Writings

แบดมินตันที่ไม่ได้เรื่อง กับเพื่อนสนิทคนที่ใช่

เรื่อง : อารีย์วรรณ อมรเดชเทวินทร์

ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา

ในคาบวิชาพละชั้นม.5 หลังจากที่คุณครูได้ประกาศว่าจะมีการสอบตีโต้ในการเรียนแบดมินตัน ฉันกับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าสบตากันทันที แววตาที่ดูเคร่งเครียดของเธอทำให้ฉันคิดถึงคำๆ หนึ่งขึ้นมาในใจ มันเป็นคำที่อธิบายความรู้สึกทุกอย่างของพวกเราในขณะนั้นได้อย่างดีเยี่ยม

นั่นก็คือคำว่า “ฉิบหายแล้ว”

เพราะแน่นอนว่า “เด็กน้อยร้อยห้าสิบเซน” อย่างพวกเรา ไม่ชอบการตีแบดเลยสักนิด

ในทุกๆ คาบของวิชาพละที่ผ่านมา พวกเรายังเอาแต่หยิบไม้แบดมาทำเป็นไม้กวาดแม่มดวิ่งเล่นกันเหมือนเด็กประถมอยู่เลย จู่ๆ จะให้เปลี่ยนอาชีพจากแม่มดมาเป็นนักแบดก็ดูเป็นเรื่องที่ทำใจยากไปหน่อย

แต่ถ้าเราไม่ยอมเปลี่ยนจากการ “ขี่” มาเป็น “ถือ” ไม้แบด และซ้อมตีโต้ในคาบนั้นให้สำเร็จ คุณครูคงจะได้ควงไม้แบดโชว์ตีก้นพวกเราต่อหน้าเพื่อนทั้งห้อง พร้อมทั้งแจก 0 คะแนนให้อย่างไม่ต้องสงสัย

พวกเราจึงต้องจำใจยืนหันหน้าเข้าหากันและเริ่มต้นการฝึกซ้อม

ในครั้งแรก ฉันเป็นคนเสิร์ฟลูกไปทางเพื่อนสนิท เธอเงยหน้ามองลูกที่ลอยอยู่บนอากาศเหนือหัว ก่อนจะถอยหลังตั้งหลักเล็กน้อยแล้วจัดการหวดใส่ลูกขนไก่สุดแรง

ทว่าลูกขนไก่พุ่งมาไม่ถึงจุดที่ฉันยืนอยู่ด้วยซ้ำ… เธอคงตีโด่งเกินไป

เมื่อฉันเห็นเช่นนั้น ฉันจึงรีบออกตัววิ่งเต็มกำลัง ในใจก็นึกขอร้องให้ขาของตัวเองยาวกว่านี้สักสองสามเซน ฉันเงยหน้ามองลูกที่กำลังดิ่งลงมาสู่พื้น ก่อนจะใช้ไม้กวาด เอ้ย… ไม้แบดในมือช้อนเข้าไปใต้ลูกขนไก่นั้นทันเวลาพอดี

ลูกเด้งออกจากหน้าไม้และเปลี่ยนทิศทางกลับไปที่เพื่อนฉัน ฉันเห็นว่าเธอพยายามยืนตั้งหลักให้มั่นคง ก่อนจะเปล่งเสียงตะโกนดังลั่นออกมาเพื่อเรียกแรงจากกล้ามเนื้อแขนพร้อมกับง้างไม้ตีลูกอีกครั้ง

ครั้งนี้ลูกพุ่งมาสุดแรง มันเลยข้ามหัวของฉันกลับไปสู่จุดเดิมที่ฉันเคยยืนอยู่ แถมยังเบี่ยงไปทางซ้ายอีกด้วย!

ฉันก็ไม่ยอมแพ้ กัดฟันสู้สุดใจ ก้าวขาวิ่งจ้ำอีกครั้ง สมองของฉันตะโกนร้องว่าอย่าให้ลูกตกลงพื้นเด็ดขาด!

แต่ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นลูกขนไก่ก็ตกลงสู่พื้นต่อหน้าต่อตาฉันทันที ฉันจึงก้มหยิบลูกขนไก่นั้นแล้วเริ่มต้นเสิร์ฟใหม่อีกครั้งหนึ่ง

หลังจากที่พวกเราทั้งคู่ยืนซ้อมกันอยู่นานจนเริ่มรู้สึกปวดหลังจากการก้มเก็บลูก เราก็เห็นว่าเหลืออีกเพียง 20 นาทีก่อนจะหมดคาบเรียนจึงตัดสินใจออกมานั่งพักข้างๆ สนามเพื่อพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี เพราะจำนวนรอบในการตีโต้ไป-กลับของพวกเราที่ได้มากที่สุดคือ 4 รอบติดเท่านั้นเอง

ฉันรู้สึกถึงความกลุ้มใจจากเพื่อนสนิทข้างตัว เธอดูไม่เหมือนเพื่อนช่างพูด (มาก) คนเดิมของฉันเลยสักนิด ไม่แน่ว่าเธออาจจะกำลังนึกโทษตัวเองอยู่ในใจที่เธอกะจังหวะการตีลูกผิดอยู่บ่อยครั้ง เหวี่ยงไม้เร็วไปบ้าง ช้าไปบ้าง โด่งไปบ้าง พุ่งแรงเกินไปบ้าง จนฉันต้องเปลี่ยนอาชีพจากนักแบดมาเป็นนักวิ่งเพื่อวิ่งช้อนลูกให้เธอเกือบทั้งสนาม

แล้วเธอก็สารภาพกับฉันว่า เธอกลัวว่าเธอจะทำให้ฉันได้คะแนนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

สีหน้าบอกบุญไม่รับของเธอทำเอาใจของฉันหล่นไปกองที่ตาตุ่ม ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจผิดไปว่าฉันซีเรียสเรื่องคะแนนสอบ เพราะอันที่จริงแล้วฉันไม่ได้คาดหวังอะไรกับการสอบครั้งนี้เลยสักนิด ฉันจึงพยายามพูดให้เธอสบายใจมากขึ้น

“กูไม่ได้ซีเรียสว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่เลยมึง คือกูเข้าใจดีว่าเราถนัดกีฬาขี่ไม้กวาด ไม่ใช่กีฬาแบดมินตัน”

เธอหลุดขำออกมากับคำพูดของฉัน ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณว่าเธอคงคลายความกังวลในใจได้บ้างแล้ว ฉันจึงชวนเธอไปดื่มน้ำและกลับลงไปซ้อมกันใหม่อีกรอบ

ปรากฎว่าการซ้อมของเราแย่ลงกว่าเดิม…

จากที่เคยตีได้สูงสุด 4 รอบติด กลายเป็น 3 รอบเท่านั้น

บรรยากาศของความเครียดลอยวนๆ อยู่รอบตัวของเพื่อนสนิท เธอดูหงุดหงิดใจกับฝีมือการตีของตัวเองมากกว่าฉัน แม้ว่าเราต่างคนต่างก็มีจุดผิดพลาดด้วยกันทั้งคู่ ฉันพูดกับเธอว่า ไม่เป็นไรอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ดีขึ้น

ในที่สุด เธอมองหน้าฉันพร้อมกับเบะปากราวกับจะร้องไห้ แต่ยังไม่ทันที่น้ำตาของเธอจะได้ไหลลงมา คุณครูของเราก็ตะโกนเรียกให้เด็กๆ ที่ยังไม่ได้สอบไปเข้าแถวเตรียมตัวเพราะอีก 10 นาทีจะหมดเวลาวิชาพละแล้ว ฉันจึงวิ่งเข้าไปหาเธอแล้วบอกให้เธอใช้คาถาย้อนเวลาเรียกให้น้ำตาไหลย้อนกลับคืนสู่ลูกตาก่อน

เสียดายที่เธอไม่ขำ เธอทำแค่ถอนหายใจแรงๆ หนึ่งที ใช้หลังมือป้ายน้ำมูกของตัวเอง ก่อนที่จะจับมือฉัน (อี๋นิดหน่อยแต่พอรับได้) และพยักหน้าให้ ฉันจูงมือเธอเดินไปต่อแถวเพื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริงด้วยกัน

ในระหว่างที่ต่อแถวรอสอบอยู่ ฉันคิดว่าอาจจะต้องพึ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่าฝีมือ จึงยืนก้มหน้าพนมมือไหว้พระขอพรให้รอดพ้น ก่อนจะตระหนักได้ว่าฉันไม่ใช่คนเดียวที่ต้องไหว้นี่ เพื่อนสนิทฉันก็ควรจะไหว้เหมือนกัน ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน กะจะชวนให้สวดขอพร

แต่ฉันพบว่าวิญญาณของเพื่อน “หลุดออกจากร่าง” ไปเสียแล้ว เธอคงกำลังเปรียบเทียบฝีมือระหว่างคู่เรากับคู่เพื่อนคนอื่นๆ ที่ทำได้ดีกว่ามากอยู่ในใจ และก็อาจจะแถมด้วยการโทษฝีมือของตัวเองซ้ำๆ ย้ำๆ เข้าไปอีก

ด้วยความไม่สบายใจที่เห็นร่างไร้วิญญาณของเพื่อน ฉันจึงหยุดท่องบทสวดกลางคันและหันไปพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ตีๆ มาเลยมึง ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวกูวิ่งให้เอง”

หลังจากยืนรอกันอยู่ไม่กี่นาทีก็ถึงตาพวกเราที่จะได้โชว์ฝีมือในการตีแบดระดับเด็กประถมต่อหน้าคุณครูมัธยม

ฉันกับเพื่อนสนิทพยายามปลุกความเป็นนักกีฬาในตัวขึ้นมาด้วยการแปะมือให้กำลังใจกันก่อนที่เราจะแยกจากกันไปยืนอยู่คนละฝั่ง นับว่าเป็นโชคดีของเราที่คุณครูให้สอบโดยไม่ใช้ตาข่าย เราจึงสามารถมองเห็นสีหน้าท่าทางของกันและกันอย่างชัดเจน

ทุกครั้งที่เธอตีเบี่ยงซ้าย ฉันจะวิ่งไปทางซ้าย เธอตีเบี่ยงขวา ฉันจะวิ่งไปทางขวา เธอตีลูกเบาเกิน ฉันจะวิ่งขึ้นไปข้างหน้า แต่ถ้าอยู่ดีๆ เธอแรงเยอะ ฉันก็จะวิ่งถอยกรูดกลับไปรับลูก หรือบางครั้งที่ฉันเผลอตีลูกแรงเกินไป เธอก็จะพยายามกระโดดและชูไม้แบดสุดแขนเพื่อตีลูกด้วยความมุ่งมั่น

ในตอนที่เธอตีไม่โดนลูก ฉันจะโบกมือบอกให้เธอช่างมัน ส่วนตอนที่ฉันพลาด เธอก็จะพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไรเช่นกัน

แม้ว่าเราจะต้องก้มเก็บลูกและเสิร์ฟใหม่ประมาณ 7-8 ครั้งตลอดการสอบ แต่เราทั้งคู่ก็ยังได้มา 6 คะแนนเต็ม 10 ซึ่งเกินกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้ตั้ง 2 คะแนน สงสัยจะเป็นผลจากการสวดมนต์ก่อนสอบ ไม่ใช่สิ… เป็นผลจากความสงสารของคุณครู เอ้ย!… เป็นผลจากฝีมือของพวกเราต่างหาก

ทันทีที่พวกเราสอบเสร็จ ฉันเห็นว่าเพื่อนสนิทของฉันกระโดดโลดเต้นออกจากสนาม ซึ่งฉันแอบโล่งใจนิดหน่อยที่เธอไม่เผลอดีใจจนขี่ไม้แบดวิ่งออกไปต่อหน้าคุณครู เธอหันมาทางฉันที่เดินตามอยู่ข้างหลังพร้อมยิ้มแป้นหน้าบาน ดูเหมือนว่าวิญญาณเพื่อนสนิทคนเดิมของฉันจะกลับเข้าร่างแล้วสินะ

ในระหว่างที่เรายืนเก็บของกันอยู่ข้างสนาม เธอก็บอกฉันว่า “ขอบคุณมากเลยนะมึง คือมึงไม่กดดันอะไรกูเลยอะ กูว่าถ้าเป็นคนอื่นที่ตีเก่งๆ คงด่ากูเละเทะไปแล้ว แล้วยิ่งตอนที่มึงบอกว่า ‘เดี๋ยวมึงจะวิ่งให้’ เองอะ กูรู้สึกเลยว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมึงต้องช่วยกูแน่ๆ

“กูโคตรสบายใจเลยตอนสอบ ดีใจจังที่ได้คู่กับมึง”

ฉันยิ้มให้เธอพลางนึกในใจ… ประโยคง่ายๆ จากใจ แต่สร้างพลังได้มหาศาลจริงๆ

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
5
Love รักเลย
2
Haha ตลก
2
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0

More in:Writings

Writings

49 ปี รำลึก 6 ตุลาฯ 

เขียน: อชิรญา ปินะสา ภาพประกอบ: อชิรญา ปินะสา และ เปรมชนก พฤกษ์พัฒนรักษ์ เมื่อ 49 ปีที่แล้ว เมื่อ 49 ปีที่แล้ว ...

Writings

สมาร์ทโฟน จาก ‘นวัตกรรม’ สู่ Fast Fashion ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อความทันสมัย

เขียน:  ฐิดาพร พิมพ์สีโคตร ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ คุณกำลังตามเทรนด์หรือเปล่านะ การเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทุกปีกลายเป็นปรากฏการณ์น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยไปกว่าเทรนด์แฟชั่น เมื่อไหร่ก็ตามที่มีของรุ่นใหม่เปิดตัวออกมา ก็จะเหมือนมีแรงดึงดูดให้ผู้คนรู้สึกว่าต้องซื้อ มิเช่นนั้นจะตกเทรนด์ ไปได้ทันที  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าคิด คือ ...

Writings

Performative Male: หนุ่มธงเขียว ดีจริงหรือ

เขียน: วรัชยา สุริยะพันธุ์     ภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ ‘ใส่เสื้อวินเทจ สะพายกระเป๋าผ้า ถือหนังสือสตรีนิยม ดื่มเพียวมัจฉะแต่ห้ามเป็นร้านนายทุน’ คือ Dress Code ของกิจกรรม Thammasat ...

Writings

Run2Free: Run for Rights

เรื่องและภาพประกอบ: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ ปล่อยเพื่อนเรา “ปล่อยเพื่อนเรา” เสียงร้องกึกก้องของพี่น้องประชาชนอาจจะดังจนผ่านหูคุณมาบ้าง แต่ดูเหมือนยังดังไม่มากพอที่จะไปไกลจนเข้าหูของคนมีอำนาจ เพราะ ‘เพื่อน’ กว่า 57 ชีวิต ยังคงถูกจองจำ เพียงเพราะเลือกที่จะแสดงออกทางความคิดและใช้สิทธิเสรีภาพของพวกเขาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอย่างชอบธรรม ทว่าไม่ถูกใจใครบางคน ...

Writings

ตำนานที่ถูก ‘เคลม’: กระสือใน Dead By Daylight และการปะทะของอัตลักษณ์ชาตินิยม

เขียน: จิระกานต์ วรรณธะสุข ภาพประกอบ: ปานชีวา ถนอมวงศ์ Dead By Daylight หรือในวงการสตรีมเมอร์เรียกว่า ‘ดบดล’ เกมแนวสยองขวัญเอาชีวิตรอดชื่อดัง ที่มักสร้างความตื่นเต้นด้วยการหยิบตัวละครจากแฟรนไชส์ชื่อดังมาปรากฏตัว เช่น Steve Harrington จากซีรีส์ชื่อดัง Stranger Things และล่าสุดได้สร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัวตัวละครตัวใหม่อย่าง ‘กระสือ’ ที่ถูกระบุชัดเจนว่าเป็นฆาตกรไทยตัวแรกในเกม ผีกระสือในตำนานพื้นบ้านคือหญิงสาวที่ศีรษะหลุดลอยออกมาพร้อมเครื่องในห้อยระย้า ออกหากินของสดและเลือดในยามค่ำคืน ...

Writings

หนังอิสระไทยอยู่ไหน? : สำรวจเส้นทางของหนังอิสระบนขวากหนามแห่ง “อุตสาหกรรม”ภาพยนตร์ไทย

เรื่องและภาพ: ปานชีวา ถนอมวงศ์ คุณจะคิดถึงหนังอะไรเป็นอย่างแรกเวลาไปโรงหนัง? แน่นอนว่าหนังฮอลลีวูดครองตลาดอุตสาหกรรมหนังในไทยมาเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นตลาดภาพยนตร์ที่ใหญ่และมีความต้องการสูง อีกทั้งยังมีคุณภาพการผลิตสูงเพราะได้รับทุนสร้างจำนวนมาก จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ ถึงอย่างนั้นจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในปี 2023 โดยข้อมูลจาก Marketing Oops! ชี้ให้เห็นว่า หนังไทยเริ่มครองตลาด และทำรายได้ถึง 54% ซึ่งมากกว่าหนังฮอลลีวูดที่ทำรายได้อยู่ที่ 38% ของรายได้จากหนังทั้งหมด ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save