เรื่อง: ทยาภา เจียรวาปี
ภาพประกอบ: พรวิภา หิรัญพฤกษ์

ในทศวรรษที่ 21 โลกกำลังหมุนไปพร้อมกับการพัฒนาของวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligent หรือ AI) ที่แทบจะทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้เกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะหยิบจับทำอะไร ทุกสิ่งล้วนมีข้อมูลรองรับและพิสูจน์ได้ แต่สิ่งเหล่านั้นมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนไทยโดยส่วนใหญ่มีร่วมกันนั่นคือ ‘ความเชื่อในเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้’
อาจปฏิเสธไม่ได้ว่าในภาวะที่กำลังตกที่นั่งลำบากจากปัญหาที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน สิ่งแรกที่บางคนจะทำคงไม่ใช่การคิดหาสาเหตุ ตั้งสมมติฐาน หรือทำการทดลอง (แก้ไขปัญหา) แต่กลับยกสองมือพนมกราบพลางพูดว่า ‘ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วยลูกช้างด้วยเถิด’
หากคุณคือคนที่เคยเห็น อ่าน ได้ยิน ประสบการณ์ของคนที่ออกมาพูดถึงผลลัพธ์ด้านบวก จากการขอพร กราบไหว้ ถวายบูชาเจ้าแม่ต่างๆ ในโซเซียลมีเดีย คำกล่าวอ้างสรรพคุณเหล่านั้นคงเป็นเหมือนเครื่องมือชักจูงจิตใจให้คนธรรมดาๆ อยากจะทำตามด้วยความหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ดีเหมือนกับเขาและเธอเหล่านั้น แต่แน่ใจแล้วหรือว่าถ้าทำตามแล้วเห็นผล? ถ้าขอแล้วเป็นจริง?
ในวิทยานิพนธ์หัวข้อ ‘การพยากรณ์โชคชะตาและกระบวนการช่วยเหลือด้านจิตใจ (2552)’ ของ เรวดี สกุลอาริยะ ตีพิมพ์โดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายถึงสาเหตุในการดูดวงไว้ว่า “ผู้รับบริการพยากรณ์โชคชะตาส่วนหนึ่งเป็นบุคคลที่กำลังประสบปัญหาและคาดหวังการเลือกปรึกษานักพยากรณ์โชคชะตาเป็นทางออกสู่แสงสว่าง ด้วยความเชื่อมั่นว่าศาสตร์แห่งการพยากรณ์จะให้คำตอบและคลี่คลายสิ่งที่ค้างคาในใจของตนได้”
ซึ่งในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวได้ระบุลักษณะของบุคคลที่ใช้บริการหมอดูไว้ 6 ลักษณะ ได้แก่
1. ต้องการที่พึ่งทางใจ
2. ต้องการทราบอนาคตเพื่อลดความกังวล
3. ต้องการเสริมความมั่นใจในการตัดสินใจ
4. ต้องการทราบแนวทางในการดำเนินชีวิต
5. ต้องการหลีกเลี่ยงการถูกตีตรา
6. ต้องการลองของ
จากที่กล่าวไปข้างต้น ผู้เขียนมองว่าตั้งแต่ข้อ 1. ถึงข้อ 4. กำลังสะท้อนความจริงที่น่าเจ็บปวดของการเป็นมนุษย์นั่นก็คือ ‘การหมดศรัทธาในตนเอง’ จนน่าคิดว่าเพราะอะไรกันนะ ที่ทำให้มนุษย์ให้คุณค่ากับสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามากกว่าตัวเอง
เห็นได้ดี จึงทำตาม
ส่วนหนึ่งอาจมาจาก ‘การผูกความสำเร็จของตนเองไว้กับคนอื่น’
ในโลกที่ทุกอย่างคือการแข่งขัน ก็คงไม่แปลกมากนักที่คนเราจะมีความรู้สึกอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นๆ แต่นั่นก็อาจเป็นการทำร้ายตนเองไปในคราวเดียวกัน เพราะในขณะที่คุณกำลังหลงกับความอยากมีอยู่นั้น คุณอาจจะมองข้ามความจริงที่ว่า พื้นฐานของคนแต่ละคนนั้นต่างกัน และผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจจะไม่เหมือนกัน
อย่าง ‘I told พระแม่ลักษมี about You’ ที่เป็นกระแสในหมู่คนโสดอยู่ช่วงหนึ่ง เชื่อว่าการขอพรพระแม่ลักษมีจะทำให้เจอคู่ หรือรักใครชอบใครก็แค่บอกลักษณะของคนๆ นั้น ถวายของที่พระแม่ชอบ ท่องบทสวดให้ถูกต้อง พระแม่ก็จะช่วยให้ได้ครองคู่กัน หลังจากชาวเน็ตหลายราย ออกมาแชร์ประสบการณ์ว่าขอแล้วได้ตามคำขอ จนบางคนถึงขั้นเอารูปไอดอลในฝันไปยื่นให้พระแม่พิจารณา ซึ่งนั่นเองทำให้ผู้เขียนต้องถอยกลับมาตั้งหลักและมองกลับไปว่า ท่านช่วยได้จริงหรอ?
โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก (Robert Sternberg) อาจารย์ภาควิชาจิตวิทยาประจำมหาวิทยาลัยเยล ได้อธิบายองค์ประกอบของความสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดความรักไว้ 3 ประการ ดังนี้ ความสนิทสนม (Intimacy) ความใคร่หลง (Passion) ความผูกพัน (Commitment)
ซึ่งถ้านำทั้งความเชื่อและหลักทางจิตวิทยา ที่ถือเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์มาเชื่อมโยงกัน นั่นเท่ากับว่า เราอาจจะต้องจำกัดตนเองให้ชอบแค่คนที่โคจรอยู่ในชีวิตเราเท่านั้นหรือ เพราะถ้าเกิดชอบคนที่ไกลตัวเกินไป โอกาสที่จะสำเร็จก็แทบจะเป็นศูนย์เนื่องจากขาดองค์ประกอบที่ทำให้เกิดความรัก โดยเฉพาะความสนิทสนมหรือผูกผัน หรือแม้กระทั่งชอบคนใกล้ตัว ก็ใช่ว่าจะได้ตามที่ขอ เพราะสุดท้ายเราอาจจะไม่ใช่สเปกเขาตั้งแต่เริ่มแล้วก็ได้
เพราะไม่รู้จึงดูให้ทราบ
อีกสิ่งที่ทำให้คนหมดศรัทธาในตนเอง ก็คือ ‘ความไม่รู้’ ปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แม้บางครั้งจะวางแผนดีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือแผนที่ตั้งใจจะไม่เกิดขึ้น จนบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกกลัวและไม่เชื่อว่าตัวเองจะข้ามผ่านสถานการณ์ที่เหนือการควบคุมนั้นได้อย่างไร
ไตรภพ จตุรพาณิชย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์และสังคม และหัวหน้าสาขาวิชาสังคมและธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้านครเหนือ ได้อธิบายถึง ‘หลักความเชื่ออำนาจ (Locus of control)’ หรือทฤษฎีที่อธิบายเรื่องความเชื่อว่ามนุษย์มีอำนาจในการควบคุมชีวิตตนเองมากน้อยเพียงใด โดยความเชื่อดังกล่าว เป็นลักษณะทางบุคลิกภาพแบบหนึ่งที่สามารถจำแนกได้เป็นสองฝั่ง คือฝั่งที่เชื่อว่าตัวเองสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้ โดยหลักการคือ หากอยากได้สิ่งใด ต้องลงมือทำและจัดการด้วยตนเอง หรือเรียกว่า อำนาจควบคุมภายใน (Internal locus of control) อีกฝั่งหนึ่งที่เชื่อว่าชีวิตมีปัจจัยหลายอย่างที่มีอิทธิพลกับมนุษย์ ไม่สามารถไปจัดการหรือคาดการณ์อะไรได้ เรียกว่า อำนาจควบคุมภายนอก (External locus of control)
ไตรภพอธิบายว่า ชีวิตมนุษย์มีทั้งส่วนที่ตนเองควบคุมได้ และส่วนที่ตนเองควบคุมไม่ได้ แต่ถ้ามีความเชื่อต่ออย่างหลังมากกว่า ความเชื่อในเรื่องที่มองไม่เห็นก็จะมากขึ้น
“ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราล่องลอยเหมือนฟองสบู่ ไปทางนั้นที ทางนี้ที แล้วแต่ใครจะพาไป ถ้ามีความเชื่อนี้เยอะ โอกาสที่เราจะมู[เตลู]ก็อาจเยอะขึ้น”
อย่างกรณีล่าสุดที่กำลังเป็นกระแสในโลกโซเชียล ติดเทรนด์อันดับ 1 ในแอปพลิเคชัน X (ทวิตเตอร์) อย่าง ‘ทำไมดูเป็นคนดีจัง’ เรื่องเล่าประสบการณ์ดูดวงชวนขนลุกที่เผยแพร่ผ่านช่องยูทูป ‘เดอะ โกสต์ เรดิโอ (the ghost radio)’ ว่าด้วย ‘คุณปอย’ นักเขียนมีชื่อคนหนึ่งที่การงานการเงินรุ่งเรืองดีอยู่แล้ว จนในวันหนึ่งที่เพื่อนของเธอได้แนะนำให้เธอไปดูดวง เพื่อหาวิธีเสริมชะตาอนาคตให้ดีขึ้น เธอจึงได้รู้จักกับหมอดูชื่อดังคนหนึ่ง และหลังจากนั้นชีวิตของเธอก็กลับตาลปัตรเพราะถูกหมอดูขโมยดวง
หากตัดประเด็นหลักของเรื่องที่ว่า หมอดูอาจทำของใส่ลูกดวงออก และมองให้ลึกลงไป ผู้เขียนมองว่าการหาหมอดูและทำพิธี (ชวนเกาหัว) ต่างๆ ของกรณีนี้ จุดเริ่มต้นของมันมาจากแค่ ‘ความไม่รู้ในเรื่องอนาคต’ ของมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ชัดว่าองค์ประกอบของอำนาจควบคุมภายนอกอย่าง ‘ความไม่รู้’ นี้เองที่มีบทบาทสำคัญในการเลือกหันหน้าพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พิสูจน์ไม่ได้
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เรื่องความเชื่อเหล่านี้ ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่ามีจริงหรือไม่ บางคนก็สมหวัง บางคนก็ผิดหวัง เพราะท้ายที่สุดมันก็ไม่มีอะไรมาการันตีได้ 100% เลยว่า สิ่งของที่บูชา บทสวดที่ท่อง หรือแม้กระทั่งหมอดูที่ไปหา จะบันดาลทุกอย่างให้คุณได้ และสุดท้ายการทำสิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่การซื้อความสบายใจระยะสั้นๆ ให้กับชีวิตที่ไม่แน่นอน
ในขณะเดียวกันมันก็อาจจะหมายความว่า คุณอาจจะกำลัง ‘หมดศรัทธาในตนเอง’ เพราะระหว่างที่คุณกำลังถามหาคำตอบให้กับบางสิ่ง เรียกหาภาพของอนาคต และขอแนวทางในการทำอะไรสักอย่าง มันก็เหมือนการตอกย้ำว่า คุณไม่เชื่อมั่นกับสิ่งที่ทำ ไม่มั่นใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และรู้สึกไม่มั่นคงกับสิ่งที่เป็นอยู่ จนบางทีก็อาจจะลืมไปว่า คุณกำลังให้ใครหรือสิ่งใด (ที่พิสูจน์ไม่ได้) เป็นตัวกำหนดการกระทำของคุณอยู่ แทนที่จะเป็นสัญชาติญาณหรือความตั้งใจของตัวคุณเอง
ท้ายที่สุด ผู้เขียนก็เข้าใจดีว่ากระบวนการยอมรับสิ่งใดก็ตามของแต่ละคนนั้น มาจากเหตุผลและปัจจัยที่แตกต่างกัน แต่อย่างน้อยก็อยากให้คุณลองถอยกลับมาตั้งหลัก และลองศรัทธาในศักยภาพของตนเองและให้โอกาสตนเองได้พบเจอกับสิ่งคาดเดาไม่ได้ดูก่อน เพราะไม่ว่าผลลัพธ์จะดีหรือร้ายเพียงใด มันก็เป็นแค่บทเรียนหนึ่งในชีวิตเท่านั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ลองถามตนเองว่า
“มันจำเป็นจริงๆ แล้วหรือ ที่ต้องนำชีวิตของคุณไปฝากไว้กับสิ่งที่มองไม่เห็น?
รายการอ้างอิง
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (10 มีนาคม 2565). จิตวิทยา กับ มูเตลู : จะ พ.ศ.ไหน ทำไมคนไทยก็ยังมูเตลู. เรียกใช้เมื่อ ตุลาคม 2567 จากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/psy-talk-2022-mutelu/
เรวดี สกุลอาริยะ. (2552). การพยากรณ์โชคชะตาและกระบวนการช่วยเหลือด้านจิตใจ. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะจิตวิทยา. สืบค้นจาก https://cuir.car.chula.ac.th/bitstream/123456789/17082/1/rewadee_sk.pdf
โรงพยาบาลเพชรเวช. (22 กุมภาพันธ์ 2564). Theory of love จิตวิทยาของความรัก. เรียกใช้เมื่อ ตุลาคม 2567 จากโรงพยาบาลเพชรเวชr: https://thematter.co/social/youth-ans-horoscope/176098
Thanyarat Khotwanta. (26 พฤษภาคม 2565). คนรุ่นใหม่ยังเชื่อเรื่องดวงอยู่ไหม? : ยุคสมัยที่ไม่แน่นอน และการเติบโตของธุรกิจสายมูฯ. เรียกใช้เมื่อ ตุลาคม 2567 จาก the matter: https://thematter.co/social/youth-ans-horoscope/176098
Worakan J. (26 พฤษภาคม 2564). เผลอโทษคนอื่นเวลาทำไม่ได้ : Locus of Control วิธีคิดที่อาจมาจากความไม่มั่นใจในตัวเอง. เรียกใช้เมื่อ ตุลาคม 2567 จาก the matter: https://thematter.co/lifestyle/work-life/locus-of-control/133003