เรื่อง : นิรัชพร ธนูวงษ์
ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา
‘จบมาแล้วจะทำอะไรลูก’
‘อย่าทำบริษัทเล็กเลย จะมั่นคงแค่ไหนกันเชียว’
‘ทำงานราชการดีนะ การงานมั่นคง สวัสดิการเยอะทั้งตัวหนูมาจนถึงพ่อกับแม่ หนูจะได้สบายในตอนแก่’
คำพูดเหล่านี้สกัดมาจากความเป็นห่วงและความรักที่พ่อแม่มีต่อฉัน
การทำงานในที่ที่ ‘มั่นคง’ ในความคิดของพวกเขา ก็คงจะเป็นหมายถึงงานซึ่งสามารถแบ่งเบาภาระที่ฉันจะต้องแบกรับในวัยทำงานได้ดี ด้วยเจตจำนงที่อยากให้ลูกสามารถเลี้ยงตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร พวกเขาแค่ไม่อยากให้ฉันลำบาก ฉันก็แค่เด็กจบใหม่คนหนึ่งที่พึ่งเริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตที่แท้จริง ไหนจะต้องดูแลตัวเอง ดูแลพ่อกับแม่
การตอบแทนบุญคุณแม้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เรียกร้อง แต่การที่เขาเลี้ยงดูฉันให้เติบโตมาอย่างดี ก็คงจะเป็นเหตุผลที่หนักแน่นพอในการตอบแทนเขาในยามแก่เช่นเดียวกัน
และหลาย ๆ คนคงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับฉัน ใช่ไหมนะ?
‘หนูอยากเป็นฟรีแลนซ์ค่ะแม่ เพราะหนูยังไม่ได้ชอบงานด้านไหนเป็นพิเศษเลย’
‘หนูอยากใช้เวลาค้นหาตัวเองก่อน ยุคนี้ใครๆเขาก็ทำกัน’
โต๊ะทานข้าวที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย กลับเงียบสงัด…
ไม่มีใครพูดอะไรต่อ หลังจากได้ยินสิ่งที่ฉันตอบกลับไป
ฉันเองในเวลานั้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตาพ่อและแม่ เพราะความเงียบนี้ก็คงเป็นคำตอบได้ดี ว่าพวกเขากำลังรู้สึก ‘ไม่พอใจ’
เรียบเรียงเหตุการณ์ได้สักพัก ฉันจึงเริ่มมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัว
ทำไมยิ่งโตขึ้นการสนทนากับพ่อแม่เริ่มเป็นเรื่องที่น่ากดดันขึ้นทุกที เมื่อก่อนหัวข้อการคุยกันระหว่างทานข้าวของเราคงเป็นเรื่องสัพเพเหระ แต่ทุกวันนี้เมื่อฉันใกล้ถึงวัยที่จะสำเร็จการศึกษา การพูดคุยของเราก็เริ่มจะกดดันขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะหัวข้อที่เรียกว่า ‘ความมั่นคง’
‘ความมั่นคง’ สำหรับฉัน คงเป็นเพียงการหางานที่ชอบเพื่อต่อยอดความสำเร็จในอนาคต และต้องมีเงินใช้จ่ายอย่างไม่ขัดสน
‘ความมั่นคง’ สำหรับฉัน คงเป็นเพียงการมีเงินเก็บที่เพียงพอในแต่ละเดือน เพื่อซื้อบ้านสักหลังให้กับตนเองและพ่อแม่
‘ความมั่นคง’ สำหรับฉัน คงเป็นเพียงการมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อาทิ การได้เงินจากการทำธุรกิจที่ตนเองชื่นชอบ ควบคู่ไปกับการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ฉันต้องการ
แต่… ความมั่นคงที่พ่อแม่ฉันพูดถึง มันคืออะไรกันแน่
ฉันในวัย 21 ปี กำลังจะเรียนจบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี และกำลังจะก้าวเข้าสู่ชีวิตในการทำงานจริง
ชีวิตกลายเป็นเรื่องที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่ากดดันในเวลาเดียวกัน
เพราะฉันรู้ตัวดี ว่าเป็นหนึ่งในคนที่ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ ฉันไม่รู้ว่าฉันมีความฝันอะไรกันแน่
คงเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นยุคนี้ ใช่ไหมนะ…
นั่งคิดทบทวนอยู่ราว ๆ เกือบ 2 เดือน ทำให้ฉันได้ตัดสินใจว่า ‘ฟรีแลนซ์’ หรือ อาชีพอิสระ คงจะเหมาะกับฉันผู้ที่อยากใช้เวลาค้นหาตัวเอง ดังเช่นในเวลานี้ที่สุด
แต่การจะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ในเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย
พวกเขาบอกฉันว่า
‘การที่หนูเรียนจบแล้วจะทำอาชีพอิสระเพื่อหาตัวเองให้เจอ กว่าจะเจอมันต้องใช้เวลามากแค่ไหน ถ้ามันต้องใช้เวลากว่า 10 ปี หนูก็จะยอมเสียเวลางั้นหรือ’
ใช่ค่ะ…หนูยอมหาตัวเองให้เจอแม้จะใช้เวลาทั้งชีวิต แต่หนูขอไม่เรียกมันว่า ‘การเสียเวลา’
พ่อและแม่เคยสอนหนูว่า ความอดทนคือสิ่งที่จะนำพาเราสู่ความสำเร็จ
เพราะฉะนั้น การได้อดทนรอทำในสิ่งที่ตัวเองชอบโดยแท้จริง และต่อยอดมันจนประสบความสำเร็จได้
มันก็คุ้มค่ามิใช่หรือ
‘อะไรก็ไม่แน่นอน ถึงจะได้ทำงานที่ชอบแต่มันอาจไม่ประสบความสำเร็จก็ได้ ความผิดหวังเป็นสิ่งที่เราจะต้องเจอ’
ฉันเห็นด้วยอย่างไร้ซึ่งคำพูดใดๆที่จะตอบกลับไป
‘การทำอาชีพอิสระ มันไร้ซึ่งความมั่นคง เดือนนี้อาจจะมีรายได้ตามเป้าหมาย แต่เดือนหน้าอาจจะไม่มีก็ได้ อาชีพเช่นนี้มันไม่สามารถรับประกันอะไรเราได้เลย’
ฉันไม่เข้าใจ…
‘คิดง่ายๆ หากเราอยากจะผ่อนบ้านสักหนึ่งหลัง เรามีกำลังผ่อนได้ในทุกเดือน แต่หากถึงช่วงเดือนที่เราไม่ได้รับรายได้ตามเป้าหมาย เราจะทำอย่างไรต่อ? ปล่อยให้บ้านหลังนั้นถูกยึด เช่นนั้นหรือ?’
ฉันคล้อยตามความคิดเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย เนื่องด้วยเงินเดือนของฉันหากทำอาชีพอิสระ ฉันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าแต่ละเดือนฉันจะได้เงินที่แน่นอนเท่าไหร่บ้าง
และนี่คงเป็นอีกครั้ง…ที่ฉันเห็นด้วยกับพวกเขา
ทันใดนั้น จู่ ๆ ความคิดของเด็กยุคใหม่ในฉบับฉันได้ผุดขึ้นมา เพื่อขัดขวางความคิดเห็นเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
แล้วหากฉันวางแผนมันไว้อย่างดี หากฉันกำหนดเป้าหมายชีวิตไว้ อาทิ เดือนนี้ฉันจะต้องได้รับเงินเท่าไหร่ และฉันจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้นั้น รวมไปถึงการหาช่องทางทำ passive income อาทิ การซื้อ-ขายหุ้น ขายงานลิขสิทธิ์จากการสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง
ฉันเชื่อว่าการวางแผนที่ดีและพร้อมรับมือในสถานการณ์เปลี่ยนแปลง จะทำให้ฉันไม่ตกในที่นั่งลำบากเช่นนั้นแน่นอน
คิดได้เช่นนั้น มันก็พอหักลบกับสิ่งที่พ่อและแม่ของฉันกำลังพูดถึงได้อยู่ มิใช่หรือ?
‘แต่การทำงานที่อยู่ในระบบข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ มันมั่นคง เพราะโอกาสน้อยที่เขาจะไม่ไล่เราออก เราเองก็ได้รับเงินเดือนมั่งคงทุกเดือน และยังได้รับ ‘สวัสดิการ’ ด้านสุขภาพ พ่อแม่เองก็ได้สวัสดิการเหล่านั้นด้วย มันลดภาระลูกได้หากพ่อแม่เป็นอะไรไปในยามแก่เฒ่า’
ได้ยินดังนั้น ฉันถึงกับร้อง ‘อ๋อ…’ ในหัว
สุดท้ายฉันก็ได้พบคำตอบของคำว่า ‘ความมั่นคง’ ของพ่อและแม่
มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเหมือนที่ฉันคิดเอาเสียเลย
‘ความมั่นคงของผู้ใหญ่’ เพียงแต่หมายถึง การที่ลูกจะได้รับรายได้ในทุกๆเดือน โดยที่เขาไม่ต้องมานั่งเป็นห่วง ว่าในแต่ละเดือนเราจะมีเงินเพียงพอในการใช้จ่ายหรือไม่
‘ความมั่นคงของผู้ใหญ่’ เพียงแต่หมายถึง การได้รับสวัสดิการของบริษัท ที่จะสามารถช่วยลดทอนค่าใช้จ่ายของลูกได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
‘ความมั่นคงของผู้ใหญ่’ เพียงแต่หมายถึง งานที่จะช่วยให้คำว่า ‘พ่อ’ และ ‘แม่’ ไม่เปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ภาระ’ ของลูกในอนาคต…
แต่สำหรับฉัน ในฐานะของเด็กรุ่นใหม่ มองเพียงว่า การทำงานควรจะควบคู่ไปกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี
หากฉันจะต้องไปทำงานที่ไม่ได้รัก เพียงเพื่อคำว่า ‘ความมั่นคง’ แบบที่พ่อและแม่พูดกับฉัน
มันคงจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเอาเสียเลย
ฉันขอยอมสูญเสีย ‘ความมั่นคงในฉบับของพ่อและแม่’ แลกกับ ‘ความมั่นคงในฉบับของฉัน’
ขอเพียงแค่ ได้ค้นหาตัวเองเจอ และได้ทำงานในสิ่งที่รัก ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตในแบบที่หวัง
ขอเพียงแค่ งานที่ทำทำให้ฉันมีเงินไปเลี้ยงดูตนเองได้อย่างไม่ขัดสน ด้วยสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี
ขอเพียงแค่ ความขยันในการทำงานที่ชอบ เพื่อเลี้ยงดูพ่อและแม่ได้อย่างดีในยามแก่เฒ่า โดยไม่ต้องพึ่งสวัสดิการจากที่ไหน ให้ได้เหมือนกับที่เขาเลี้ยงดูฉันมาอย่างดีในตอนนี้
เพียงเท่านี้…ฉันก็ประสบความสำเร็จ กับคำว่า ‘ความมั่นคง’ แล้ว
สุดท้าย เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกกลั่นกรองโดย ‘ฉัน’
ในฐานะบุคคลที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อและแม่มาโดยไม่ขาดตกบกพร่องในเรื่องใด
เมื่อได้อ่านจนถึงตอนนี้ผู้อ่านคงจะได้เห็นแล้วว่า คำว่า ‘ความมั่นคง’ มิได้มีส่วนประกอบเพียงแค่ ‘ตัวฉัน’ แต่ยังมีส่วนประกอบของ ‘ความรักและขอบคุณ’ ต่อพ่อแม่
แม้ว่าคำว่า ‘ความมั่นคง’ ของเราจะต่างกัน แต่สุดท้ายเป้าหมายของเราก็เป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกัน
กว่านักธุรกิจจะประสบความสำเร็จ พวกเขายังต้องทดลองตลาดหลายต่อหลายครั้ง ทั้งอดทนรอหลายต่อหลายปี
การใช้ชีวิตก็เช่นเดียวกัน…
หากเราลองเปิดใจกับแนวคิดเด็กสมัยใหม่ ให้ได้เลือกแนวทางของตัวเอง และได้ลองผิดลองถูกในการใช้ชีวิต
แม้จะมีสำเร็จบ้าง มีพลาดบ้าง
สุดท้ายการเรียนรู้เหล่านั้น ก็สามารถส่งผลให้พวกเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในเส้นทางเดินของตนเองในอนาคต