสียอีกที่จะทำให้ชาวไทยพุทธมีความกระตือรือร้นที่จะสนใจในการศรัทธาและปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธบ้าง
ชาวพุทธเองก็ไม่ได้เห็นถึงความจำเป็นต่อการยกศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
ถูกต้อง คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจการนำนโยบายดังกล่าวมาชูอยู่แล้ว ส่วนมากทุกคนก็จะโฟกัสไปที่นโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจ นโยบายที่มีผลต่อปากท้องของตัวเองมากกว่า ไม่ใช่แค่ชาวพุทธ แต่คนทุกศาสนาเลือกที่จะก้าวผ่านเรื่องศาสนาไปตั้งนานแล้ว
มันก็เหมือนประเทศมุสลิมหลายประเทศ เช่น ตุรกี มาเลเซีย ที่ถึงแม้จะยกศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และคนส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา มีกินเหล้า มีการทำกิจกรรมที่ผิดหลักศาสนาให้เห็นอย่างทั่วไป
เทียบกับประเทศทางตะวันตกล่ะคะ
ประเทศทางฝั่งตะวันตกไม่เอาศาสนามาเป็นนโยบายอยู่แล้ว ยกเว้น คริสเตียนคาทอลิค ในนครรัฐวาติกัน ดังนั้นจึงไม่เคยมีเรื่องศาสนามาเป็นประเด็นในการทำนโยบาย มีแต่ปัญหาทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเหยียดเชื้อชาติที่ต้องแก้ไข
เท่าที่หาข้อมูลมีพรรคการเมืองต้องการจะบัญญัติวิชาพุทธศาสนาให้เป็นวิชาบังคับในหลักสูตรการศึกษาไทย ซึ่งในปัจจุบันการศึกษาไทยที่ไม่ใช่โรงเรียนอินเตอร์เนชั่นนอล หรือ โรงเรียนหลักสูตรสองภาษา ก็แทบจะบังคับให้เด็กนักเรียนทุกคนเรียนวิชาพุทธศาสนาอยู่แล้ว
การบัญญัติวิชาพุทธศาสนาเป็นวิชาบังคับก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในพระราชบัญญัติกฎกระทรวงศึกษาธิการ ในโรงเรียนใดก็ตามที่มีสัดส่วนศาสนาใดศาสนาหนึ่งมาก ก็ให้จัดการเรียนการสอนหลักสูตรศาสนานั้นไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การบัญญัติวิชาพุทธศาสนาเข้าไปในหลักสูตรอาจเป็นเรื่องดีที่เด็กพุทธจะได้เรียนศาสนาอย่างเข้มข้นเพื่อพัฒนาไปเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ทั้งนี้การให้เด็กศาสนาอื่นมาเรียนด้วยก็เป็นเรื่องดี ที่จะได้เข้าใจศาสนาของกันและกัน หากทว่าก็ควรให้เด็กพุทธเรียนวิชาของศาสนาอื่นด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ไม่ใช่แค่ควรบัญญัติศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่ควรมีวิชาศาสนาตรงกลางหรือวิชาใหม่ที่ทำให้เด็กได้เรียนรู้ทุกศาสนาเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
ประเทศไทยเป็นประเทศพหุวัฒนธรรมหรือไม่
แน่นอน เป็นประเทศที่มีความเป็นพหุวัฒนธรรมอย่างแท้จริง มีคนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา ในประเทศไทย
ยกตัวอย่าง ชุมชนสี่แยกบ้านแขกถูกยกให้เป็น ชุมชนตัวอย่าง ด้านพหุวัฒนธรรม เพราะประกอบไปด้วย 7 ศาสนา คริสเตียน คริสตัง (คริสคาทอลิค) ไทยจีน ไทยพุทธ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ ซึ่งทุกคนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้
คนมุสลิมเข้าใจดีว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลาย เปรียบกับแจกัน ที่หากมีดอกไม้เพียงแค่สีเดียวก็คงไม่มีสีสัน หากมีดอกไม้หลากหลายสีมาประกอบรวมกันก็จะทำให้ทั้งแจกันเกิดความสดใสและสวยงามมีชีวิตชีวาขึ้นการสัมภาษณ์พูดคุยกับอาจารย์ทำให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว ต่อให้นโยบายศาสนาจะเป็นไปอย่างไร ก็อาจไม่ได้มีผลกระทบต่อความคิดของผู้คนอีกต่อไป เมื่อมันเป็นเพียงหนึ่งในกลไกของการสร้างตัวตนและภาพจำของพรรคการเมืองเท่านั้น อีกทั้งในปัจจุบันประชาชนเลือกที่จะมองที่นโยบายทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ สิทธิและเสรีภาพ ที่มีผลต่อความเป็นอยู่ของตนมากกว่า เพราะเราก้าวผ่านนโยบายศาสนาที่ผูกติดกับการเมืองมานานแล้ว