เรื่อง : กัญญพัชร กาญจนเจตนี
ภาพ : ศิรประภา สีดาจันทร์
อาจารย์รัฐศาสตร์ ม.วลัยลักษณ์ ติงกรณีก้าวไกลดำเนินการเพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน
ควบรองประธานสภาฯ ไปพร้อมกัน อาจกลายเป็นช่องที่ทำให้โดนโจมตีได้
แนะก้าวไกลควรเลือกตำแหน่งรองประธานสภาฯ เพราะน่าจะช่วยทำให้ระบบสภาโปร่งใสขึ้น
จากกรณีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อเปิดทางให้พรรคมีการเลือก สส. คนอื่นขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ระบุห้ามไม่ให้พรรคของผู้นำฝ่ายค้านมี สส. ในพรรคดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาฯและรองประธานสภาฯ ซึ่งส่งผลต่อการดำรงตำแหน่งของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา หรือ หมออ๋อง รองประธานสภาฯ คนที่ 1 จากพรรคก้าวไกล จนเกิดกระแสข่าวตามมาโดยคาดว่าคณะกรรมการบริหาคพรรคชุดใหม่ของก้าวไกล อาจมีมติขับปดิพัทธ์ออกจากการเป็นสมาชิก แล้วให้ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเป็นธรรม เพื่อให้ก้าวไกลสามารถรักษาเก้าอี้รองประธานสภาฯไว้และยังได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯ ควบคู่ไปด้วยนั้น
วันที่ 21 กันยายน 2566 อุเชนทร์ เชียงเสน อาจารย์ประจำหลักสูตรรัฐศาสตร์ สำนักวิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่าจากผลการเลือกตั้ง ประชาชนก็จะเห็นว่าหากเป็นไปตามกลไกรัฐธรรมนูญปกติ พรรคก้าวไกลควรจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พิธาได้เป็นนายกฯ ปดิพัทธ์ได้ตำแหน่งประธานสภาฯ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคตอนนี้คือต้องการควบตำแหน่งทั้งสองทั้งรองประธานสภาฯและผู้นำฝ่ายค้านไปพร้อม ๆ กันจึงเป็นความพยายามแก้ปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้น สำหรับเขาเรื่องนี้ไม่ถึงกับน่าเกลียด แต่เป็นเขาเขาจะไม่ทำแบบนี้
อุเชนทร์ กล่าวว่า การที่พรรคก้าวไกลพยายามให้ได้มาซึ่งทั้งสองตำแหน่งนั้น ไม่ได้ทำให้พรรคสูญเสียความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ทางการเมือง เพราะมันเหมือนเป็นการใช้เทคนิค ๆ หนึ่ง แต่เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องที่ถูกนำมาใช้เพื่อทำลายความชอบธรรมหรือการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของพรรคอาจเป็นตำหนิที่ติดตัวพรรคและจะเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกมาโจมตีตลอดชีวิตทางการเมืองของพรรคก้าวไกล
อุเชนทร์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า หากต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เขารู้สึกว่าตำแหน่งรองประธานสภาฯ สำคัญกว่าผู้นำฝ่ายค้าน เพราะในตอนต้นของรัฐบาลปี 2562 ช่วงนั้นไม่มีผู้นำฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยไม่ได้ สส.บัญชีรายชื่อในสภาฯเลยและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้เป็น สส. ด้วย แต่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ยังคงดำเนินไปได้ จึงมองว่าตำแหน่งรองประธานสภาฯ สำคัญกว่าซึ่งตำแหน่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่จะทำให้รัฐสภามีประสิทธิภาพ โปร่งใสมากขึ้น
“หนึ่งคือผมรู้สึกว่ากระบวนการนิติบัญญัติจะดีขึ้น ที่ผ่านมาสภาทำหน้าที่นิติบัญญัติได้ไม่ดีเท่าไหร่มันช้าและออกกฎหมายได้น้อยมาก สองคือเราไม่เคยรู้เลยว่าสภามีงบฯใช้ทำอะไรบ้าง แต่พอหมออ๋องเข้าไปดำรงตำแหน่งได้ไม่กี่วัน เราจะเห็นได้เลยว่ามีงบฯเลี้ยงหมูกระทะ งบฯเรื่องเดินทางมันเป็นยังไง เราต้องการเห็นความโปร่งใสแบบนี้ แล้วผมคิดว่าการที่หมออ๋องดำรงตำแหน่งรองประธานจะผลักดันเรื่องนี้ได้” อุเชนทร์ กล่าว
ณัชปกร นามเมือง เจ้าหน้าที่โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw กล่าวว่าบทบาทผู้นำฝ่ายค้านภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 อ่อนแอมาก ไม่ได้มีอำนาจในการต่อรองกับฟากรัฐบาลมากมายและไม่ใช่ไพ่ตายสำคัญที่ใช้ช่วยในการตรวจสอบรัฐบาล เพราะ บทบาทที่1 ของผู้นำฝ่ายค้านคือเป็นกรรมการสรรหาศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ จะพบว่าผู้นำฝ่ายค้านเป็นเพียง 1 ใน 7-8 เสียงของคณะกรรมการฯ อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกเขียนโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือระบอบประยุทธ์ (เครือข่ายอำนาจและผลประโยชน์ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี) จึงทำให้คสช.ยังคงเข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระได้ พอผู้นำฝ่ายค้านเป็นเพียง 1 เสียงในนั้น จะสามารถตรวจสอบสมดุลอะไรได้ไหม บทบาทที่ 2 คือสามารถขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปได้ แต่การเปิดอภิปรายก็ยังคงต้องใช้เสียงในสภาอยู่ดี จึงเพิ่มอำนาจต่อรองขึ้นมาเพียงนิดเดียวเท่านั้น บทบาทที่ 3 คือเป็นกรรมการร่วมเพื่อวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติใดเป็นกฎหมายปฏิรูป ซึ่งจริง ๆ แล้วพอกฎหมายเข้ามาตามระบบปกติ ก็ไม่ได้เปิดช่องให้ฝ่ายค้านเข้าไปตรวจสอบได้เท่าไร (รัฐธรรมนูญปี 2560 ได้เพิ่มบทบัญญัติขึ้นมาใหม่ในหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ โดยคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติใด ๆ ต่อประธานสภาฯ เพื่อให้พระราชบัญญัตินั้นถูกตราขึ้นเป็นกลไกขับเคลื่อนและปฏิรูประเทศ แต่หากมีพระราชบัญญัติทั่วไปอื่น ๆ ที่ สส.หรือสว. มีความเห็นว่าควรถูกตราขึ้นตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศเช่นกัน จะมีการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการร่วมเพื่อวินิจฉัย โดยการถูกตราขึ้นเป็นกฎหมายปฏิรูปจะมียุทธศาสตร์ชาติและรัฐธรรมนูญที่ถูกเขียนขึ้นโดยคสช.เข้ามาเป็นกรอบกำกับ บทบาทของผู้นำฝ่ายค้านจึงมีความสำคัญเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจ แต่เมื่อมีเสียงจากฝ่ายค้าน 1 เสียงจากคณะกรรมการฯ 5 คนในการลงความเห็นผู้นำฝ่ายค้านเลยอาจไม่สามารถป้องกันไม่ให้เป็นไปตามกลไกของคสช.ได้)
“รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ไปสร้างกติกาที่ทำให้การเป็นฝ่ายค้านมีเงื่อนไขซับซ้อนและยุ่งยาก ทั้งด้วยตัวบทบาทหน้าที่และการเพิ่มเงื่อนไขพิเศษจากรัฐธรรมนูญอื่น ๆ ว่าพรรคผู้นำฝ่ายค้านต้องไม่มีตำแหน่งรองประธานสภา ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ตำแหน่งในสภาพวกนี้ไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่พรรครัฐบาลฝ่ายเดียว คำถามคือการเป็นผู้นําฝ่ายค้าน รวมถึงรักษาตําแหน่งรองประธานสภาไว้ มันไม่เป็นไปตามกรอบประชาธิปไตยยังไง เพราะในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย มันก็ไม่ได้มีเงื่อนไขแบบรัฐธรรมนูญปี 2560 แบบนี้” ณัชปกร กล่าว