ArticlesSocietyWritings

‘SLAPP’ วิธีการปิดปากสื่อรูปแบบใหม่ ไม่เจ็บกาย แต่ร้ายไม่ต่างกัน

เรื่อง : พรวิภา หิรัญพฤกษ์

ภาพประกอบ : เก็จมณี ทุมมา

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนคงได้เห็นว่ามีประเด็นทางการเมืองเกิดขึ้นมากมาย โดยหนึ่งประเด็นที่เรียกได้ว่า ‘สั่นสะเทือน’ วงการสื่อจนหลายองค์กรต้องออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนและยังเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือ ประเด็นที่นักข่าวประชาไทและช่างภาพถูกจับกุม โดยเหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดการตั้งคำถามอย่างมากในเรื่องของสิทธิเสรีภาพของสื่อ

ในโอกาสวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 3 มีนาคม และ วันนักข่าว 5 มีนาคม ที่ผ่านมา โลกพูดคุยถึงประเด็นเสรีภาพสื่อมวลชนอย่างกว้างขวาง โดย องค์การ Reporters Without Borders ระบุว่า ปัจจุบันในโลกยังมีผู้สื่อข่าวถูกคุมขัง 533 คน ส่วน เสรีภาพสื่อในไทยยังไม่เป็นไท เท่าไหร่นัก เพราะ ในปี 2023 ข้อมูลดัชนีเสรีภาพสื่อ (World Press Freedom Index) ระบุว่า ไทย มีเสรีภาพสื่อ อยู่ที่อันดับ 87 จาก 180 ประเทศ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่อยากจะชวนย้อนกลับไปดู และทำความเข้าใจ กรณีที่สื่อไทยถูกจับกุมอีกครั้ง

โดยเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ นักข่าวจากประชาไทและช่างภาพถูกตำรวจจับกุมในข้อหา ‘เป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหายจากการขีดเขียนข้อความ’ จากกรณีที่พวกเขาได้ติดตามทำข่าวศิลปินคนหนึ่งไปพ่นสีกำแพงวัดพระแก้ว ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2566

เวลาต่อมาได้มีการเผยแพร่ภาพกล้องวงจรปิดจากทางตำรวจ ว่าทั้งนักข่าวประชาไทและช่างภาพ ได้พบเจอกับศิลปินก่อนวันเกิดเหตุ 1 วัน ทั้งนี้ไม่มีเสียงพูดคุยหรือหลักฐานว่าทั้งสื่อและศิลปินมีการสนทนากันในรูปแบบใด นอกจากนั้นแล้ว สถานที่ในภาพกับสถานที่เกิดเหตุเองก็ไม่ใช่สถานที่เดียวกันเสียด้วย

หลังจากที่ได้มีการเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่คล้อยตามและปักใจเชื่อไปในทันทีว่าการพบเจอหรือพูดคุยโดยที่เราไม่ได้ยินบทสนทนาสักประโยคเดียวคือการสนับสนุน เพราะโดยหลักการแล้ว ผู้สื่อข่าวก็ไม่ควรที่ทำตัวจะสนิทชิดเชื้อกับแหล่งข่าว หากแต่การทำงานข่าวในปัจจุบันอาจไม่สามารถเป็นเช่นนั้นเสมอไป กล่าวคือ ในยุคที่การนำเสนอต้องรวดเร็วตามพฤติกรรมของผู้เสพ นักข่าวมีหน้าที่ในการคาดเดาสถานการณ์ให้ได้มากที่สุด เพื่อวางแผนทำข่าว ซึ่งวิธีที่จะเพิ่มความแม่นยำ คือการหาข้อมูลเหตุการณ์ให้ได้มากที่สุด ทั้งด้วยการติดตาม หรือสอบถามจากแหล่งข่าว ฉะนั้นแล้ว การที่นักข่าวจะพบเจอกับแหล่งข่าวอยู่บ่อยครั้งก็เรียกได้ว่าเป็นวิถีธรรมชาติของเหยี่ยวข่าวทั้งหลาย

.

ถ้านักข่าวเจอแหล่งข่าวแบบนี้เป็นปกติ แล้วจุดไหนล่ะ ที่ไม่ปกติ?

นอกจากเรื่องความสมเหตุสมผลในการใช้กฎหมายกับข้อหาว่าด้วยการเป็นผู้สนับสนุนในการทำลายโบราณสถานที่พอได้ทราบแล้ว หากใครได้ติดตามข่าวอาจจะพอทราบว่า หมายจับของทั้งสอง ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2566 แต่กลับมีการจับกุมหลังจากเวลาผ่านมานานข้ามปี

ถึงแม้ว่าทั้งนักข่าวและช่างภาพจะทำงานตามปกติและไม่ได้มีการหลบหนีแต่อย่างใด

ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงของการจับคุมล่าช้า เป็นสิ่งที่เราไม่อาจล่วงรู้ได้และคงไม่มีใครมาเฉลยว่าเพราะอะไร

งั้นแบบนี้จะเรียกว่า ‘SLAPP’ ได้หรือเปล่า?

SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation Participation) แปลเป็นภาษาไทยว่า ‘การดำเนินคดีเชิงยุทธ์ศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ’ หรือเรียกได้ง่ายกว่านั้นว่า ‘การฟ้องปิดปาก‘ คือการสร้างความลำบากให้แก่ผู้ถูกฟ้องหรือผู้ถูกกล่าวหาด้วยกระบวนการ (คล้ายจะ) ยุติธรรม โดยการฟ้องดังกล่าวอาจมีหรือไม่มีมูลเหตุก็ได้ และถึงแม้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่าบริสุทธิ์ ทว่ากว่าจะชะล้างข้อกล่าวหานั้นได้ ก็น่าจะเสียทั้งเงินและเวลาไปไม่น้อย สิ่งนี้เองที่เป็นพันธนาการทำให้ผู้ถูกกล่าวหาขยับตัวได้ยาก

นอกจากนี้ จุดประสงค์ของการฟ้องปิดปากก็เป็นไปตามชื่อของมัน คือการทำให้ผู้ถูกฟ้องมีพันธะทางกฎหมายติดตัว เป็นการสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตหรือการทำงาน รวมไปถึงการลดทอนความสามารถและความกล้าที่จะแสดงออกเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างที่ส่งผลกระทบกับคนบางกลุ่ม

สำหรับกรณีการฟ้องนักข่าวและช่างภาพนี้ หากมองในภาพรวมแล้ว สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การทำลายแค่ตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ส่งผลกระทบถึงสถาบันสื่อให้เกิดข้อสงสัยว่า การฟ้องร้องในครั้งนี้เป็นการ ‘เชือดไก่ให้ลิงดู’ เพื่อกดเพดานการนำเสนอของสื่อให้ต่ำลง ไม่ให้ก้าวล้ำไปยังขอบเขตที่บางคนที่คิดว่าไม่ควรจะแตะต้องหรือไม่

จนกลายเป็นว่าผู้ผลิตหรือผู้นำเสนอสื่อจะต้องปิดกั้นตัวเองจนไม่สามารถนำเสนอความจริงบางประการที่สังคมควรจะรับรู้ และคนที่จะเสียประโยชน์จากสิ่งนี้มากที่สุดก็ไม่ใช่ใคร แต่คือ ‘ประชาชน’

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการตั้งคำถามถึงสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอของสื่ออีกด้วย ว่าถ้าหาการนำเสนอในสิ่งที่ประชาชนทำ ถือว่าเป็นการสนับสนุนหรือสมรู้สมร่วมคิด เช่นนั้นแล้วสื่อจะสามารถนำเสนออะไรได้บ้าง
ประเด็นนี้เองที่ทำให้วงการสื่อมวลชนสั่นสะเทือนจนทำให้องค์กรสื่อมวลชนหลายสถาบันออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน รวมไปถึงการยืนประท้วงของกลุ่มนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่แม้จะยืนอยู่คนละจุด แต่มีจุดยืนเดียวกัน คือการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่นักข่าวและช่างภาพที่ถูกดำเนินคดี และการเรียกร้องเสรีภาพในการทำงานสื่อ

สุดท้ายแล้วถ้าสื่อพูดความจริงไม่ได้ แล้วใครล่ะ ที่จะพูดได้?

ปัญหาสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอของสื่อเป็นปัญหาที่ยังคงหาข้อยุติไม่ได้อย่างชัดเจน แต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นไร้หนทางในการแก้ปัญหา เพราะจุดเริ่มต้นของปัญหาคือความไม่ตระหนักรู้ถึงผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งคนทั่วไปหรือแม้แต่บุคลากรคนทำสื่อเอง หากผู้คนไม่สยบยอมต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและร่วมกันต่อต้าน นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในทางออกของเสรีภาพสื่อได้

เหนือสิ่งอื่นใด ‘สื่อ’ ควรจะยึดมั่นในการนำเสนอความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไปเรื่อย ๆ ตามหน้าที่ความเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน ถึงแม้ว่าการนำเสนอนั้นจะอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า ‘ไต่เส้นเขตแดน’ ที่ไม่อาจข้ามไปก็ตาม

“ยิ่งคนรู้เรื่องมากเท่าไหร่ ยิ่งคนตื่นรู้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งปกครองยากขึ้นเท่านั้น การจัดการก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น นั่นแหละคือปัญหาสำคัญ”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กานตชาติ เรืองรัตนอัมพร
อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนกล่าวไว้ขณะที่ยืน ประท้วงหน้าป้ายคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
0
Love รักเลย
0
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0

More in:Articles

Articles

ภัยพิบัติในไทยกับความสนใจ ‘แค่กรุงเทพ’

เรื่อง: สุชานันท์ สหวงศ์เจริญ ภาพ: Wiroj Sidhisoradej จาก Freepik 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหว จุดศูนย์กลางอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ...

Articles

หลอดไฟในดงไม้ แสงสว่างที่ระบบนิเวศไม่ต้องการ

เรื่อง : พรวิภา หิรัญพฤกษ์ ภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี ในเมืองกรุงอันแสนกว้างใหญ่ แม้จะเป็นเวลากลางคืนที่ฟ้ามืดสนิท แสงจากไฟถนนและตึกยังคงส่องสว่างเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญ และในเมืองที่ไม่มีวันดับแสงนี้ การจะเห็นดาวที่ลอยอยู่เต็มผืนฟ้าช่างยากเหลือเกิน แม้แสงไฟจะเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญ แต่ไม่ใช่ทุกที่จะเหมาะสมกับความสว่างไสวนี้ ...

Articles

 I’m cringe but I’m free สะเหล่อแล้วไง ไม่แคร์แล้วกัน

เรื่อง : ศิรประภา จารุจิตร ภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี “โอ้ยยย ทำไมตอนนั้นสะเหล่อจัง” ความคิดที่โผล่เข้ามาในหัวขณะที่ล้มตัวลงนอนหลับตาเตรียมฝันดี แต่สมองไม่รักดีกลับขุดภาพความทรงจำอันน่าอับอายขึ้นมาฉาย ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เล่นมุกแล้วคนทั้งห้องกริบ ทักคนผิดเพราะนึกว่าเป็นเพื่อนตัวเอง ส่งข้อความหาคนที่ชอบเขาอ่านแต่ไม่ตอบ ...

Articles

ต้องอายุเท่าไหร่ ถึงควรจะประสบความสำเร็จ?: ชวนสำรวจนิยามความสำเร็จผ่านตัวละครหลักหลากวัยจาก Only murders in the building

เรื่องและภาพประกอบ : ทยาภา เจียรวาปี หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ คุณเคยรู้สึกว่าชีวิตตัวเองว่างเปล่าหรือไร้ค่าบ้างไหม? คุณเคยรู้สึกเจ็บช้ำจากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าบ้างหรือเปล่า? คุณเคยมองความสำเร็จของคนอื่นแล้วถามตัวเองหรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่? หากคุณเคยรู้สึกหรือเคยถามตัวเองแบบนั้น คุณอาจเป็นเหมือนสามตัวละครหลักจาก Only murders in the ...

Articles

ผม (ไม่) เคย เฉยชากับความตาย

เรื่องและภาพประภาพ: Amphea Warning : บทความชิ้นนี้มีการพูดถึงเนื้อหาของการพยายามอัตวินิบาตกรรมและการสูญเสียของคนใกล้ตัว โปรดอ่านอย่างระวัง ‘อาม่า’ ของผมเสียไปตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ในวัยประถม แม้ช่วงบั้นปลายชีวิต เธอจะเริ่มหลงลืมลูกหลานและอารมณ์รุนแรงไปบ้าง แต่สำหรับลูกทั้ง 8 คนแล้ว เธอยังคงเป็นคนที่ทุกคนในครอบครัวรักมากที่สุดคนหนึ่ง ส่วนผมนั้นไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับอาม่ามากนัก ...

Articles

ออกเดินทางมาแล้วแต่ยังไกลจุดหมาย : ตอนนี้ Universal Design พาคนพิการเดินทางไปได้เท่าไหนในไทย

เรื่องและภาพประกอบ : ชวิน ชองกูเลีย เป็นเวลาหลาย 10 ปีมาแล้วที่คนพิการต้องเรียกร้องสิทธิต่างๆ ทั้งในประเด็นสิทธิในการเข้าทำงาน มุมมองด้านลบที่คนพิการเคยถูกมองว่าไม่มีความสามารถ หรือเคยทำกรรมไว้จึงพิการ และปัญหาความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขาหลังจากที่ต้องสูญเสียทักษะบางอย่างไป การเดินทางเองก็เป็นอุปสรรคอันดับต้นๆ ที่คนพิการต้องพบเจอและมีการเรียกร้องมาเป็นเวลานาน จนมีกฎหมายเกี่ยวกับ Universal Design ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save