เรื่องและภาพประกอบ : ปิยะพร สาวิสิทธิ์
*เนื้อหาต่อไปนี้มีการสปอยล์*
“วันนี้สินะที่แม่ตาย หรือว่าเมื่อวานนี้ฉันก็ไม่รู้แน่”
ประโยคเปิดของหนังสือ ‘คนนอก’ จากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส ‘L’Étranger’ ได้รับรางวัลโนเบลใน ค.ศ. 1957 เขียนโดย อัลแบรต์ กามูส์ (Albert Camus) นักเขียนและนักปรัชญาคนสำคัญด้านอัตภาวนิยม (Existentialism) นวนิยายเรื่องนี้อุดมไปด้วยปรัชญาว่าด้วยเรื่อง ‘ความไร้แก่นสาร (Absurdity)’ ที่ว่ามนุษย์เกิดมามีเสรีภาพและมีทางเลือกในการหาความหมายของชีวิต โดยคนดำเนินเรื่องอย่าง ‘เมอร์โซลต์ (Meursault)’ ถูกลงโทษประหารชีวิตเพียงเพราะเขาไม่ร้องไห้ในงานศพแม่
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อเมอร์โซลต์ได้รับแจ้งจากบ้านพักคนชราว่าแม่ของเขานั้นเสียชีวิต เขาจึงต้องเดินทางไปร่วมงานศพแม่ หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนบันทึกในชีวิตประจำวันของเมอร์โซต์ที่เล่าเรื่องราวตั้งแต่การไปร่วมงานศพแม่ หลังจากนั้นก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ เที่ยวเล่น ว่ายน้ำ ดูหนังตลก กับหญิงสาวชื่อ ‘มารี (Marie)’ ที่เขากำลังดูใจอยู่โดยไม่มีการไว้ทุกข์ให้กับการจากไปของแม่ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
เขาใช้ชีวิตปกติต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้พบกับ ‘เรมอนด์ (Raymond)’ เพื่อนบ้านที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นแมงดา จนในภายหลังทั้งสองคนได้กลายเป็นเกลอกันในที่สุด เรมอนด์มีคนรักชาวอาหรับที่สังคมเรียกว่าเป็น ‘เมียเก็บ’ ทั้งสองทะเลาะกันจนเกิดการทำร้ายร่างกาย ทำให้พี่ชายของฝ่ายหญิงนั้นตามแก้แค้นเรมอนด์และเมอร์โซลต์
จนกระทั่งวันหนึ่งเรมอนด์ได้ชวนเมอร์โซลต์และมารีไปพักผ่อนที่บ้านริมหาดของ ‘มาสซอง (Masson)’ เพื่อนของเรมอนด์ กลุ่มของพี่ชายหญิงสาวอาหรับคนนั้นก็ติดตามทั้งสามคนไปยังบ้านริมหาดเพื่อแก้แค้น สถานการณ์ไปไกลจนอยู่เหนือการควบคุม ในชั่วพริบตาเมอร์โซลต์ก็ได้กลายเป็นฆาตกรที่ลงมือปลิดชีวิตชายชาวอาหรับคนนั้น
กระบวนการพิจารณาคดีนั้นดำเนินมาเรื่อยๆ เนื่องด้วยการเล่าเรื่องนั้นเป็นเหมือนไดอารีของเมอมร์โซลต์ เราจะได้เห็นว่าการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านมานั้นต่างส่งผลต่อการพิจารณาคดี ทั้งการที่เขาจำอายุแม่ที่เสียชีวิตไม่ได้ การสูบบุหรี่และดื่มกาแฟในงานศพ การไปเที่ยวเล่น ดูหนัง ว่ายน้ำหลังงานศพแม่ หรือแม้กระทั่งการไม่ร้องไห้ในงานศพแม่ ทุกอย่างล้วนนำไปสู่การอนุมานว่า เมอร์โซลต์นั้นเป็นคนที่ ‘ไร้วิญญาณ’ และสุดท้ายศาลก็ต้องทำหน้าที่ชี้ชะตาของเมอร์โซลต์กับความผิดพลาดที่เขาได้ก่อ
นวนิยายเรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงและวิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย โดยส่วนท้ายของหนังสือนั้นเป็นบทวิจารณ์ของนักคิดหลายคน เช่น ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) นักปรัชญาสายอัตภาวนิยม (Existentialism) ว่าด้วยการให้คุณค่ากับการใช้ชีวิต ซึ่งหากใครคุ้นเคยบทสนทนาในวงปรัชญามาบ้างก็อาจจะเคยได้ยินคำถามอภิปรัชญา (Big Question) อย่าง “เราเกิดมาทำไม?”
คำถามนี้เป็นเหมือนกับการบอกว่าเราเกิดมาด้วยอิสระและความว่างเปล่า การให้คุณค่าและการตามหาความหมายของชีวิตนั้นเป็นเหมือนการเติมน้ำให้ถ้วยใบหนึ่งให้เต็ม เมื่ออ่านจนจบเราจะเห็นว่ากามูส์เขียนให้ตัวละครเมอร์โซลต์นั้นเป็นเหมือนกับถ้วยเปล่าที่ไร้ซึ่งความคิด ความเห็น หรือมุมมองต่อสิ่งต่างๆ เขาเป็นเหมือนคนที่จะมีคำว่า ‘อะไรก็ได้’ เปล่งออกจากปากเสมอ และยิ่งทำให้เห็นว่าชีวิตนั้นไร้แก่นสารเพียงใด สิ่งที่เขาทำไปนั้นเกิดจากเงื่อนไข ณ เพียงชั่วขณะนั้น คือเขาสูบบุหรี่และดื่มกาแฟในงานศพแม่เพราะง่วง เขาช่วยเป็นพยานให้เรมอนด์จากข้อหาทำร้ายร่างกายคนรักเพียงเพราะเรมอนด์ขอให้ช่วย เขาไปดูหนังตลกหลังจากงานศพแม่เพียงเพราะว่ามารีชวน และเขาไม่ร้องไห้ในงานศพแม่เพราะว่าไม่รู้จะร้องไปทำไม
“บุคคลที่ฆ่ามารดาทางจิตใจก็ควรจะถูกตัดขาดจากสังคมมนุษย์ เท่าๆ กับ บุคคลที่ลงมือฆ่าผู้บังเกิดเกล้าของตนเอง”
อีกหนึ่งสิ่งที่กามูส์พยายามนำเสนอคือ มุมมองของคนในสังคมหรือคนที่เมอร์โซลต์พบเจอว่าคนรอบข้างนั้นมีบรรทัดฐานและ ‘คาดหวัง’ ให้เมอร์โซลต์ต้องเป็นไปในแบบที่พวกเขาคิด คนรอบข้างคาดหวังให้เขาไม่สูบบุหรี่และดื่มกาแฟในงานศพแม่เพื่อแสดงความเคารพ คาดหวังให้เมอร์โซลต์ไม่ไปเป็นพยานให้เรมอนด์เพราะต้องทำตามจริยธรรมที่สังคมตั้งขึ้น คาดหวังให้เขาไม่ไปดูหนังหลังงานศพแม่เพราะต้องการให้เขาไว้ทุกข์ และคาดหวังให้เขาร้องไห้ในงานศพแม่เพราะอยากให้เขาแสดงความเสียใจ กลับกลายเป็นว่า ‘ความไร้แก่นสาร’ ในจิตใจของเมอร์โซลต์เป็นสิ่งที่สังคมให้ความหมายว่าเป็นความไร้จริยธรรมจนนำไปสู่การก่อเหตุน่าสลด ดังนั้นเมื่อความไร้แก่นสารของเขานั้นไม่ได้เป็นไปตามที่สังคมคาดหวัง จึงทำให้เมอร์โซลต์กลายเป็น ‘คนนอก’ ในสังคมที่เต็มไปด้วยบรรทัดฐาน เหมือนอย่างการไม่ร้องไห้ในงานในศพใครสักคน
เมื่อมองในมุมอัตภาวนิยมที่ว่ามนุษย์นั้นเกิดมาด้วยความเสรีและไร้แก่นสาร จึงมีทางเลือกในการสร้างแก่นสารและตามหาความหมายให้กับชีวิต ทว่าในหลายครั้งเรากลับยึดติดกับ ‘คุณค่า’ ของชีวิตมากเกินไป จนกลายเป็นความคาดหวังที่มีอยู่อย่างไม่สิ้นสุด สุดท้ายแล้วแม้ว่าหลายคนจะพยายามตามหาความหมายของชีวิตตามบรรทัดฐานสังคมตั้งขึ้น ก็ยังมีคนที่พึงพอใจกับความว่างเปล่าและไม่กระตือรือร้นจะตามหานิยามของชีวิตอย่างเมอร์โซลต์ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ไม่มีถูกไม่มีผิด เพียงแค่ว่าทุกคนควรมีอิสระในการคิดและเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองพึงพอใจโดยไม่ต้องมีมาตรฐานที่สังคมสร้างขึ้น
“ในยามดึกซึ่งท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวและสัญลักษณ์ เป็นครั้งแรกที่ฉันเปิดใจออกไปสัมผัสความเฉยชา แต่ทว่าอ่อนโยนของโลก ฉันรู้สึกว่าโลกนี้ละม้ายคล้ายฉันเสียนี่กระไร เหมือนกันกับราวพี่น้อง ฉันรู้สึกว่าฉันได้มีความสุขมาตลอด และยังเป็นอยู่แม้ในขณะนี้…”