เรื่อง : ณัฐธิดา นิติเกษตรสุนทร
ภาพประกอบ : พรวิภา หิรัญพฤกษ์

นักวิชาการเผยแผนจัดการไฟป่าฉบับใหม่เน้นแก้ที่ป่าพรุควนเคร็ง เนื่องจากมีความซับซ้อนด้านการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ด้านสส.เพื่อไทยเผยร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ นำความเห็นภาคประชาชนมาปรับใช้ เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด
เมื่อวันที่ 27 กันยายน ณ โรงแรมแมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อะพาร์ตเมนต์ สุขุมวิท พาร์ค กรุงเทพฯ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประจำประเทศไทย และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จัดโครงการกิจกรรมเสวนาทางนโยบายเพื่อร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายว่าด้วยการจัดการไฟป่า หมอกควันข้ามพรมแดน และการบริหารจัดการป่าพรุอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
ปุณญาดา ไชยราช นักวิชาการอิสระ และผู้จัดทำแผนโครงการ กล่าวว่า ป่าพรุในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 0.08 ของพื้นที่ป่าไม้ แต่เมื่อเทียบกับระดับโลก ป่าพรุของประเทศไทยรวมกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีพื้นที่ป่าพรุเป็นร้อยละ 70 ทำให้องค์กรต่างประเทศให้ความสำคัญกับป่าพรุในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก ซึ่งป่าพรุในประเทศไทยมีการกักเก็บซากพืชซากสัตว์ที่มีคาร์บอนสูง หากเกิดไฟป่าจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม
ปุณญาดา เผยว่า แผนการจัดการพื้นที่ป่าพรุที่ยั่งยืนระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดย GIZ มุ่งเป้าหมายไปที่ป่าพรุ 2 พื้นที่ใหญ่เป็นหลัก คือ ป่าพรุควนเคร็ง จ.นครศรีธรรมราช และป่าพรุโต๊ะแดง จ.นราธิวาส โดยป่าพรุควนเคร็งมีความซับซ้อนกว่า เนื่องจากชาวบ้านต้องใช้ประโยชน์ในพื้นที่เพื่อสาธารณูปโภค ขณะที่ป่าพรุโต๊ะแดงส่วนใหญ่เป็นพื้นที่โครงการวิจัยจึงไม่ค่อยมีการบุกรุก และในภาคอื่น เช่น ภาคเหนือ มีขนาดเล็กและอยู่ในพื้นที่อุทยานทำให้การเกิดไฟป่าไม่รุนแรงนัก และป่าพรุภาคตะวันออก เช่น ป่าพรุ จ.ระยอง ถูกจัดทำให้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ฉะนั้น อบต. จะให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้
นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า การจัดการป่าพรุควนเคร็ง ใช้แผนยุทธศาสตร์การจัดการพื้นที่ป่าพรุของอาเซียน พ.ศ.2549-2563 (ASEAN Peatland Management Strategy : APMS 2006-2020) เป็นหลักเหมือนกับป่าพรุอื่น เนื่องจากยังไม่มีแผนการฉบับใหม่ แต่ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นแผนการ APMS 2023-2030 โดยมี 4 กระบวนการหลัก คือ 1.เพิ่มความตระหนักรู้และศักยภาพในพื้นที่ป่าพรุ 2.แก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดนและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม 3.ส่งเสริมการจัดการพื้นที่ป่าพรุยั่งยืน 4.ส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาค และจากเดิมที่มี 13 จุดโฟกัสในพื้นที่ ปัจจุบันมี 12 จุด โดยแก้ไขจากเดิมที่สำรวจพื้นที่อย่างเดียว ได้เพิ่มการจำกัดพื้นที่เพื่อจัดการอย่างเหมาะสม และให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยของชุมชนมากขึ้น
เพ็ญศรี พิพัฒน์ นักวิชาการป่าไม้เชิงอนุรักษ์ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ป่าพรุควนเคร็งเป็นของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช, กรมป่าไม้ ต่อมากรมป่าไม้ส่งมอบพื้นที่ส่วนหนึ่งให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) , มูลนิธิชัยพัฒนา และเป็นพื้นที่ของราษฎรถือครอง จึงมีหลายภาคส่วนอยู่ในพื้นที่ ทำให้การบริหารจัดการควนเคร็งเป็นไปได้ยาก
นักวิชาการป่าไม้เชิงอนุรักษ์ กล่าวว่า ปัจจัยคุกคามพื้นที่ป่าพรุ ได้แก่ 1.ไฟป่า 2.ความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ เนื่องจากมีหลายภาคส่วนทำให้เกิดความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ควนเคร็งอยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ่อล้อ และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย กรมอุทยานฯ จึงได้ออกพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ.2562 ทำให้สามารถควบคุมพื้นที่ได้บางส่วน และ 3.การระบายน้ำออกจากพื้นที่เพื่อการทำเกษตรกรรม ป่าพรุจำเป็นต้องมีน้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศและความสมดุล เมื่อน้ำแห้งไฟป่าจะตามมา
รวี เล็กอุทัย สส.จังหวัดอุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา 6 ด้าน ได้แก่ ภาคเมือง, ภาคคมนาคม, ภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่, ภาคการเกษตร, ภาคป่าไม้ และภาคฝุ่นข้ามแดน สามารถนำกฎหมายมาช่วยควบคุมไม่ให้เกิดมลพิษได้ โดยเน้นที่ภาคป่าไม้ และภาคเกษตรที่มักเกิดการเผาป่า
รวี ซึ่งเป็นกรรมาธิการร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กล่าวว่า ในส่วนของกฎหมายไม่เพียงแค่มีบทบังคับหรือลงโทษ แต่ต้องปรับเปลี่ยนความคิดให้ตรงกันทุกภาคส่วนว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ และหาแนวทางสนับสนุนเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างแรงจูงใจให้เกิดการอนุรักษ์ป่าเพื่อความยั่งยืน เช่น หลักการผู้ปล่อยมลพิษต้องจ่ายค่าปรับ (Polluter Pays Principle) ซึ่งรัฐบาลสามารถกำหนดอัตราภาษีต่อการปล่อยคาร์บอนที่เกิดขึ้น เพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษ ไม่เพียงแค่เสียค่าปรับอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจให้ผู้กระทำผิดไม่ปล่อยมลพิษอีก เพื่อให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งพ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ กำลังแก้ไขปัญหาอยู่
“พ.ร.บ. ฉบับนี้ที่กำลังร่างอยู่ ได้เชิญหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่มาให้ข้อมูล นำเอาความคิดจากภาคประชาชนมาเยอะมาก กฎหมายฉบับนี้คำนึงถึงทุกภาคส่วนจริงๆ คำนึงถึงทุกคนที่มีส่วนได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ เพราะประชาชนรู้ปัญหาดีที่สุด” รวีกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พื้นที่ป่าพรุเป็นพื้นที่สำคัญในการกักเก็บแหล่งน้ำและเป็นกลไกทางธรรมชาติในการควบคุมการเกิดปัญหาน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อระบบสภาพภูมิอากาศเพราะพื้นที่ป่าพรุเป็นแหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอนทางธรรมชาติที่มีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนลงสู่ใต้พื้นน้ำได้จำนวนมาก ดังนั้นหากพื้นที่ป่าพรุได้รับความเสียหายจากการเกิดไฟป่าหรือผลกระทบในด้านอื่นจากกิจกรรมของมนุษย์ จะส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่จำนวนมาก เช่น ปัญหาหมอกควันจากการเกิดไฟป่า ปัญหาน้ำท่วม รวมถึงปัญหาการปล่อยคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
จากการตรวจสอบของทีมข่าวเพิ่มเติม พบว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีทั้งหมด 7 ร่างฉบับ ซึ่งอยู่ระหว่างการผลักดันกฎหมายเพื่อบังคับใช้ มีความคืบหน้าล่าสุดเมื่อต้นเดือนกันยายน โดยสรุปเนื้อหารายมาตราผ่านไปแล้ว 2 หมวด คือ 1.สิทธิและหน้าที่ 2.คณะกรรมการ ขณะนี้กำลังพิจารณาหมวด 3 คือ หมวดมาตรการจัดการ
อ้างอิง
“ป่าพรุควนเคร็ง” ลมหายใจแห่งลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ต้นแบบCarbon Sink ภาคพื้นทวีป, ศศิรินทร์ โพธิ์ศรี, KiNdconnext, https://kindconnext.com/kindworld/ป่าพรุควนเคร็ง-ลมหายใจ/
พ.ร.บ.อากาศสะอาด เมื่อไหร่จะคลอด?, Konggreengreen, https://www.facebook.com/watch/?v=822558680079691