เรื่องและภาพ : ณัชชา กลิ่นประทุม
Trigger Warning :
บทความชิ้นนี้มีการกล่าวถึงการฆ่าตัวตายและความอยากที่จะฆ่าตัวตาย
ในช่วง 1-2 ปีมานี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สร้างบาดแผลเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลทางร่างกายที่เชื้อโรคกัดกินระบบทางเดินหายใจจนทำให้ร่างกายของเราไม่สมบูรณ์แข็งแรงเท่าเดิม หรือบาดแผลทางใจที่การแพร่ระบาดในครั้งนี้ส่งผลให้ใครหลายคนต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก โอกาส หน้าที่การงาน หรือทรัพย์สินเงินทอง
ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิตเปิดเผยข้อมูลว่าผู้คนในพื้นที่สีแดงและสีส้มกำลังเผชิญหน้ากับความอ่อนล้า ความเครียด และบางคนเข้าข่ายที่จะเป็นโรคซึมเศร้า ดังนั้นผู้เขียนจึงคิดว่าเราควรจะดูแลและรู้เท่าทันสภาพจิตของเราให้ดีเท่ากันกับการที่เราดูแลสุขภาพกาย
ผู้เขียนได้มีโอกาสลงทะเบียนเรียนในรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาและโรคทางจิตเวช ดังนั้นบทความในวันนี้เราจึงอยากจะนำเสนอเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในจักรวาล ‘Mental Health’ ที่เราคิดว่ามันน่าสนใจและน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับคุณผู้อ่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หวังว่าทุกคนจะรู้สึกเพลิดเพลินและได้ความรู้ที่เป็นประโยชน์กลับไปจากการอ่านบทความชิ้นนี้

ว่าด้วยเรื่องความเหงา
คนทุกคนต้องการเป็นเจ้าของและต้องการที่จะถูกเป็นเจ้าของ หรือที่เรียกว่า human have a need to belong แต่เมื่อเราขาดเพื่อน ขาดเครือข่ายทางสังคม ขาดการสนับสนุนทางอารมณ์ เราขาดความรู้สึกที่เราคาดหวังว่าจะได้รับจากความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่ เราก็จะเกิดความเหงาขึ้น
ความเหงาส่งผลโดยตรงกับสุขภาพ เมื่อเกิดความเหงา ฮอร์โมนความเครียดของเราจะหลั่งออกมามากขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น นอนหลับไม่สนิท หรือในบางคนอาจจะมีอาการซึมเศร้า ดร.วิเวก เมอร์ธี นายแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาบอกว่า ความเหงาส่งผลโดยตรงกับสุขภาพเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 15 มวนต่อวัน โดยเราสามารถเอาชนะความเหงาได้ด้วยการมองโลกในแง่ดีและมีความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น หาเพื่อนใหม่ที่ไม่ใช่แค่สถานะคนรู้จัก แต่อย่ามองหาคนรักเพราะถ้าคุณถูกปฏิเสธและรู้สึกผิดหวัง คุณอาจจะรู้สึกเหงามากกว่าเดิม หรือโพสต์เรื่องราวลงบน facebook โดยไม่ต้องสนใจยอดกดไลก์หรือคอมเมนต์ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยคลายความเหงาลงได้

Depression vs. Grief
พูดถึงเรื่องความเศร้า อารมณ์เศร้าเป็นอารมณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ในช่วงที่เราสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักหรือสูญเสียบุคคลที่มีความผูกพันกับเรามาก ๆ คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าอารมณ์เศร้าจะมาเคาะประตูหน้าบ้านของเราแน่นอน ในหัวข้อนี้ผู้เขียนอยากจะมาแบ่งปันให้ฟังว่าความเศร้าแบบโรคซึมเศร้ากับความเศร้าจากสูญเสียบุคคลสำคัญมีความแตกต่างกันอย่างไร
‘Grief or Bereavement’ คือ ภาวะอารมณ์ผิดปกติจากการสูญเสียบุคคลสำคัญ เป็นความรู้สึกว่างเปล่า สูญเสีย ในบางคนอาจจะมีความคิดอยากจบชีวิตตัวเองด้วยเหตุผลเพราะรู้สึกผิดพลาดกับคนที่จากไป อยากจบชีวิตเพื่อไปอยู่กับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว มีอารมณ์เศร้าตอนคิดถึง แต่ตอนที่ไม่ได้คิดถึงก็จะไม่ได้รู้สึกเศร้า บางครั้งเมื่อคิดถึงคนที่จากไปก็อาจจะมีรอยยิ้มเพราะคิดถึงช่วงเวลาดี ๆ ตอนเขาคนนั้นยังมีชีวิตอยู่
ส่วนโรคซึมเศร้า หรือ Major Depressive Disorder นั้น คุณหมอทางจิตเวชที่มาสอนในรายวิชาเรียนบอกว่า คนไข้จะรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถมีความสุขได้เลย มองว่าตัวเองแย่ ไม่มีค่า ไม่มีความหมาย และจะมีความคิดอยากจบชีวิตของตัวเองเพราะรู้สึกว่าเหมาะสมแล้วที่เราจะไม่มีชีวิตอยู่ คนที่เป็นโรคนี้จะไม่สามารถจัดการกับความเจ็บปวดที่เกิดจากโรคได้
มีอาการไม่ได้แปลว่าเป็นโรค แล้วจะเป็นโรคต้องเป็นแบบไหน
โรคทางจิตเวช คือ กลุ่มอาการที่มีความสำคัญทางคลินิก หมายความว่า เมื่อป่วยแล้วต้องได้รับการรักษา มันคือการที่บุคคลหนึ่งมีกระบวนการคิด การควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมที่ผิดปกติ การที่จะบอกว่าบุคคลหนึ่งเป็นโรคทางจิตเวชหรือไม่นั้น ต้องดูว่าความผิดปกตินั้นส่งผลต่อการสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันหรือไม่ (เช่น การดูแลตัวเอง การซื้อของ การเดินทาง) ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานทางใจ หรือทำให้เกิดความไม่สุขสบายในการทำงานร่วมกับสังคมหรือไม่ (เช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น) และความผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานเท่าใดแล้ว
กล่าวโดยสรุป คือ มีอาการแต่ไม่ได้แปลว่าเป็นโรค หมายความว่า คนเราสามารถมีอารมณ์เศร้า กังวล เสียใจได้ แต่ถ้าหากอารมณ์หรืออาการที่เราเป็นเหล่านั้นรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้การทำงานหรือการเรียนเกิดปัญหา ก็ควรที่จะเข้ารับคำปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ จากนั้นในการวินิจฉัยโรค จิตแพทย์จะพิจารณาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ symptoms & signs (เช่น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ พูดคนเดียว ทำร้ายตัวเอง), duration (ระยะเวลาที่เกิดความผิดปกติขึ้น), และ distress or dysfunction (เช่น เกิดความทุกข์ใจ สูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน) ถ้าใครมีครบทั้ง 3 ปัจจัยแปลว่าคุณกำลังมีอาการผิดปกติ จิตแพทย์ก็จะพิจารณาให้เข้ารับการรักษาต่อไป

ไม่ต้องป่วยก็ไปหานักจิตวิทยาได้
หลายคนอาจจะคิดว่าต้องรอมีอาการป่วยถึงจะไปพบนักจิตวิทยา แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเข้าพบนักจิตวิทยาไม่จำเป็นต้องเฉพาะเจาะจงว่าเราป่วยเท่านั้น อาจารย์ ดร.จารุวรรณ สกุลคู อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวไว้ในบทความเรื่อง ‘สุขภาพจิตที่ดี เริ่มต้นจากการดูแลตนเอง นักจิตวิทยา แนะไม่ต้องรอจนป่วย ก็ปรึกษาได้’ ในประเด็นนี้ว่า “การมาพบนักจิตวิทยา ไม่ต้องรอจนป่วย เราสามารถคุยกับเพื่อน คนรอบตัว คนที่เราไว้ใจ ซึ่งบางทีแค่เราบ่นให้ฟัง เราก็รู้สึกดีขึ้นได้ หรือบางครั้งไม่ได้มีปัญหา แต่เราอยากพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ใช้ศักยภาพได้ดีกว่าเดิม หรือเราอยากห่างไกลจากการเจ็บป่วย หรืออยากมีสุขภาพจิตเชิงบวกก็สามารถมาพบนักจิตวิทยาได้”
ลองนึกภาพว่า ในวันหนึ่ง ช่วงเช้าคุณรู้สึกเศร้ามาก ตกเย็นอารมณ์ดีขึ้น ตกดึกกลับมาเศร้าใหม่ หรือนึกภาพว่าคุณรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่อยากอาหาร ไม่มีความสุข ไม่อยากทำอะไร มีความคิดวนเวียนอยู่ในหัว คุณมีอาการเหล่านี้สัก 2 สัปดาห์ หรืออาจจะเป็นเดือน ปี หลายปี มันคงจะทรมานมากไม่ใช่น้อย
การมีสุขภาพจิตที่ดี คือ การที่จิตใจของเรามีความสุข มีความรู้สึกในทางที่ดีต่อตนเองและต่อบุคคลอื่น มีความสามารถที่จะปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตตามกิจวัตรของตนเองเพื่อให้ยังสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ การมีสภาพจิตใจที่แข็งแรงก็จะส่งผลให้เรามีสุขภาพทางกายที่ดีตามไปด้วย มันอาจจะช่วยลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะมีสุขภาพจิตที่ดี ? วิธีการที่ผู้เขียนอยากจะแนะนำเนื่องจากทำได้ง่ายในช่วงเวลานี้ ได้แก่ การออกกำลังกายและทำกิจกรรมสันทนาการให้ตนเองได้ผ่อนคลาย การหาช่วงเวลาให้ตัวเองได้คลายความเครียด การนอนให้เพียงพอต่อความต้องการ มองโลกในด้านที่ดีและตั้งเป้าหมายในชีวิต และการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
ผู้เขียนขอยกเนื้อหาส่วนหนึ่งในหนังสือเรื่อง ‘เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข’ (เขียนโดย โกะโด โทคิโอะ) ที่ผู้เขียนชอบมากจนอยากจะเอามาเล่าต่อ เผื่อว่าจะช่วยสร้างความรู้สึกดี ๆ และเป็นกำลังใจให้กับคุณผู้อ่านหลาย ๆ คนในช่วงเวลานี้ “ทุกท่านเคยเห็นดินสอสีแบบ 24 สีใช่ไหมครับ สมัยเป็นเด็ก ยิ่งมีสีเยอะก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจ เวลามองดินสอสีเหล่านั้น เราก็ไม่ได้คิดว่าสีฟ้านี้ดูหม่น ๆ แปลก ๆ หรือสีแดงอ่อนไปไม่มีคุณค่าเลย ใช่ไหมล่ะครับ สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสีไหนก็มีคุณค่าของมันในรูปแบบที่แตกต่างกัน คนเราก็เช่นกัน ทุกคนล้วนมีสีต่างกันไปและมีคุณค่าในสีของตัวเอง ดังนั้น คุณซึ่งมีนิสัยหรือความคิดในแบบเฉพาะของตัวเอง ก็มีคุณค่าในฐานะของดินสอสีสีหนึ่งซึ่งมีเพียง 1 ใน 700 ล้านสีบนโลกใบนี้ หากดินสอสีหนึ่งกล่องมีเพียงสีเดียวย่อมไม่น่าสนใจ หรือโลกที่มีเพียงสีเดียวก็คงดูหน้าแปลกพิกล”
หวังว่าบทความชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์และทำให้คุณผู้อ่านทุกคนหันมาให้ความสำคัญและไม่ละเลยที่จะดูแลสุขภาพใจของตนเองให้แข็งแรง แล้วพบกันใหม่ 😊
ที่มาของข้อมูล
https://www.dmh.go.th/service/view.asp?id=147
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/950165
https://tu.ac.th/thammasat-mental-health-situation-2019
https://www.voathai.com/a/ages-of-loneliness/4706290.html