เรื่องและภาพประกอบ : ชวิน ชองกูเลีย
ทุกเดือนตุลาคมเป็นช่วงเวลาของการจัดงาน ‘MotoGP’ งานแข่งจักรยานยนต์ทางเรียบที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในสนามแข่งตั้งแต่ปี 2561 (ยกเว้นปี 2563 และ 2564 ที่งดเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19) โดยจัดที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
เนื่องจาก MotoGP เป็นงานสเกลใหญ่ระดับโลก จึงต้องมีการจัดรถ Shuttle Bus ที่เวียนรับส่งระหว่างพื้นที่จัดงานและจุดจอดรถส่วนตัวบริเวณนอกงานเพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ชมที่จะไหลเวียนมาจากทั่วทุกมุมโลก ในงานนี้จึงมีการเช่ารถเมล์จาก ‘ไทยสมายล์บัส’ ผู้ให้บริการรถเมล์รายใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาวิ่งเป็น Shuttle Bus เชื่อมต่อระหว่างจุดจอดรถต่างๆ กับพื้นที่งานเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2565 ทำให้เกิดเป็นธรรมเนียมที่ทุกเดือนตุลาคม จะมีกลุ่มบัสแฟน (กลุ่มคนที่ชื่นชอบรถเมล์) ส่วนหนึ่งไปรวมตัวที่บุรีรัมย์โดยไม่ได้นัดหมาย เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงไม่กี่ครั้งใน 1 ปีที่จะได้เห็นรถเมล์ในกรุงเทพฯ ออกไปวิ่งคู่กับวิวภูเขานอกเมืองหลวง
รถเมล์ปกติของเรา (คนกรุงเทพฯ) แต่ประหลาดตาเขา
บริเวณรอบงาน MotoGP ไม่ได้มีเพียงงานแข่งรถเท่านั้น แต่ยังมีงาน OTOP และคอนเสิร์ตให้เดินเล่นแวะชมอีกด้วย ดังนั้น นอกเหนือจากจะคอยรับส่งผู้มาชมฝีมือของนักบิดแล้ว รถ Shuttle Bus นี้ยังทำหน้าที่บริการชาวเมืองบุรีรัมย์ที่ไปดูคอนเสิร์ตหรือเดินเล่นงาน OTOP อีกด้วย
จากที่ได้ไปถ่ายรถ Shuttle Bus กลุ่มนี้ที่ จ.บุรีรัมย์ มาตลอดทั้ง 3 ปีนับตั้งแต่มีการนำรถชุดนี้ไปทำงานนอกสถานที่ ประสบการณ์ที่ตราตรึงใจผมที่สุดก็ยังคงเป็นปี 2565 เพราะมันเป็นปีแรกที่คนบุรีรัมย์ได้สัมผัสรถเมล์ไฟฟ้าแอร์เย็นฉ่ำ ส่งผลให้รถ Shuttle Bus ในปีนั้นจึงตกเป็นจุดสนใจอย่างมากของคนในพื้นที่ แม้กระทั่งกับเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกของบุรีรัมย์ที่มาอำนวยความสะดวกในงานเอง…
บนรถวันนั้น ผมได้ยินบทสนทนาที่น่าตกใจเต็มไปหมด บางประโยคก็ทรงพลังมากพอที่จะตราตรึงอยู่ในใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ เช่น
“ว้าว รถเมล์ไฟฟ้า แอร์เย็นมาก มีที่ชาร์จโทรศัพท์บนรถด้วย”
“ที่กรุงเทพฯ มีรถแบบนี้วิ่งเต็มไปหมดเลยนะ”
“อยากให้มีรถแบบนี้มาวิ่งบ่อยๆ จัง”
“ก็ต้องให้มีงานนี้บ่อยๆ นะ”
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเห็นภาพความเป็นอยู่ของรถสาธารณะตามตัวเมืองต่างจังหวัดชัดขึ้นในพริบตาและเริ่มค้นหาข้อมูลรถสาธารณะในตัวเมืองจังหวัดต่างๆ นอกกรุงเทพฯ เพื่อคลายความสงสัยที่ว่า “ถ้าไม่มีงานใหญ่ระดับนี้ คนบุรีรัมย์จะไม่มีรถเมล์แอร์นั่งกันเลยหรอ”
ตื่นเต้นทำไม บุรีรัมย์ไม่มีรถสาธารณะดีๆ นั่งหรอ (ใช่)
รถสาธารณะในตัวเมืองที่ว่านี้หมายถึง รถโดยสารประจำทางทั้ง 2 ประเภท ได้แก่ รถหมวด 1 หรือรถที่วิ่งอยู่ในตัวเมือง (อำเภอเมือง) และรถหมวด 4 ซึ่งก็คือรถที่วิ่งระหว่างอำเภอ
จากที่ได้ลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับรถสาธารณะในเมืองบุรีรัมย์ก็พบข้อมูลอันน้อยนิดว่า บุรีรัมย์เองเคยมีรถหมวด 1 วิ่งในเมืองเช่นกัน โดยเป็นรถสองแถวสีชมพูจำนวน 2 สายที่เหมือนจะไม่ได้มีจำนวนรถเยอะนัก อ้างอิงจากแหล่งข่าวต้นทางที่เขียนไปในทำนองเดียวกันว่า “…สาย 1 รถวิ่งทุกๆ 1-2 ชั่วโมงตามใจคนขับ” หรือ “ยังมีบริการอยู่มั้ย?? รถชมพู 1 ชั่วโมงมาที บางทีก็ไม่มาเลย….”
นอกจากข้อมูลชุดนี้แล้ว แหล่งข้อมูลที่พบเจอส่วนใหญ่ก็มีอายุเกิน 5 ปีแล้วทั้งนั้น ทำให้ไม่ได้ข้อมูลที่แน่นอนเท่าไร แต่ด้วยประสบการณ์ของผมที่เคยเห็นรถสองแถวสีชมพูนี้วิ่งผ่านตาไปครั้งหนึ่งเมื่อปี 2565 ซึ่งเป็น ครั้งแรกที่ได้มาถ่ายรถเมล์กรุงเทพที่บุรีรัมย์ ผมเลยค่อนข้างมั่นใจว่า ที่นี่จะยังมีรถสองแถวในเมืองวิ่งอยู่อย่างแน่นอน แม้หลังจากครั้งนั้น จะไม่เห็นรถสองแถวสีชมพูอีกเลยไม่ว่าจะครั้งใดที่มาบุรีรัมย์ก็ตาม
แต่ในตอนนี้ ความมั่นใจที่ว่าได้หายไปเรียบร้อย หลังจากที่ผมนั่งเช็กข้อมูลจำนวนใบอนุญาตประกอบการขนส่งของ จ.บุรีรัมย์ (แปลเป็นภาษามนุษย์คือ ใบอนุญาตให้บริการรถสาธารณะที่ยังคงมีผู้ให้บริการอยู่) และพบหลักฐานชิ้นสำคัญว่าในตอนนี้ จ.บุรีรัมย์ไม่มีผู้ถือใบอนุญาตรถหมวด 1 อยู่แล้ว แสดงว่ารถสองแถวสีชมพูนั้นก็คงกลายเป็นตำนานไปแล้วเช่นกัน
แต่จะบอกว่าไม่มีรถสาธารณะเลยก็ไม่ใช่สักทีเดียว เพราะในตารางด้านบนทำให้เห็นว่ารถสาธารณะที่วิ่งอยู่ในตัวเมืองบุรีรัมย์ตอนนี้ยังเหลือรถหมวด 4 ที่วิ่งไปยังอำเภอต่างๆ รอบนอก โดยรถหมวด 4 ในบุรีรัมย์ส่วนใหญ่เป็นรถตู้ ซึ่งรถประเภทนี้มักใช้กับเส้นทางที่มีจุดจอดน้อยเสียมากกว่า ส่วนรถหมวด 4 บุรีรัมย์ที่ยังคงเป็นรถเมล์ พบว่าเหลือเพียงแค่สาย 1473 บุรีรัมย์ – พุทไธสง – นาโพธิ์ เท่านั้น
จริงๆ ไม่ใช่แค่ไม่ดี แต่บางที่ไม่มีให้นั่งด้วยซ้ำ
ปัญหาเรื่องรถสาธารณะในกรุงเทพฯ อาจจะเน้นไปที่เรื่องคุณภาพรถ คุณภาพการเดินรถเสียเป็นส่วนมาก แต่สำหรับต่างจังหวัดแล้ว ปัญหาเรื่องสภาพรถและการเดินรถอาจกลายเป็นเรื่องรองที่ไม่สลักสำคัญเท่าไหร่ ในเมื่อบางพื้นที่ ‘ไม่เคยมี’ รถสาธารณะเลยด้วยซ้ำ
หลังจากพบข้อมูลยืนยันว่าสองแถวชมพูทั้ง 2 สายไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไปแล้ว ผมก็เกิดความสงสัยขึ้นอีกว่า ยังมีรถหมวด 1 สายไหนในบุรีรัมย์ที่เคยถูกร่างเส้นทางไว้ แต่ไม่มีตัวตนอยู่จริงในปัจจุบันอีกไหม จึงได้ค้นหาราชกิจจานุเบกษาฉบับต่างๆ เนื่องจากเมื่อมีการร่างเส้นทางรถสาธารณะขึ้นมาใหม่ หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะต้องมีการประกาศไว้ตลอด แล้วก็พบว่าตลอดมา บุรีรัมย์เคยมีการกำหนดเส้นทางรถหมวด 1 ไว้เพียงแค่ 2 สายเท่านั้นคือ สาย 1 โครงการชลประทานบุรีรัมย์ – บ้านมะค่า และ สาย 2 บ้านซาด – บ้านยาง โดยที่สาย 1 ถูกแก้ไขเส้นทางครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี 2557 และสาย 2 ถูกแก้ไขครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปี 2525…
นั่นก็หมายความว่า แม้เวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ เมืองจะขยายตัวหรือเจริญขึ้นปานใด ก็ไม่มีการเพิ่มเส้นทางรถในเมืองบุรีรัมย์ขึ้นเลย ทำให้เห็นว่าในบางจังหวัด นอกจากคนในพื้นที่จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสรถเมล์ดีๆ แล้ว พวกเขาอาจไม่เคยสัมผัสรถประจำทางเลยด้วยซ้ำ เพราะมันไม่เคยมีตัวตนอยู่แต่แรก
นอกจากบุรีรัมย์แล้ว ในเอกสารสถิติจำนวนใบอนุญาตประกอบการขนส่งยังระบุให้เห็นว่า มีอีกถึง 23 จังหวัดที่ไม่มีรถหมวด 1 ให้บริการอยู่ได้แก่ ชัยนาท อ่างทอง ปทุมธานี นครปฐม นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี ชัยภูมิ สุรินทร์ บึงกาฬ หนองคาย เลย นครพนม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน พะเยา ลำพูน พิจิตร ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส นั่นหมายความว่า ไม่ได้มีเพียงบุรีรัมย์จังหวัดเดียวที่ไม่มีรถสาธารณะวิ่งบริการประชาชนในตัวเมือง แต่ในภาพรวมแล้วมีถึง 24 ใน 77 จังหวัด หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประเทศไทยที่ประสบปัญหาดังกล่าวเช่นกัน
(ปทุมธานีไม่มีรถหมวด 1 แต่มีรถหมวด 1 จากกรุงเทพฯ วิ่งไปถึง)
(แม้นครปฐมจะมีรถหมวด 1 จากกรุงเทพฯ วิ่งไปถึง แต่ก็วิ่งเข้าไปแค่พื้นที่ อ.พุทธมณฑล อ.สามพราน อ.นครชัยศรี เท่านั้น ไม่มีรถวิ่งไปถึง อ.เมืองนครปฐม แต่อย่างใด)
ที่มีอยู่ก็ใช่ว่าจะดี
แม้ว่าใน 53 จังหวัดที่เหลือจะมีรถสาธารณะในเมืองวิ่งอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเพียงพอแล้ว เพราะในจังหวัดเหล่านี้ก็สามารถพบปัญหารถสาธารณะเรื่องอื่นที่คล้ายกับกรุงเทพฯ มากขึ้น เช่น ประเภทรถที่มักเป็นสองแถวซึ่งไม่ตอบโจทย์กับอากาศประเทศไทย และไม่รองรับผู้ที่ใช้รถเข็น wheelchair หรือปัญหาการเดินรถที่รอนานและติดตามอะไรไม่ได้ อีกทั้งปัญหาหลักที่ดูเป็นเรื่อง classic อย่างต้นทุนในการประกอบการ เพียงแต่ผู้ให้บริการเหล่านี้ยังคงให้บริการอยู่ (เพราะถ้าไม่ให้บริการต่อแล้วก็จะล้มหายตายจากไปเหมือนกับบุรีรัมย์)
นอกจากรถสองแถวที่วิ่งอยู่ในเมืองแล้ว แม้ในปัจจุบันจะเริ่มมีโครงการ Smart Bus เกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆ อันเป็นผลจากการศึกษาของสำนักงานขนส่งแต่ละจังหวัด รวมถึงเทศบาลแต่ละจังหวัด เช่น ขอนแก่น สระบุรี เชียงใหม่ ทำให้แต่ละจังหวัดมีรถสาธารณะที่มีคุณภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะในแง่ของความสะดวกสบายและความปลอดภัย แต่ระหว่างทางก็เหมือนว่าจะมีขวากหนามอยู่เต็มไปหมด
เนื่องจากโครงการ Smart Bus นี้ ผู้ที่ออกเงินลงทุนก็คือเอกชนแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีรัฐเข้ามาช่วยเหลือประคับประคอง แม้ในวันที่เปิดเดินรถอาจจะมีพิธีการใหญ่โต แต่ถ้าเงินทุนไม่แน่นพอ สุดท้ายก็ต้องตายจากไปเงียบๆ อยู่ดี เหมือนกับหลายจังหวัดที่เคยมีรถเมล์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไปไม่เคยรอดถึงฝั่งอย่างเช่น อุดรธานี เชียงราย หรือบางจังหวัดต่อให้อยู่รอด ก็อาจจะมีวิ่งเพียงแค่ช่วงเช้า – เย็น ตามเวลาเรียนของนักเรียนที่มักเป็นลูกค้ากลุ่มหลักของรถสาธารณะตามต่างจังหวัด
เหตุการณ์ที่กล่าวมานี้คือภาพที่ฉายวนซ้ำไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายกับการ Move on เป็นวงกลม เพราะ ตราบใดที่ผู้ให้บริการรถสาธารณะยังต้องเอาชีวิตรอดอยู่ในเกมที่เดิมพันด้วยเงินของตัวเองทั้งหมดอย่างนี้ ก็คงจะไม่มีใครมีโอกาสมองเห็นความยั่งยืนของขนส่งสาธารณะในต่างจังหวัด
น่าเศร้าใจที่แม้ในขณะที่แผนพัฒนาประเทศโครงการใหญ่ๆ ออกไปต่างจังหวัด อย่างเช่น รถไฟความเร็วสูง ทางด่วนระหว่างเมือง โครงการนิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ จะดำเนินต่อไปไกลเท่าไร เรากลับไม่เคยเห็นแผนที่จะพัฒนารถสาธารณะในจังหวัดต่างๆ ให้เข้ากับยุคสมัยอย่างยั่งยืน (แค่มองการออกแบบของสถานีรถไฟใหม่ๆ ก็ยังไม่เห็นจุดจอดสำหรับรถสาธารณะเลย)
จุดยืนของผมเองยังคงไม่ต่างจากตอนที่เขียนงาน “รถ Feeder” เส้นเลือดฝอยที่สำคัญต่อคนเมืองไม่แพ้เส้นเลือดใหญ่ ที่อยากให้ภาครัฐหันมาสนใจรถสาธารณะเหล่านี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการในฐานะสวัสดิการของประชาชน หรือสนับสนุนต้นทุนให้ผู้ประกอบการในปัจจุบันกล้าลงทุนมากขึ้นก็คงพอใจมากแล้ว ขอแค่ไม่ทำให้ประชาชนมองว่าการมีรถส่วนตัวเป็น ‘ปัจจัย 4’ ที่ถ้าไม่มีก็ไม่สามารถออกไปนอกบ้านได้ ก็เพียงพอ
บรรณานุกรม
กลุ่มสถิติการขนส่ง กองแผนงาน กรมการขนส่งทางบก (2567). จำนวนใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567
https://web.dlt.go.th/statistics/
ยามาฮ่า (ม.ป.ป.). ทำความรู้จักการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ MotoGP และ WorldSBK ที่เหล่าไบค์เกอร์ทั่วโลกต้องดู
https://www.yamaha-motor.co.th/blog/detail?url=ทำความรู้จักการแข่งรถมอเตอร์ไซค์-moto-gp-และ-worldsbk-ที่เหล่าไบค์เกอร์ทั่วโลกต้องดู