เขียน: ธีรภัทร กมล และศิวะ พุ่มอรุณ

มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย เตรียมยื่นเสนอแก้กฎหมายยาเสพติดให้ผู้ใช้ยาไม่มีความผิดทางอาญา เพราะผู้ใช้ยาไม่ใช่อาชญากร พร้อมเสนอ Harm Reduction เป็นบริการทางเลือก หวังลดอคติจากคนในสังคม
เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่ มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) จารุณี ศิริพันธ์ ผอ.มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันองค์กรได้เตรียมเสนอแก้พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ที่เดิมได้มีเนื้อหาถึงการดำเนินคดีกับผู้ที่มียาเสพติดไว้ในครอบครองโดยได้เสนอให้ยกเลิกโทษที่มีอยู่เดิมแก่ผู้ใช้ยา เพราะการใช้ยาดังกล่าวเป็นการใช้กับร่างกายตัวเอง และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้สังคม ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลอย่างหนึ่งของผู้ใช้ เพียงแต่ต้องมีการให้บริการเรื่องความปลอดภัยในการใช้ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติได้ เพราะพวกเขามักถูกตีตราและถูกเลือกปฏิบัติเนื่องจากคนในสังคมขาดความเข้าใจ ไม่ว่าจะจากครอบครัว ที่ทำงาน หรือจากตัวบุคลากรผู้ให้บริการด้านสุขภาพเอง
ผอ.มูลนิธิฯ กล่าวว่า การใช้ยาก็เปรียบเสมือนการรับประทานของหวาน ดื่มกาแฟ หรือเล่นเกม เพราะกิจกรรมดังกล่าวล้วนกระตุ้นให้สมองหลั่งสารที่มีชื่อว่าโดปามีนที่ช่วยให้มีความสุข และหลงลืมความเครียดของตัวเอง ซึ่งร่างกายจะเกิดการจดจำพฤติกรรมดังกล่าว จนนำไปสู่การเสพติดในท้ายที่สุดหรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นพฤติกรรมที่ทำให้โดปามีนหลั่งมากกว่าการใช้ยาเสพติด แต่กลับถูกมองเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ผิดกฎหมาย ในขณะที่ยาเสพติดเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับไม่ได้ เพราะกฎหมายกำหนดเอาไว้
ผอ.มูลนิธิฯ ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีสงครามยาเสพติดในสมัยรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ.2546 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 รายนั้น รัฐมองว่าเป็นการกำจัดต้นตอหวังขจัดปัญหา แต่ความจริงแล้วคนที่เสียชีวิตไปกลับเป็นเพียงรายย่อยตัวเล็กๆ ที่แม้จะกำจัดไปก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้เพราะขบวนการยาเสพติดมักจะเกี่ยวข้องกับการทุจริต นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างครอบครัวของผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมาก เช่นนั้น การทำสงครามกับยาเสพติดจึงไม่ใช่ทางออก แต่ควรที่จะนำระบบสาธารณสุข ช่วยแก้ไขปัญหาแทน
ผอ.มูลนิธิฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในจำนวนผู้ใช้ยากว่า 4 ล้านรายในปัจจุบันของประเทศไทย ร้อยละ 86 เป็นกลุ่มผู้ใช้ที่มีแบบแผนในการใช้ เช่นใช้ก่อนไปทำงาน หรือใช้เฉพาะวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ ที่แม้จะเป็นการใช้ประจำแต่ก็สามารถควบคุมได้และไม่เป็นอันตรายต่อสังคม จึงควรมีการส่งเสริมให้ผู้ใช้ยาได้เข้าถึงบริการทางสาธารณสุขแทนการลงโทษ หรือการถูกส่งไปบำบัดที่ส่งผลให้มีประวัติอาชญากรรมและเป็นการบำบัดจากหน่วยงานของรัฐที่มักจะไม่ได้ผล
“กฎหมายต้องไม่มองผู้ใช้ยาเป็นอาชญากร แต่ควรมีทางเลือกให้นอกจากการไปเรือนจำหรือการไปบำบัด ด้วยแนวคิดที่ว่าผู้ใช้ยาต้องหายขาดเพียงอย่างเดียว ผู้คนควรได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการลดอันตรายจากการใช้ และควรมีบริการทางเลือกตามเงื่อนไขของผู้ใช้ยาแต่ละคน” ผอ.มูลนิธิฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายภาคประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ เคยร่างกฎหมายชื่อร่างพระราชบัญญัติบำบัดฟื้นฟูคุ้มครองดูแลและพัฒนาชีวิตคุณภาพผู้ใช้ยาเสพติด ยื่นต่อรัฐสภาโดยมีใจความหลักของกฎหมายคือยกเลิกความผิดอาญาของผู้ใช้ยาเสพติด แต่กฎหมายฉบับดังกล่าวถูกตีตกไปในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี พ.ศ.2564 ด้วยสาเหตุด้านความมั่นคง FAIR จึงปรับกลยุทธ์ในครั้งนี้ด้วยการขอเสนอแก้กฎหมายแทน โดยยังคงใจความหลักคือให้ผู้ใช้ยาเสพติดไม่มีความผิดทางอาญา ในขณะที่ส่วนของการผลักดันร่วมกับพรรคการเมืองนั้น จารุณีกล่าวว่า กัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรคเป็นธรรม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อดูจะเห็นด้วยและสนับสนุนร่างแก้กฎหมายฉบับนี้มากที่สุด
ผอ.มูลนิธิฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันได้มีสิ่งที่เรียกว่าการลดอันตรายจากการใช้ยา (Harm Reduction) ซึ่งคือแผนการปฏิบัติเพื่อลดผลกระทบจากยาให้ผู้ใช้ยาโดยจะมีการให้บริการความรู้เรื่องการใช้ยาแบบ ปลอดภัย การแจกเข็มสะอาดเพื่อลดโอกาสที่จะเกิดโรคติดต่อจากการใช้เข็มร่วมกัน เพราะปัจจุบันการซื้อเข็มเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและมีการบริการให้คำปรึกษาหากผู้ใช้ยาต้องการลดปริมาณการ ใช้ยา ซึ่งจะไม่บังคับให้ผู้ใช้ยาจำเป็นต้องหายขาด รวมทั้งบริการด้านกฎหมาย และสังคมในกรณีที่ ผู้ใช้ยาถูกเลือกปฏิบัติ
“หน้าที่ของรัฐบาลคือการกำจัดยาเสพติดให้ไม่มีในสังคม แต่เมื่อทำไม่ได้ เป้าหมายของเราจึงเป็นการเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้ยาเสพติดไม่เสียชีวิตด้วยแนวทาง Harm Reduction เราไม่ได้เข้าข้างผู้ใช้ยา เราไม่ได้ต้องการให้ผู้ใช้ยามีสิทธิมากกว่าคนอื่น แต่เรากำลังเรียกร้องสิทธิที่ผู้ใช้ยาไม่ได้เท่าคนอื่น ซึ่งได้แก่การได้รับการเคารพความเป็นมนุษย์และการไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากคนในสังคม” จารุณีกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปัจจุบัน บริการบ้านเสมอโดยมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย ประกอบไปด้วย บริการด้านกฎหมาย ที่ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือด้านสิทธิทางกฎหมายแก่ผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติ, บริการด้านสุขภาพ เช่น การตรวจเอชไอวี, บริการด้านสุขภาพทางเพศ เช่น ตรวจสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์, บริการลดอันตราย (Harm Reduction) ซึ่งมูลนิธิฯ ได้เสนอให้เป็นทางเลือกลดอันตรายจากการใช้ยาไม่ให้ไปสู่ระดับที่ควบคุมไม่ได้หรือเสียชีวิต และเป็นข้อเสนอในการแก้กฎหมายให้เพิ่มบริการดังกล่าวของบ้านเสมอเป็นทางเลือกเพิ่มเติมของผู้ใช้ยานอกเหนือจากการบังคับบำบัดโดยภาครัฐ และบริการสุขภาพจิต ที่ให้คำปรึกษาทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม โดยสามารถติดต่อบ้านเสมอได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 083-543-3608
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้ติดต่อไปที่ฝ่ายกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด (ปปส.) เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 22 กันยายน ถึงความเห็นต่อการยื่นแก้กฎหมายดังกล่าวของ FAIR ก่อนจะได้รับคำตอบว่า การยื่นแก้กฎหมายถือเป็นสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนสามารถทำได้ แต่ในทางปฏิบัติถือว่าเป็นไปได้ยาก เพราะกฎหมายยาเสพติดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันถือว่าเบามากแล้ว และถึงแม้จะผิดกฎหมายอาญา แต่ผู้ใช้ยาส่วนใหญ่ก็จะถูกจับเข้ารับการบำบัดหมด แทบไม่มีคนที่ถูกจับเข้าคุก เว้นแต่ในกรณีที่มีประวัติทำความผิดมาหลายครั้งหรือผู้ที่ไม่ยอมเข้ารับการบำบัด ถึงจะถูกส่งไปดำเนินคดีทางกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงมองว่าโทษในปัจจุบันเหมือนไม่มีอยู่ดี เพราะโอกาสที่ผู้ใช้ยาต้องจำคุกแทบไม่มีเลยแต่ก็พบในบางกรณีที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจไปในทางที่ผิดหรือมีการทุจริต ส่งผลให้กฎหมายมีความเสื่อมโทรมอยู่บ้าง
“ในปัจจุบันการบำบัดของภาครัฐก็จะมีการคัดกรองว่าผู้ใช้ยาอยู่ในระดับไหน มีการใช้ยามากี่ครั้ง และมีผลกระทบต่อร่างกายมากแค่ไหน ซึ่งหากอยู่ในกลุ่มที่มีผลกระทบเบาก็แทบไม่ต้องเข้ารับการรักษาเลย เพียงแต่ต้องเข้ามารายงานตัวเท่านั้น” ฝ่ายกฎหมายปปส.กล่าว