News

รายงานพิเศษ : สรุปเหตุการณ์ 10 วัน หลังนายกฯประกาศ ‘เปิดประเทศ’ ให้ชาวต่างชาติเที่ยวได้ 17 จังหวัด

เรื่องและภาพ : กิตติธัช วนิชผล

จากกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ วารสารเพรสได้รวบรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากแถลงการณ์ดังกล่าว ในรอบ 10 วันที่ผ่านมา

ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญช่วง 10 วันที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 11 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า ในวันที่ 1 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัวสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วและเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศ ซึ่งผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศจะต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงตํ่า โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งต้องทำการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และตรวจอีกครั้งเมื่อถึงไทย แล้วจึงจะสามารถเดินทางภายในประเทศได้อย่างอิสระ โดยจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติจากกลุ่ม 10 ประเทศแรก เช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา ส่วนผู้ที่มาจากประเทศอื่นที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่า ก็จะต้องกักตัวตามมาตรฐานที่กำหนด โดยจะเพิ่มจำนวนประเทศที่อนุญาตให้เข้าหลักเกณฑ์นี้เพิ่มเติมในวันที่ 1 ธันวาคม และ 1 มกราคมตามลำดับ

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ภายในวันที่ 1 ธ.ค. จะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจและสถานบันเทิงเปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง

ในประเด็นประเทศที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยเพิ่มเติมผ่านสำนักข่าวไทยโพสต์ว่า สำหรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่จะเดินทางเข้ามานั้น จะต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงด้านการระบาดของโรคโควิด-19 ตํ่าที่สุด ซึ่งล่าสุดมีประมาณเกือบ 50 ประเทศ โดยในเร็วๆนี้ ศบค. จะประเทศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง และเป็นที่ชัดเจนว่าประเทศใหญ่ๆ อย่าง สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร (UK) สวิตเซอร์แลนด์ สเปน เยอรมัน อิตาลี และรัสเซีย ส่วนประเทศในทวีปเอเชีย อย่าง จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอินเดีย ประเทศเหล่านี้จะอยู่ในจำนวนประเทศที่ ศบค. จะประกาศออกมาเพื่อรับนักท่องเที่ยว

นายพิพัฒน์กล่าวต่อว่า สำหรับจังหวัดที่จะมีการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยววันที่ 1 พ.ย.นั้น มี 15 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดระนอง (เกาะพยาม) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (อ.หัวหิน) จังหวัดเพชรบุรี (อ.ชะอำ) ส่วนภาคตะวันออกจะมีจังหวัดชลบุรี (เมืองพัทยา อ.บางละมุง อ.สัตหีบ) ภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ (อ.เมือง อ.แม่ริม อ.แม่แตง อ.ดอยเต่า) ภาคอีสาน จังหวัดเลย (อ.เชียงคาน) ส่วนจะมีเพิ่มเติมจังหวัดไหนอีกนั้นต้องรอประกาศเพิ่มเติมจากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (ภาพจาก ไทยโพสต์)

เช้าวันต่อมา (12 ต.ค.) ตลาดหุ้นปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,640.77 จุด เพิ่มขึ้น 7.33 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.45% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 55,072 ล้านบาท ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทย (SET) ปรับตัวขึ้นแนวต้าน 1,645-1,660 จุด โดยระบุว่าปัจจัยที่หุ้นปรับตัวขึ้นส่วนหนึ่งมาจากนายกรัฐมนตรีแถลงเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน และ 1 ธันวาคม ที่เตรียมอนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงและให้สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับสำนักข่าวประชาชาติธุรกิจว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มทรงตัวถึงลดลง ประกอบกับแผนการจัดหาและจัดสรรวัคซีนที่มีความชัดเจน ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น การกระจายวัคซีนไปต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการติดเชื้อจากต่างประเทศก็มีปริมาณไม่มาก จึงถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศสร้างความชัดเจนในการเปิดประเทศ เพราะจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการและนักเดินทางได้รู้ล่วงหน้าและมีการเตรียมตัวที่ดีขึ้นภายใต้การควบคุมและมีลำดับขั้นตอนในการทยอยเปิดที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม นายสนั่นกล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมความพร้อมคือการกระจายฉีดวัคซีนเพิ่มเติม ทั้งเข็ม 2 และเข็ม 3 โดยภาคเอกชนที่ร่วมเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลพร้อมให้การสนับสนุน

วันที่ 13 ต.ค. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีการแถลงการณ์เปิดประเทศของนายกรัฐมนตรีว่า การเปิดประเทศเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายเรียกร้อง ต้องการเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้า และเพื่อให้การใช้ชีวิตของประชาชนใกล้เคียงกับสภาวะปกติมากที่สุด การจะเปิดประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้จึงขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยเตรียมความพร้อมมากน้อยเพียงใด มีมาตรการรองรับการเปิดประเทศที่จะเกิดขึ้นครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ และมีการเตรียมการป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไร

นายองอาจกล่าวต่อว่า การเปิดประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ หลายประการ คือ 1.ประชาชนชาวไทยได้รับการฉีดวัคซีนเพียงพอทั่วถึง ตามหลักวิชาการ แล้วหรือไม่ เพราะการเปิดประเทศครั้งนี้เป็นการเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางไปเที่ยวทุกที่ทั่วไทยโดยไม่มีข้อจำกัด การฉีดวัคซีนให้คนไทยอย่างเพียงพอจะก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ช่วยทำให้มั่นใจในการเปิดประเทศมากขึ้น 2.จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดทุกระดับสี ทั้งสีแดง สีเหลือง สีเขียว อยู่ในระดับที่ดูแลรักษาได้ ไม่กระทบต่อการเปิดประเทศหรือไม่ 3.มีการเตรียมมาตรการและวิธีการรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาจำนวนมากอย่างไร เช่น การตรวจ RT-PCR ตามข้อกำหนดที่ ศบค. กำหนดขึ้น และ4.มีการเฝ้าระวังโควิดสายพันธุ์ใหม่ หรืออาจมีการกลายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิมหรือไม่อย่างไร

วันที่ 16 ต.ค. นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาตอกย้ำเรื่องการเปิดประเทศอีกรอบ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut-chan-o-cha” โดยระบุในโพสต์ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลขอเชิญชวนให้ประชาชนชาวไทยทุกคนร่วมก้าวข้ามวิกฤตโควิด มองไปข้างหน้า และเตรียมเปิดประเทศแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมี 2 ปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ คือ ความพร้อมเรื่องการจัดหาและการฉีดวัคซีน ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีมากๆ อีกปัจจัยที่สำคัญคือ ความมีวินัยและความร่วมแรงร่วมใจกันของคนไทยทั้งประเทศในการเอาชนะโรคระบาด

ต่อมา ในวันที่ 17 ต.ค. ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินี้ผ่านทางไทยรัฐออนไลน์ว่า ผลจากการเปิดประเทศ น่าจะช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เพิ่มขึ้นประมาณ 64% เมื่อเทียบกับที่ไม่มีมาตรการ โดยจะเป็นผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในประเทศไทยทั้งปี 2564 ขยับขึ้นมาที่ประมาณ 1.8 แสนคน (จากคาดการณ์เดิมที่ 1.5 แสนคน) สร้างรายได้คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.35 หมื่นล้านบาท โดยรายได้การท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ยังกระจายอยู่ในเฉพาะพื้นที่ที่มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกล่าวต่อไปว่า แม้ทางการไทยจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ยังจำเป็นต้องควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศ เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ปลอดภัยจากโรคโควิด นอกจากนี้รัฐบาลควรมีการเร่งฉีดวัคซีนโควิดครบโดสให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่หรือเข้าหา 70% ในพื้นที่ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อสร้างความมั่นใจและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่

และในวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา แพทย์หญิงสุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยง และพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ เปิดเผยว่า นับถอยหลังอีก 2 สัปดาห์ ประเทศไทยจะพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาตามเงื่อนไข คือ ต้องมาจากประเทศที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดเฉพาะทางอากาศเท่านั้น ต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนตามเกณฑ์ มีใบรับรองตรวจไม่พบเชื้อ มีหลักฐานการจองที่พัก และเมื่อเดินทางมาถึงไทยแล้ว ต้องตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR หากตรวจไม่พบเชื้อจึงจะสามารถท่องเที่ยวได้ใน 17 จังหวัดนำร่องก่อน โดยบางจังหวัดเปิดให้เที่ยวได้ทุกพื้นที่ แต่บางจังหวัดยังจำกัดการเดินทางท่องเที่ยวเป็นบางพื้นที่ เพราะต้องฉีดวัคซีนให้ประชาชน ครอบคลุม 70% ก่อน ถึงจะเปิดให้เที่ยวได้

แพทย์หญิงสุมนี วัชรสินธุ์ (ภาพโดย WorkpointToday)

สถานศึกษาจะเปิดเมื่อไร ?

เมื่อวันที่ 22 ก.ย. นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ที่ประชุมได้วางแผนมาตรการเปิดภาคเรียนที่ 2 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นการเปิดเรียนตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงมัธยม โดยมีมาตรการตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 20 กันยายน 2564 เรื่อง หลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 32) ลงนามโดยนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งแต่ละโรงเรียน จะต้องผ่านเกณฑ์การประเมินหลายด้าน เช่น ด้านกายภาพ ด้านการมีส่วนร่วม ด้านการประเมินความพร้อมสู่การปฏิบัติ สำหรับสถานศึกษา คุณครูและบุคลากรต้องฉีดวัคซีนครบโดสไม่น้อยกว่า 85% ในขณะที่นักเรียนและผู้ปกครอง ควรได้รับวัคซีนตามมาตรการที่กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุขกำหนด และระหว่างการเปิดภาคเรียน ต้องปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และสามารถจัดการเรียนการสอนแบบ Onsite หรือ Online หรือแบบผสมผสาน (Hybrid) ก็ได้ โดยแต่ละห้องเรียนไม่เกิน 25 คน เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร รวมถึงให้มีการสุ่มตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ในหมู่นักเรียน คุณครู และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับสถานศึกษาเพื่อเฝ้าระวังตาม เกณฑ์จําแนกตามเขตพื้นที่การแพร่ระบาดอีกด้วย

นักเรียนได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นแล้ว โดยเด็กที่อายุตั้งแต่ 12 – 18 ปี จะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ (ภาพโดย THAI NEWS PIX, BBC ไทย)

ทางวารสารเพรสยังไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ว่าสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิงภายในคำแถลงการณ์นั้นหมายรวมถึงธุรกิจร้านตู้เกม หรือร้านเกมอื่น ๆ ด้วยหรือไม่ หลังจากธุรกิจร้านเกมถูกปิดมานานกว่า 6 เดือน นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา แม้ห้างสรรพสินค้าจะเปิดให้บริการแล้ว แต่ธุรกิจร้านตู้เกมยังคงปิดทำการอยู่

ร้านตู้เกมภายในห้างสรรพสินค้าย่านบางแค ที่แม้ทั้งห้างสรรพสินค้าจะเปิดทำการ รวมถึงเปิดให้ทานอาหารในร้าน รวมถึงเปิดให้เข้าชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ แต่ร้านตู้เกมยังคงปิดทำการอยู่

วารสารเพรส ขอสรุปสิ่งที่ ‘กำลังจะเปิด’ ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ตามอินโฟกราฟิก (Infographic) ดังนี้

นอกจากสรุปข้างต้นแล้ว หลาย ๆ คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการจะเปิดประเทศได้นั้น จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้ครบ 2 โดส หรือ 3 โดสให้ได้อย่างน้อย 70% กรณีนี้ ทางไทยรัฐออนไลน์ ได้อัพเดตข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิดเมื่อวันที่ 19 ต.ค. ไว้ดังนี้

ข้อมูลการฉีดวัคซีนในภาพรวม ณ วันที่ 18 ต.ค. เวลา 18.00 น. เพิ่มขึ้น 914,527 โดส

  • ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เพิ่มขึ้นจำนวน 452,368 ราย
  • ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 เพิ่มขึ้นจำนวน 431,949 ราย
  • ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เพิ่มขึ้นจำนวน 30,210 ราย

จำนวนผู้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.-18 ต.ค. (233 วัน) รวม 66,592,321 โดส ในพื้นที่ 77 จังหวัดดังนี้

ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 38,137,096 ราย (คิดเป็น 52.9% ของประชากร)

  • ซิโนแวค 18,747,124 ราย
  • แอสตราเซเนกา 10,557,501 ราย
  • ซิโนฟาร์ม 6,331,486 ราย
  • ไฟเซอร์ 2,500,985 ราย

ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 26,474,522 ราย (คิดเป็น 36.8% ของประชากร)

  • ซิโนแวค 3,520,151 ราย
  • แอสตราเซเนกา 17,705,332 ราย
  • ซิโนฟาร์ม 4,700,210 ราย
  • ไฟเซอร์ 548,829 ราย

ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 จำนวน 1,980,703 ราย (คิดเป็น 2.7% ของประชากร)

  • แอสตราเซเนกา 1,484,678 ราย
  • ไฟเซอร์ 496,028 ราย

ซึ่งจนถึงวันนี้ (20 ต.ค.) หากนับถอยหลังจนถึงสิ้นปี 31 ธ.ค. จะเหลือเวลาอีกเพียงแค่ 73 วันเท่านั้นที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของรัฐบาลในการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ครอบคลุม 50 ล้านคน หรือ 70% ของประชากรในประเทศ และอีกเพียงแค่ 12 วันก่อนจะถึงวันที่จะได้ ‘เปิดประเทศ’ อย่างเป็นทางการตามคำแถลงของนายกรัฐมนตรี


สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องมาตรการการเปิดโรงเรียนเพิ่มเติมได้ทาง https://drive.google.com/file/d/1-p-ux4JUqDY6cXwcbeutrkEP22LkVSkI/view
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/general/news-780241
https://www.tnnthailand.com/news/covid19/92522/
https://www.prachachat.net/general/news-780241
https://www.thaipost.net/main/detail/119630
https://www.thaipost.net/main/detail/117529
https://www.thaipost.net/main/detail/120019
https://www.thaipost.net/main/detail/120049
https://news.ch7.com/detail/523121
https://www.thairath.co.th/business/feature/2221282
https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/2222975

ความรู้สึกของคุณหลังอ่านบทความนี้เป็นอย่างไร ?

Like ถูกใจ
0
Love รักเลย
0
Haha ตลก
0
Sad เศร้า
0
Angry โกรธ
0

Comments are closed.

More in:News

News

ฐปณีย์ย้ำคนทำสื่ออย่าละทิ้งความน่าเชื่อถือ หลังนักข่าวจำลองกินไก่ดิบออกอากาศ

เรื่องและภาพ : กัญญพัชร กาญจนเจตนี ฐปณีย์ย้ำ การสร้างความน่าเชื่อถือและทำงานอย่างมีมาตรฐานคือสิ่งที่คนทำสื่อต้องหนักแน่น เหตุผู้สื่อข่าวช่องดังจำลองเหตุการณ์เสี่ยแป้งกินไก่ดิบออกอากาศ  จากกรณีคดีเสี่ยแป้ง นาโหนด หรือ เชาวลิต ทองด้วง นักโทษชายซึ่งเป็นผู้ต้องโทษในคดีความผิดฐานเข้าปล้นผู้ต้องหาจากตำรวจสืบสวนขณะเข้าจับกุมคดียาเสพติด และยังมีประวัติอาชญากรรมเกี่ยวข้องกับคดีอาวุธปืน คดียาเสพติด ...

News

บัณฑิต มธ. หวั่นประเดิมรับปริญญารังสิต ฝ่ายบริหารฯ แจงความพร้อม เตรียมระบบขนส่ง-จุดรับเหตุฉุกเฉินแล้ว

เรื่องและภาพ : กัญญพัชร กาญจนเจตนี บัณฑิต มธ.ถามถึงแผนรับมือความแออัดในงานวันรับปริญญา เนื่องจากมหาลัยฯประกาศย้ายมาจัดที่ศูนย์รังสิตเป็นครั้งแรก ด้านฝ่ายรองปธ.ประสานงานจัดเตรียมงานรับปริญญา มธ.แจงได้เพิ่มรถขนส่งทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย เพิ่มที่จอดรถ จุดรับรองและจุดปฐมพยาบาลสำหรับวันงานแล้ว จากกรณีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้มีการประกาศกำหนดการพิธีพระราชทานปริญญาบัตร สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาประจำปีการศึกษา ...

News

นักสิทธิมนุษยชน ชี้ มายาคติโทษเหยื่อยังมี ปม สส. ปูอัด คุกคามทางเพศ 

เขียน : กัญญพัชร กาญจนเจตนี ภาพ : กัญญาภัค วุฒิรักขจร นักสิทธิมนุษยชนชี้มายาคติโทษผู้ถูกกระทำทางเพศยังมีอยู่ในสังคมเหตุผู้ช่วยสส.ค้านเป็นเพียงเรื่องชู้สาว กรณีสส.ก้าวไกลคุกคามทางเพศเพื่อนร่วมงาน   จากกรณีที่ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ ปูอัด สส.กทม.พรรคก้าวไกล ...

News

ตัวแทนคนรุ่นใหม่ย้ำจุดยืนแก้ รธน.ทั้งฉบับ หลังรัฐปฏิเสธแก้หมวด 1และ2

เขียน : กัญญพัชร กาญเจตนี ภาพ : กัญญาภัค วุฒิรักขจร ตัวแทนนักศึกษา-คนรุ่นใหม่ย้ำจุดยืนแก้รธน.ทั้งฉบับ เหตุรัฐบาลยืนกรานปฏิเสธการแก้หมวด 1และ 2 แนะหาก รธน.ถูกจำกัดการแก้ไขอาจเกิดการเคลื่อนไหวของประชาชนระลอกใหม่ เมื่อวันที่ ...

News

สรุปเสวนา นับถอยหลัง 1 ปี ก่อนคดีสลายการชุมนุมตากใบหมดอายุความ

เรื่อง : กัญญพัชร กาญจนเจตนี ภาพ : ศิรประภา สีดาจันทร์ ทนายความศูนย์ทนายความมุสลิมชี้ คดีสลายการชุมนุมตากใบไม่ควรมีกรอบอายุความ 20 ปี เนื่องจากคดีใกล้หมดอายุ แต่ครอบครัวผู้สูญเสียยังไม่ได้รับความเป็นธรรม วันที่ 25 ตุลาคม 2566 เวลา 14.00 น.ที่องค์การบริหารส่วนตำบลศาลาใหม่ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ...

News

สำนักงานทรัพย์สินฯ แจงผลการตรวจสอบ กรณีพบนักศึกษานำชายเข้าหอพักหญิง

เรื่อง : พุฒิเมธ เกียรติมณีศรี ภาพ : ศิรประภา สีดาจันทร์ สำนักงานบริหารทรัพย์สินและกีฬา มธ. ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารหอพักนักศึกษา แจงผลตรวจสอบกรณีพบนักศึกษาหญิงแอบนำชายน่าสงสัยเข้าหอ ชี้เป็นการเข้าใจผิด พบเป็นสาวทอม ด้านนักศึกษาผู้เห็นเหตุการณ์จริงไม่เชื่อ ...

0 %

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • Google Analytics

    คุ้กกี้ที่เราเก็บไป จะนำไปใช้เพื่อประกอบการวิเคราะห์การอ่านบทความ/ข่าวภายในเว็บไซต์เท่านั้น จะไม่มีการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด

Save