เรื่อง : พันวรรษา กัสยากร, ธนัชชา สิริคุณานันทน์กุล
ภาพ : สาธิต สูติปัญญา
อดีตเจ้าหน้าที่ กต. เผย การคัดเลือกประเทศเข้าไทยไร้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจน หวั่นอาจต้องปิดประเทศอีกรอบ ทางด้านแฟนคลับลิซ่าไม่เสียใจที่ต้นสังกัดปฏิเสธร่วมงานเคานต์ดาวน์ เพราะความปลอดภัยจากโควิด-19 ของศิลปินต้องมาก่อน แนะ เอาเงินไปจัดซื้อวัคซีน ประชาชนจะรู้สึกปลอดภัยและออกไปเที่ยวโดยไม่ต้องกระตุ้น
จากกรณีที่ศูนย์ปฏิบัติการมาตรการการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ ได้ประกาศรายชื่อประเทศและพื้นที่ต้นทางที่อนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา
นางสาวอนัญญา จันทโชติ อดีตเจ้าหน้าที่โครงการติดตามพัฒนาการในยุโรป (Europe Watch) กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า รายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำที่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัวตามประกาศของรัฐบาลไม่มีหลักเกณฑ์การคัดเลือกและมาตรการรองรับที่ชัดเจน มุ่งเน้นแต่การอำนวยความสะดวกให้นักท่องท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทยให้ง่ายที่สุด จนละเลยความปลอดภัยของคนในประเทศ โดยในระยะเวลาเพียงสองสัปดาห์ (ตั้งแต่ 21 ต.ค. – 30 ต.ค.) รัฐได้ประกาศรายชื่อประเทศต้นทางที่อนุญาตให้เข้ามาได้ถึง 63 ประเทศ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินไป
“เมื่อรัฐไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการคัดเลือกประเทศ รู้แต่ว่าจะต้องทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศได้และรู้สึกสะดวก คือการที่ไม่ต้องกักตัว ก็ทำให้ประชาชนขาดความมั่นใจ เมื่อเปรียบเทียบกับสหภาพยุโรปหรือ EU ที่มีหลักเกณฑ์ชัดเจนว่ารายชื่อประเทศที่อนุญาตให้เข้าประเทศได้นั้นคัดเลือกจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดที่จะต้องมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่า 75 รายต่อจำนวนประชากร 100,000 คน ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ซึ่งลิสต์รายชื่อนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในแต่ละประเทศ” นางสาวอนัญญากล่าว
นางสาวอนัญญาให้สัมภาษณ์ต่อว่า รัฐไม่สามารถให้คำตอบกับประชาชนได้ว่า เมื่อเปิดประเทศแล้วเกิดคลัสเตอร์ระลอกใหม่ขึ้นจากนักท่องเที่ยว รัฐจะมีแผนรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ซึ่งมีแนวโน้มว่าหากเกิดการระบาด รัฐก็จะประกาศปิดประเทศอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปิดประเทศและรองรับนักท่องเที่ยว โดยไม่สามารถรู้ได้เลยว่าการเปิดประเทศในครั้งนี้จะเปิดได้นานแค่ไหนและจะปิดลงเมื่อไร ดังนั้น รัฐควรระบุให้ชัดเจนว่าหากสถานการณ์การแพร่ภายในประเทศต้นทางเกิดระบาดหนัก ก็จะงดการรับนักท่องเที่ยวจากประเทศนั้น ๆ ก่อน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดคลัสเตอร์นักท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
นายนาโอคิ ทาเนฮิรา เจ้าของธุรกิจกระเป๋าสานผักตบชวา แบรนด์ NAOKI.T มีหน้าร้านจำหน่ายที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและส่งออกต่างประเทศกล่าวว่า เห็นด้วยกับมาตรการเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาจากสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากธุรกิจมีรายได้ลดลงจากการปิดประเทศ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่คือชาวต่างชาติ รวมไปถึงการส่งออกที่ต้องชะงักไปทำให้สูญเสียรายได้ ส่วนตัวรู้สึกมั่นใจในมาตรการของรัฐบาลและความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทย แต่ก็ยังมีความกังวลว่านักท่องเที่ยวจะไม่ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ จนทำให้เกิดการแพร่ระบาดใหม่ขึ้นมาอีกและอาจทำให้ต้องปิดประเทศอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากการเปิดประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว จากกรณีที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาให้สัมภาษณ์ว่านางสาวลลิษา มโนบาล หรือลิซ่า แบล็กพิงค์ (BLACKPINK) จะเข้าร่วมแสดงในงานเคานต์ดาวน์ปีใหม่ 2565 ที่ จ.ภูเก็ต ด้วยงบประมาณกว่าร้อยล้านบาท เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวนั้น เมื่อวันที่ 28 ต.ค. วายจี เอนเตอร์เทนเมนต์ (YG ENTERTAINMENT) ต้นสังกัดของลิซ่าได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวการร่วมแสดงงานดังกล่าว เนื่องจากศิลปินมีตารางงานในช่วงนั้นอยู่แล้ว
ด้านนางสาวณัฐธยาน์ พรหมจันทร์ นักเรียนโรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบัวทอง แฟนคลับของลิซ่า BLACKPINK กล่าวว่า การเตรียมงานของศิลปิน K-POP บางงานใช้เวลาเตรียมเป็นปีโดยเฉพาะการแสดงสด อีกทั้งยังเป็นที่รู้กันในกลุ่มแฟนคลับว่า ผลงานล่าสุดอย่างเพลง SG ที่ทำร่วมกับวิลเลียม ซามี เอเตียนน์ กรีกาห์ซีน หรือ DJ Snake ซึ่งเป็นดีเจและโปรดิวเซอร์ชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เจ้าของผลงานเพลง Bird Machine และ Turn Down for What ทาง YG ENTERTAINMENT ก็ไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ (MV) ร่วมกัน ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยจากโควิด-19 ดังนั้นการออกแถลงการณ์ปฏิเสธร่วมงานเคานต์ดาวน์ที่ต้องขึ้นแสดงสดจึงเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว
“หากต้องการให้ ลิซ่า ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว แค่คลิปวิดีโอโปรโมตลงอินสตาแกรมก็สามารถกระตุ้นได้แล้ว และต้นทุนไม่สูงถึงหลักร้อยล้านด้วย” นางสาวณัฐธยาน์กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ประเทศในปัจจุบัน งบประมาณจำนวน 200 ล้านบาท ยังไม่สมควรที่จะถูกจัดสรรให้กับเรื่องของการส่งเสริมการท่องเที่ยว ถ้าใช้เงินจำนวนนี้ในการจัดซื้อวัคซีนที่ประชาชนเชื่อมั่นหรือเป็นที่ยอมรับในระดับสากลให้เพียงพอ ทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย แล้วพวกเขาจะออกไปท่องเที่ยวกันเองโดยไม่จำเป็นต้องมีสิ่งกระตุ้นใด ๆ