เขียน: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ
ภาพประกอบ: วรัชยา สุริยะพันธุ์

“ผมไม่กล้าเทียบว่าเราจะเป็นมหาวิทยาลัยระดับเวิลด์คลาส แต่ควรมองตามความเป็นจริง ธรรมศาสตร์ควรที่จะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของภูมิภาค”
คำสัมภาษณ์ของศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ให้สัมภาษณ์ไว้กับสำนักข่าวประชาชาติธุรกิจ ในข่าว ‘ธรรมศาสตร์ Transform ปี 70 ปรับ 298 หลักสูตรสู่ระดับโลก’
‘มธ.กำลังเร่งปรับหลักสูตรใหม่ปี 70 เน้นผลิตบัณฑิตตามสมรรถนะ TU-IMPACT ที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน’
เนื้อความจากบทสัมภาษณ์ของ ดำรงค์ อดุลยฤทธิกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ที่สัมภาษณ์ในข่าวการปรับหลักสูตรใหม่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2570 บน VARASARN PRESS เว็บไซต์ฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
ขณะที่ฝ่ายบริหารมองว่าการปรับหลักสูตรใหม่ในครั้งนี้เป็นไปเพื่อตอบโจทย์โลกทุนนิยม ที่เน้นการผลิตแรงงานออกสู่ตลาด มุ่งเน้นให้บัณฑิตมีสมรรถนะตามความต้องการในโลกของการทำงาน แต่นักศึกษาบางส่วนกลับมองว่าเนื้อหาหลักสูตรของมหาวิทยาลัยในบางรายวิชาไม่ตอบโจทย์ต่อโลกปัจจุบัน และอาจไม่จำเป็นในการดำเนินชีวิตในอนาคต
“ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยควรจะวางตำแหน่งตัวเองในฐานะแหล่งผลิตองค์ความรู้ใหม่ เหมือนกับเวลาที่กรีกโบราณเริ่มต้นองค์ความรู้จากศูนย์ การที่จะผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพได้ต้องให้เวลา ให้พื้นที่กับเขาในการคิด แต่พวกวิชาศึกษาทั่วไปมันจับฉ่ายมาก ในความเห็นผม ตอนนี้เราไม่ได้อะไรเลย เราไม่ได้คนที่จะผลักเข้าไปสู่ตลาดแรงงาน ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้งานวิจัยที่มีคุณภาพ”
ธาวิน กิตติพงศ์พิทยา นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน กล่าวถึงบทสัมภาษณ์ของฝ่ายบริหารในกรณีการปรับปรุงหลักสูตร โดยเขาเล่าว่าตั้งแต่ขึ้นชั้นปีที่ 2 รู้สึกว่าเนื้อหาของวิชาศึกษาทั่วไปนั้นง่ายและน่าเบื่อ ต่างจากตอนเรียนชั้นปีที่ 1 ได้มุมมองพื้นฐานหลากหลาย เป็นรากฐานในการคิด และได้แง่มุมที่น่าสนใจ ทั้งในแง่สังคม ปรัชญา และมนุษยศาสตร์
เมื่อเวลาผ่านไปหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี ความน่าสนใจของรายวิชาเหล่านั้นกลับกลายเป็นความน่ารำคาญ เขาบอกว่าเนื้อหาของรายวิชาไม่ลงรายละเอียดมากนัก สอนแต่ขั้นพื้นฐานทั่วไป ซึ่งการเรียนแต่พื้นฐานของเรื่องทั่วไปทำให้รู้สึกว่าประเด็นของรายวิชามีเนื้อหาซ้ำกับรายวิชาตามคณะต่างๆ ที่อาจมีความเฉพาะและเจาะลึกมากกว่า รวมถึงการที่ต้องเรียนวิชาศึกษาทั่วไปกว่า 30 หน่วยกิต ถือเป็นการสิ้นเปลืองเวลาสำหรับนักศึกษา
“วิชาที่มีประโยชน์ก็มี อย่างเช่น TU109 (นวัตกรรมกับกระบวนการคิดผู้ประกอบการ) แต่ในที่นี้หมายถึงว่าเป็นประโยชน์สำหรับผม เพราะถ้าเราเป็นคนไม่ได้สนใจเรื่องการประกอบธุรกิจ มันก็จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไม่เป็นประโยชน์ที่จะไปเรียน”
ในฐานะนักศึกษาที่กำลังเรียนวิชาศึกษาทั่วไปอยู่ ธาวินเสนอว่า หากธรรมศาสตร์ต้องการปรับหลักสูตรให้มีความยั่งยืน และตอบโจทย์ความเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำมากขึ้น ควรปรับเปลี่ยนให้วิชาเหล่านั้นทำงานกับระบบความคิดของผู้เรียนมากกว่าในรูปแบบปัจจุบันที่เน้นผลลัพธ์ ซึ่งการปรับเปลี่ยนความคิดผู้เรียนต้องใช้เวลา และอาจใช้การสอนเชิงลึกในคลาสเล็ก มากกว่าเป็นการสอนแบบบีบอัดเนื้อหาในคลาสใหญ่ ซึ่งไม่ตอบโจทย์ความต้องการของนักศึกษา และเป้าหมายของมหาวิทยาลัยที่ต้องการให้มีความยั่งยืนในหลักสูตร
เขาเสริมว่า ปัญหาสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่วิชาศึกษาทั่วไปกลายเป็นต้นเหตุคือ ‘การวางแผนตารางเรียน’ ของนักศึกษา เนื่องจากบางวิชาไม่สามารถลงทะเบียนได้ บางวิชามีการกันโควต้าให้เด็กภายในคณะก่อน ทำให้คนที่ลงทะเบียนไม่ทันต้องตกขบวน และไม่สามารถลงทะเบียนตามแผนที่ตัวเองวางไว้ได้ ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาที่จะกระทบต่อการเรียนให้จบตามเงื่อนไขของหลักสูตรในคณะนั้นๆ
เขามองว่าทางออกสำหรับปัญหาเหล่านี้ คือการเปลี่ยนโครงสร้างวิชาศึกษาทั่วไป ปรับเปลี่ยนให้เป็นคลาสเล็ก อาจารย์สามารถให้ความสนใจกับผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งควรจำกัดให้เรียนแค่ 2-3 รายวิชา โดยนักศึกษาสามารถเลือกวิชาที่ต้องการเรียนตามความสนใจของตัวเอง ทั้งนี้จำนวนห้องเรียนและที่นั่งต้องเพียงพอต่อความต้องการ เพื่อให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และไม่ทำให้มีนักศึกษาตกค้าง ไม่ได้เรียนตามความต้องการของตัวเอง
ด้านศิษย์เก่าอย่างณัฐชุตา จีนหมั้น อดีตนักศึกษาจากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ กล่าวว่า เธอลงทะเบียนเรียนวิชาศึกษาทั่วไปเพียงเพราะเป็นวิชาบังคับ ทั้งยังเข้าเรียนแทบทุกคาบเพราะว่าไม่อยากเรียนซ้ำ แต่เมื่อถึงวัยที่ต้องทำงานจริง สิ่งที่เคยเรียนมาในวิชาเหล่านี้ กลับยังไม่เคยถูกใช้งานจริง ประโยชน์เพียงอย่างเดียวที่ได้คือเพื่อนจากต่างคณะที่เรียนในคลาสเดียวกัน
เธอคิดเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ว่าปัญหาอยู่ที่ตัวหลักสูตร เนื่องจากไม่สามารถเอาไปใช้ได้จริง ไม่ทราบว่าสิ่งที่เรียนไปต้องนำอะไรไปใช้และใช้เมื่อไหร่ การเรียนจึงกลายเป็นเพียงเรียนเพื่อให้ผ่านไปเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นหรือความน่าสนใจอื่นๆ ทั้งยัง ‘ไร้ความยั่งยืน’ สำหรับผู้เรียนในการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง
ในมุมมองของเธอ วิชาเพื่อความยั่งยืนควรสอนเกี่ยวกับการสื่อสาร และการประสานงาน อีกทั้งควรมีกิจกรรมให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมการทำงาน เป็นการฝึกปฏิบัติที่สามารถนำองค์ความรู้ไปพัฒนาตัวผู้เรียนเองในอนาคตได้จริง แม้ว่าจะเรียนจบในรายวิชานั้นๆ ไปแล้วก็ตาม
เธอยังคิดอีกว่าวิชาพื้นฐานไม่ได้มีความสำคัญเป็นพิเศษ เธอมองว่าวิชาเหล่านี้เป็นเหมือนกับการได้ทบทวนองค์ความรู้สมัยมัธยมศึกษา ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้นำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่แตกต่างจากตอนนั้น และเนื้อหาของรายวิชายังตอกย้ำการเป็นรายวิชาที่ ‘ต้องเรียน’ มากกว่า ‘เรียนเพื่อพัฒนา’ ชีวิตของนักศึกษา
ณัฐชุตาเสนอว่า การปรับปรุงหลักสูตรที่จะถึงนี้ มหาวิทยาลัยควรเพิ่มวิชาที่สามารถใช้ได้จริงมากขึ้นในหลักสูตร และลดวิชาบังคับเรียน ไม่บังคับนักศึกษาให้เรียนวิชาที่ตนเองไม่ได้สนใจ หรือไม่สามารถใช้ได้จริง เพราะนอกจากวิชาเหล่านั้นจะทำให้เสียเวลาแล้ว ยังสิ้นเปลืองพื้นที่หน่วยกิตสำหรับเรียนวิชาอื่นๆ เนื่องจากเวลาในรั้วมหาวิทยาลัยมีจำกัด และนักศึกษาควรได้ใช้เวลาไปกับการเรียนรายวิชาที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตัวนักศึกษา
อย่างไรก็ตาม นักศึกษาที่มองว่าวิชาศึกษาทั่วไปมีความสำคัญก็ยังมีอยู่ แต่ยังคงติดปัญหาเดิมที่ว่าหลักสูตรอาจยังไม่ตอบโจทย์มากพอ
“อย่างเช่นวิชา TU100 ทำให้ตระหนักถึงปัญหา วิเคราะห์และลงมือแก้ไขสถานการณ์ แต่ยังขาดศักยภาพที่ทำให้นักศึกษาเห็นความสำคัญของการเรียน รวมถึงขาดความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาจริง เนื่องจากหลังเรียนจบรายวิชานี้ โครงการแก้ไขปัญหาก็จบลง ไม่มีการสานต่อ”
ชนาทิพย์ ถีระวงษ์ นักศึกษาชั้นปีที่ 5 คณะเภสัชศาสตร์กล่าวว่า เมื่อถามความเห็นถึงหลักสูตรของวิชาศึกษาทั่วไปในปัจจุบัน เธอคิดว่าแนวทางการพัฒนาให้หลักสูตรมีความยั่งยืนมากขึ้น คือการนำแนวคิดที่ได้จากการเรียนมาสานต่อตั้งแต่ในระดับคณะ มหาวิทยาลัย ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรภายนอกมหาวิทยาลัย เพื่อทำให้โครงการนั้นๆ ได้ใช้ประโยชน์จริง และเกิดความยั่งยืนมากขึ้น
เธอมองว่าวิชาศึกษาทั่วไปยังคงมีความสำคัญ เพราะทำให้ได้รับรู้ถึงปัญหา และหาแนวทางแก้ไข ฝึกระบบความคิด อีกทั้งยังได้พบเจอกับมุมมองที่หลากหลายจากเพื่อนต่างคณะ ซึ่งเปิดโอกาสให้เรียนรู้แนวคิดใหม่ๆ อีกทั้งเธอยังมีโอกาสได้นำ Soft Skills (ทักษะทางอารมณ์และสังคมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น) ที่ได้ฝึกจากการทำกิจกรรมไปใช้จริง ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการสื่อสารกับผู้อื่น การทำงานเป็นทีม และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้ชนาทิพย์จะเห็นถึงความสำคัญของวิชาศึกษาทั่วไป แต่เธอก็เห็นว่าการพัฒนา Soft Skills เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากนักศึกษาควรเรียนรู้และฝึกฝน Hard Skills (ทักษะความรู้เฉพาะทางที่สามารถวัดผลได้ชัดเจนและจับต้องได้) ควบคู่กันไปด้วย เพราะทั้งสองทักษะจะผสมผสานกันกลายเป็นองค์ความรู้ที่ทำให้นักศึกษาสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการใช้ชีวิต และเป็นไปตามจุดประสงค์ที่แท้จริงของรายวิชาคือการ ‘พัฒนาคน’ ให้พร้อมกับโลกความเป็นจริง

เมื่อถามกลับไปถึงมุมมองของทางมหาวิทยาลัย อาจารย์ธนภัทร ชีรณวาณิช ผู้สอนวิชา TU109 ซึ่งเป็นรายวิชาที่มีอัตราเด็กเข้าเรียนถึง 85% จากคนลงทะเบียนเรียนทั้งหมด กล่าวว่า ปรัชญาของวิชาศึกษาทั่วไป คือการสร้างขอบเขตให้นักศึกษาเรียนรู้อย่างรอบด้านมากกว่าศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งในเชิงลึก อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือทำให้นักศึกษาได้รู้จักเพื่อนต่างคณะ เป็นการพัฒนา Soft Skills หรือทักษะด้านอารมณ์และสังคมที่ช่วยให้การทำงานและการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็นไปอย่างราบรื่น เป็นเหตุผลว่าทำไมทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทยยังคงมีวิชาเหล่านี้อยู่
“ไม่มีวิชาไหนที่ไม่จำเป็นบนโลก แต่ถ้าเราคิดว่ามันไม่จำเป็น มันก็จะไม่จำเป็นต่อไป ในความจริงแล้วเรารู้มากแค่ไหนว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือไม่ เราจะรู้ในตอนที่มีโอกาสได้ใช้ ดังนั้นลองเรียนดูก่อน วันหนึ่งอาจจะได้ใช้ก็ได้ ใครจะรู้” อาจารย์ธนภัทรฝากแง่คิดถึงนักศึกษาที่กำลังคิดว่าวิชาศึกษาทั่วไปไม่จำเป็น
อาจารย์ธนภัทรกล่าวว่า ในรายวิชาของเขา มีนักศึกษาหลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียนเกี่ยวกับธุรกิจ เพราะไม่ได้อยากเป็นผู้ประกอบการ แต่ความเป็นจริงแล้วทุกคนล้วนอยู่ภายใต้โลกทุนนิยม และไม่สามารถหลีกหนีความเป็นธุรกิจในโลกใบนี้ได้ อีกทั้งในรายวิชามีนักศึกษาชั้นปีที่ 3 และปีที่ 4 หลายคนให้ความเห็นว่าความรู้ที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
ทั้งนี้ เขาเชื่อว่าการที่นักศึกษาเข้าเรียนในรายวิชาศึกษาทั่วไปที่เขาสอนเป็นจำนวนมากเพราะมีกิจกรรมให้ทำ บรรยากาศในห้องเรียนจึงไม่ได้กดดันจนเกินไป ทำให้นักศึกษารู้สึกอยากเข้าไปมีส่วนร่วมในห้องเรียนมากกว่ารายวิชาที่เน้นการบรรยายอย่างเดียว อีกทั้งมหาวิทยาลัยยังรับฟังเสียงสะท้อนของนักศึกษาผ่านการประเมินรายวิชาตอนท้ายเทอม เพื่อพัฒนาให้รายวิชามีคุณภาพมากขึ้นในทุกภาคการศึกษา
อาจารย์ธนภัทรเสริมว่า หลักสูตรใหม่ที่กำลังจะปรับในปีการศึกษา 2570 ที่กำลังจะถึงนี้ จะปรับให้เท่าทันยุคสมัยมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในอดีตการสอนบรรยายภายในห้องเรียนที่มีนักศึกษาเข้าเรียนหลักพันคน ทางมหาวิทยาลัยเห็นว่าการเรียนรูปแบบดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์ จึงปรับเปลี่ยนมาเป็น Active Learning หรือการสอนในรูปแบบที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม และตอบสนองการเรียนรู้ในสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันนอกจากการสอนภายในห้องเรียน ยังมีรูปแบบห้องเรียนออนไลน์ และการสอนแบบผสมผสานที่มีทั้งการสอนภายในห้องเรียนและออนไลน์ในรายวิชาเดียวกัน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าอาจารย์ผู้สอนมีหน้าที่อำนวยการเรียนรู้ เพื่อให้นักศึกษาได้รับประโยชน์สูงสุด
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าวิชาศึกษาทั่วไปจะจำเป็นหรือไม่ หรือมีความสำคัญมากแค่ไหน ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียนที่มากเกินไป อาจทำให้นักศึกษามองว่าการเรียนเป็น ‘สิ่งที่ต้องทำ’ มากกว่าเป็น ‘สิ่งที่เกิดประโยชน์’
ความท้าทายของการปรับหลักสูตรในปีการศึกษา 2570 ที่จะถึงนี้ คงต้องทำให้นักศึกษาเข้าใจเกี่ยวกับแก่นหลักของวิชาศึกษาทั่วไปมากขึ้น และฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับวิชาการควรพิจารณาเกี่ยวกับรายวิชาที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อนักศึกษา แม้จำนวนหน่วยกิตจะลดลงจาก 30 หน่วยกิต เหลือ 24 หน่วยกิต แต่ยังคงเป็นจำนวนที่มากและกินเวลาการเรียนของนักศึกษา
ธรรมศาสตร์ควรให้ความสำคัญกับความต้องการของนักศึกษา ซึ่งต้องการหลักสูตรที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน และควรตั้งคำถามกับตนเองว่าการปรับหลักสูตรในแต่ละครั้งทำไปเพื่อความต้องการของใคร










