เขียน: ปานชีวา ถนอมวงศ์
ภาพประกอบ : เปรมชนก พฤกษ์พัฒนรักษ์

รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มธ. เผย มธ.กำลังเร่งปรับหลักสูตรใหม่ปี 70 เน้นผลิตบัณฑิตตามสมรรถนะ TU IMPACT ที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน เพราะความต้องการของผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงไปมาก พร้อมปรับเพิ่มวิชาฝึกงานขั้นต่ำเป็น 6 หน่วยกิตเพื่อเพิ่มประสบการณ์ทำงานให้บัณฑิต
ดำรงค์ อดุลยฤทธิกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า มธ.กำลังเร่งพัฒนาหลักสูตรการศึกษาใหม่ เตรียมใช้เต็มรูปแบบในปีการศึกษา 2570 เพราะที่ผ่านมาสังคมและความต้องการของผู้ประกอบการมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มหาวิทยาลัยจึงสำรวจสมรรถนะของแรงงานที่เป็นความต้องการของสังคมและผู้ประกอบการตามที่มีรายงานระบุไว้ เช่น รายงานของ World Economics Forum รวมถึงศึกษาสภาพแวดล้อมและความท้าทายต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงหลักสูตร
ดำรงค์กล่าวว่า หลักสูตรใหม่จะลดจำนวนหน่วยกิตให้อยู่ระหว่าง 120-126 หน่วยกิต ซึ่งเป็นจำนวนที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กำหนดขึ้น แต่วิชาในหลักสูตรจะต้องมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยพัฒนาสมรรถนะที่กว้างขวาง เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานและเพื่อให้นักศึกษาสามารถอยู่ในสังคมได้ มหาวิทยาลัยจึงกำหนดค่านิยมองค์กร (Core Value) ใหม่ คือ TU IMPACT ซึ่งเน้นพัฒนาสมรรถนะที่ตลาดแรงงานต้องการ และสอดคล้องกับทักษะที่จำเป็น
ดำรงค์ระบุว่า TU IMPACT ประกอบด้วย ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Iinterpersonal Skill) การบริหารจัดการสุขภาพจิตใจ (Mindful Self Development) การคิดวิเคราะห์อย่างก้าวหน้า (Progressive Thinking) ความยืดหยุ่น (Agility) การมีความรู้เรื่อง AI (Competency in AI) และการมีความรู้เท่าทันด้านการเงินและการเป็นพลเมืองโลก (Thrive in Global Citizenship and Financial Literacy) ซึ่งสมรรถนะเหล่านี้จะถูกนำไปเป็นพื้นฐานของวิชาศึกษาทั่วไป อีกทั้งหลักสูตรใหม่จะลดหน่วยกิตบังคับของวิชาศึกษาทั่วไปให้เหลือจำนวน 24 หน่วยกิต จากเดิมจำนวน 30 หน่วยกิต
“กรอบเป้าหมายสำคัญที่สุดในการปรับปรุงหลักสูตรคือการมุ่งพัฒนาบัณฑิตให้มีความพร้อมในการทำงาน และมีงานทำอย่างแน่นอนเมื่อเรียนจบ มหาวิทยาลัยจึงส่งเสริมให้มีการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ (Partner) หรือก็คือกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ต่างๆ ของมหาวิทยาลัย” ดำรงค์กล่าวและว่า มหาวิทยาลัยจะต้องรับฟังความคิดเห็นของพาร์ทเนอร์ต่อการปรับปรุงหลักสูตรด้วย เพื่อให้บัณฑิตมีสมรรถนะตามความต้องการของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยพาร์ทเนอร์จะต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร การส่งตัวแทนเข้ามาร่วมสอน การให้พื้นที่ฝึกงานกับนักศึกษา ไปจนถึงการรับบัณฑิตจบใหม่เข้าทำงานด้วย
ดำรงค์กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการต่างๆ มีความต้องการบัณฑิตที่มีความพร้อมในการทำงานผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง มหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้รายวิชาฝึกงานในหลักสูตรใหม่มีจำนวนไม่น้อยกว่า 6 หน่วยกิต แต่ไม่บังคับชั้นปีที่จะต้องฝึกงาน และสามารถเก็บสะสมหน่วยกิตได้ เช่น ฝึกงานเมื่อศึกษาอยู่ชั้นปี 2 จำนวน 3 หน่วยกิต แล้วจึงฝึกงานอีกครั้งเมื่ออยู่ชั้นปี 3 อีกจำนวน 3 หน่วยกิต นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังเร่งหาความร่วมมือกับสถานประกอบการต่างๆ ในการทำข้อตกลงสถานที่ฝึกงาน เพื่อให้มีอัตราตำแหน่งที่รองรับเพียงพอต่อจำนวนนักศึกษา
“มหาวิทยาลัยมีศูนย์สหกิจศึกษาและพัฒนาอาชีพ มธ. (TUCEEC) เป็นศูนย์ที่รวบรวมข้อมูลแหล่งฝึกงาน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อม และจัดอบรมให้นักศึกษาก่อนฝึกงานหรือทำสหกิจ เพราะสิ่งสำคัญคือนักศึกษาจะต้องเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อให้สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมในการทำงานได้” ดำรงค์กล่าวและว่า ในกรณีที่นักศึกษาไม่สามารถทำงานในสถานประกอบการที่เลือกได้เนื่องจากสาเหตุอื่น เช่น การคุกคามทางเพศ การละเมิดกฎหมายแรงงาน มหาวิทยาลัยและผู้ดูแลหลักสูตรจะต้องช่วยเหลือนักศึกษา และพิจารณาต่อไปถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนสถานที่ฝึกงาน ซึ่งจะต้องคอยติดตามการปรับปรุงหลักสูตรใหม่ให้สำเร็จจึงจะสามารถลงมือทำได้จริง
ดำรงค์กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการฝึกงานแล้วยังมีการเปลี่ยนแนวคิดการเรียนการสอนด้วย ดังนั้นจึงมีการเพิ่มวิชาการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) ซึ่งอาจเป็นการนำโจทย์จากภาคธุรกิจ ภาคเอกชน หรือสถานประกอบการมาให้นักศึกษาเรียนรู้ในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังมีวิชาทางเลือกที่มหาวิทยาลัยสร้างขึ้นในหลักสูตรใหม่ ได้แก่วิชาด้านการลงทุน เช่น วิชาคริปโทเคอร์เรนซี (Crypto Currency) ที่จะสอนเรื่องการเงินดิจิทัล (Digital Money) รวมถึงมีความพยายามสร้างวิชาด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งล้วนมาจากการสำรวจและการเก็บข้อมูล โดยพบว่าเรื่องความรู้เท่าทันทางการเงิน (Financial Literacy) เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทักษะแห่งอนาคต
“ถ้าเรามีความรู้เท่าทันทางการเงิน ก็จะสามารถดำรงตนในฐานะที่เป็นพลเมืองของประเทศและของโลกได้ โดยที่เราจะไม่เป็นภาระ แต่จะเป็นส่วนช่วยในการผลักดันและขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมให้แข็งแรงขึ้นได้ โดยการไม่สร้างหนี้ และเป็นผู้สร้างผลิตผลให้กับประเทศชาติ แล้วสังคมก็จะดีขึ้น” ดำรงค์กล่าว
อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ให้สัมภาษณ์ว่า หนึ่งในแกนหลักของการปรับปรุงหลักสูตรของมธ.คือการเป็นมหาวิทยาลัยของสังคม ซึ่งคือการให้บริการสังคม ดังนั้นมหาวิทยาลัยจะต้องสร้างสมรรถนะให้กับนักศึกษาในการเป็นพลเมืองโลก และต้องทำงานร่วมกับเครือข่ายภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนและสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย โดยการพัฒนางานวิจัยเพื่อให้เกิดการนำไปใช้และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม รวมถึงสร้างกระบอกเสียงให้สังคมเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาแก่ภาครัฐและภาคประชาชน เพื่อนำไปสู่การรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น
อัจฉรากล่าวว่า มหาวิทยาลัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินงานต่างๆ รวมถึงมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้มหาวิทยาลัยต้องพึ่งพาองค์กรภายนอก ดังนั้นนอกจากการปรับปรุงหลักสูตรแล้ว จึงมีความสำคัญที่ภาคส่วนต่างๆ จะให้งบประมาณและการสนับสนุนแก่มหาวิทยาลัยเพื่อนำไปสู่การให้บริการสังคม รวมถึงส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยขับเคลื่อนและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม เช่น การสนับสนุนจากภาครัฐด้านทรัพยากรในการทำวิจัยและต่อยอดไปสู่ผลผลิตที่จะช่วยพัฒนาสังคมได้ในอนาคต
อัจฉรากล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่สำคัญคือการปลูกฝังและสร้างทัศนคติ (Attitude) ที่น่าดึงดูดและเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานให้กับนักศึกษา ซึ่งหมายรวมถึงการเสริมสร้างทักษะทางสังคม (Soft Skill) ที่สำคัญต่อการเป็นพลเมืองโลก มีความเข้าใจในเรื่องความแตกต่างหลากหลาย และการสื่อสารกับผู้คน ควบคู่ไปกับการรับฟังเสียงของลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง และเน้นการพัฒนาบัณฑิตให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยต้องมองการณ์ไกลและเล็งเห็นถึงความต้องการที่อาจเปลี่ยนแปลง เพื่อให้บัณฑิตสามารถปรับตัวอยู่ในตลาดแรงงานที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต